“เขาเปลี่ยนไปแล้ว…” ชายชุดเทาพึมพำ
เวลาสามวันสำหรับเขานานเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเห็นหลินสวินฟื้นตัวขึ้นมา ก็พบทันทีว่าอานุภาพของชายหนุ่มคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดิน
นั่นเป็นกลิ่นอายของการอนุมานและสรรสร้าง เป็นพลังอันเฟื่องฟูอย่างหนึ่ง ขณะนี้ปรากฏขึ้นในเจตจำนงของหลินสวิน ทำให้เขาเป็นดั่งเจ้าผู้สร้าง คล้ายเพียงคิดก็จะอนุมานความลึกลับนับพัน แก่นอัศจรรย์นับหมื่นได้!
ชายชราชุดเทาไม่อาจเชื่อได้จริงๆ ชายหนุ่มที่ยังไม่เข้าสู่ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งครอบครองพลังเจตจำนงน่ากลัวปานนี้ได้อย่างไร
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาฝึกปราณมาที่ได้พบกับสัตว์ประหลาดซึ่งยากจะเข้าใจปานนี้ ทำลายการรับรู้เกี่ยวกับมกุฎกึ่งจักรพรรดิที่ผ่านมาของเขาในอดีตทั้งหมด!
ด้านหลินสวินกำลังสัมผัสการเปลี่ยนแปลงทั้งตัว
เวลาสามวันทำให้เขาหลอมพลังพิสุทธิ์ของเจตจำนงกระถางใหญ่นั้น สภาวะจิตกับเจตจำนงล้วนไปถึงขั้นที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงที่สุดอยู่ที่ รูปจำลองจิตวิญญาณในจิตรับรู้ของเขาแปรสภาพ เปลี่ยนเป็นเจตจำนงจิตวิญญาณรูปร่างคล้ายเตาหลอมมหามรรคเตาหนึ่ง
ณ จิตวิญญาณ เจตจำนงเปลี่ยนเป็นเตาหลอม!
และในส่วนลึกของสภาวะจิตก็มีจุดชีพจรคล้ายหุบเหวแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น
ณ ทวารหัวใจ พลังจิตแปรเป็นหุบเหว!
นี่ทำให้หลินสวินตะลึงไป ตกอยู่ในภวังค์
เจตจำนงจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่บุคคลระดับจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะมีได้ ทั้งยังมีเพียงผู้ที่ก้าวสู่ยอดมรรคาจักรพรรดิถึงจะสามารถควบหลอมรูปจำลองเจตจำนงในจิตวิญญาณได้!
อย่างเศษเสี้ยวเจตจำนงสามสิบหกสายที่กระจายอยู่ในแดนผนึกมรรคก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ยอดบุคคลดึกดำบรรพ์ทิ้งเอาไว้ ผ่านการกัดเซาะของกาลเวลาไร้สิ้นสุดแต่ยังคงหลงเหลือมาถึงตอนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะติดอยู่ในแดนผนึกมรรค พลังเจตจำนงเหล่านี้ยังถึงกับสามารถตื่นรู้ ‘มีชีวิต’ ได้อีกครั้ง!
และนี่ก็คือความน่ากลัวของเจตจำนงจิตวิญญาณ
พูดง่ายๆ ก็คือ เศษเสี้ยวเจตจำนงเหล่านั้นเดิมทีก็คือรูปจำลองเจตจำนงของยอดบุคคลสมัยดึกดำบรรพ์เหล่านั้น!
และตอนนี้ในขณะที่อยู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ ยังไม่บรรลุระดับจักรพรรดิอย่างแท้จริง ภายในห้วงนิมิตของหลินสวินก็ควบรวมรูปจำลองเจตจำนงออกมาได้แล้ว
มิหนำซ้ำยังเป็นรูปเตาหลอมที่สำแดงการรองรับหมื่นมรรคทั่วหล้า กำราบนิรันดร์กาลเตาหนึ่งด้วย!
นี่เป็นเรื่องที่หลินสวินไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีระดับกึ่งจักรพรรดิคนไหนทำได้ถึงขั้นนี้
นี่เรียกได้ว่าในอดีตไม่เคยมี ใต้หล้าเพียงหนึ่งเดียวอย่างไร้ข้อกังขา!
ในขณะเดียวกันที่ทวารหัวใจ พลังจิตแปรเปลี่ยนเป็นลักษณ์หุบเหว ทำให้หลินสวินประหลาดใจเช่นกัน
ทวารหัวใจก็คือรากฐานของจิตมรรค เป็นต้นกำเนิดของมัน ลึกลับเป็นปริศนาถึงที่สุด
ไม่เหมือนกับรูปจำลองเจตจำนง หลินสวินยังไม่เคยได้ยินว่าบนโลกนี้ยังมีทวารหัวใจของผู้ฝึกปราณคนไหนจะควบรวมเป็นปรากฏการณ์ประหลาดได้!
‘เป็นเพราะหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์สรรสร้างจากความว่างเปล่าหรือ…’ หลินสวินเดาอะไรบางอย่างได้กลายๆ แต่กลับไม่กล้าแน่ใจ
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ‘ไม่ว่าอย่างไร การฝึกคราวนี้ก็ทำให้สภาวะจิตและเจตจำนงของข้าทะลวงถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน หากอยากจะแปรสภาพอีก เกรงว่ามีแต่บรรลุระดับจักรพรรดิถึงทำได้…’
ขณะที่ครุ่นคิดไปพลาง หลินสวินก็หันหน้ามองไกลออกไป
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยเข้านรกอำพรางชั้นเก้าได้หรือไม่” หลินสวินยิ้มถาม
ชายชุดเทารีบร้อนโบกมือ “ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโส เจ้ากับข้าเรียกกันเป็นรุ่นเดียวกันก็พอ ข้ามีฉายามรรคว่าหลิงอู่ ผู้คนบนโลกเรียกข้าว่าจักรพรรดิสงครามหลิงอู่”
เขาหยุดไปแล้วเอ่ยต่อว่า “สหายน้อยไม่ต้องรีบร้อนจากไป ชั้นเก้านั้นยังมีความเร้นลับ ถ้าเจ้าไม่ถือสาข้าจะแนะนำให้เจ้าสักรอบก็ได้”
แน่นอนว่าหลินสวินไม่ถือ ยิ้มพลางตอบรับ
จักรพรรดิสงครามหลิงอู่เชิญหลินสวินนั่งกับพื้น ส่งกาเหล้าใบหนึ่งให้เขาแล้วเอ่ยทอดถอนใจว่า “สหายน้อย ความสามารถที่เจ้าแสดงออกมาในวันนี้เปิดหูเปิดตาข้านัก ต่อให้นึกถึงในตอนนี้ใจยังสงบได้ยากนะ”
หลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่ายามจักรพรรดิสงครามหลิงอู่ปฏิบัติตัวกับตน ท่าทีเปลี่ยนไปชนิดพลิกฟ้าดิน ไม่มีความน่าเกรงขามของบุคคลระดับจักรพรรดิอย่างตอนแรก เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น ในวาจาไม่ปิดบังความชื่นชมที่สักนิด
“สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว”
เขารับกาเหล้ามา ยิ้มพลางดื่มกับจักรพรรดิสงครามหลิงอู่ ไม่ให้เรียกผู้อาวุโส เช่นนั้นก็เรียกกันว่าสหายยุทธ์ ถึงอย่างไรผู้อาวุโสก็เหมือนสหายยุทธ์ที่มีประสบการณ์มาก่อน
ไม่นานนักหลินสวินก็ได้รู้ว่า หลายพันปีก่อนในนรกอำพรางชั้นเก้าเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึง เขตต้องห้ามอสนีอันแปลกประหลาดหาใดเทียบแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น
และในตอนที่เขตต้องห้ามอสนีปรากฏ วิญญาณร้ายที่กระจายตัวในชั้นเก้าล้วนตายคาที่ทั้งหมดในคืนเดียว!
กล่าวโดยทั่วไป มีเพียงบุคคลระดับจักรพรรดิถึงมีรากฐานพลังเข้าไปในชั้นเก้า เพราะวิญญาณร้ายที่กระจายตัวอยู่ในนั้นต่างมีพลังต่อสู้กับสติปัญญาที่เทียบได้กับระดับจักรพรรดิ
แต่ก็เป็นวิญญาณร้ายกลุ่มนี้ที่จู่ๆ กลับตายคาทีจนหมด ความเปลี่ยนแปลงประหลาดที่น่าตกตะลึงนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของเรือนเร้นหมอกและหอวิหคทองแดง
ในตอนนั้นจักรพรรดิสงครามหลิงอู่กับระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ เข้าไปในนั้นด้วยกันเพื่อสืบหาความจริง
แต่เมื่อเข้าใกล้เขตต้องห้ามอสนีอันพิสดารแห่งนั้น ต่างถูกอานุภาพน่ากลัวขวางอยู่ข้างนอก ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้แต่นิดเดียว
หลังผ่านการสังเกตอย่างยาวนาน พวกจักรพรรดิสงครามหลิงอู่จึงพบว่า เป็นไปได้สูงมากที่ในส่วนลึกของเขตต้องห้ามอสนีนั้นจะมีร่างวิญญาณที่มียอดปัญญาตนหนึ่งถือกำเนิดขึ้น!
มิหนำซ้ำยังไม่เหมือนกับวิญญาณร้ายที่ตื่นรู้มีสติปัญญาเหล่านั้น ร่างวิญญาณตนนี้ไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้ฝึกปราณ จำศีลอยู่ในส่วนลึกของเขตต้องห้ามอสนีมาตลอด ดูลึกลับและเก็บเนื้อเก็บตัวหาใดเทียบ
พูดถึงตรงนี้จักรพรรดิสงครามหลิงอู่ก็เผยสีหน้าประหลาดใจ “ต่อมายามพวกเรากำลังสำรวจอยู่ ก็มีคนเห็นว่าในส่วนลึกของเขตต้องห้ามอสนีนั้นปรากฏเงาต้นไม้เล็กต้นหนึ่งอยู่รางๆ ยังไม่ถึงสามฉื่อด้วยซ้ำ ทั้งต้นสีแดงสดเหมือนเลือด เปลือกไม้มีประกายหนาวเหน็บรางเลือนเหมือนโลหะ กิ่งก้านโล้นคล้ายดาบคล้ายกระบี่…”
“น่าเสียดาย ต้นไม้เล็กนั้นโผล่แวบเดียวก็หายไป ไม่พบเห็นอีก แต่พวกเราต่างมั่นใจว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่ต้นไม้เล็กนั้นจะเป็นร่างวิญญาณที่มียอดปัญญาตนนั้น!”
ฟังถึงตรงนี้ความคิดบ้าบิ่นอย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจหลินสวิน…
ต้นไม้เล็กสีแดงโลหิตนั่น คงไม่ใช่ต้นไม้เทพคุนอู๋กระมัง
คิดถึงตรงนี้ใจหลินสวินก็เต้นระส่ำ
ต้นไม้เทพคุนอู๋ในตำนาน ลำต้นเหมือนหล่อขึ้นจากทองแดง กิ่งก้านใบราวกับกระบี่เทพลอยฟ้า ภายในมีแก่นอัคคีแรกกำเนิดฟ้าประทาน เพราะสถานที่ที่มีต้นไม้นี้อุบัติขึ้น จะต้องเกิดเพลิงอสนีขึ้นมา!
นี่ก็คือความลึกลับบางประการของต้นไม้เทพคุนอู๋ ที่ต้นสำริดเฒ่าซึ่งตอนนี้ถูกกำราบอยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดบอกหลินสวิน
มีเพียงวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิที่แปลงมาจากรากท่อนหนึ่งของต้นไม้เทพคุนอู๋อย่างต้นสำริดเฒ่า ถึงเข้าใจต้นไม้เทพคุนอู๋เป็นที่สุด!
“สหายน้อย คราวนี้ข้าไม่ได้เตือนเจ้าว่าอย่าไป แต่ชั้นเก้านั่นไม่มีวิญญาณร้ายอยู่นานแล้ว เหลือเพียงเขตต้องห้ามอสนีแห่งหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นต้องไปฝึกแล้ว”
จักรพรรดิสงครามหลิงอู่พูดต่อเองว่า “ส่วนชั้นสิบ เป็นขอบเขตของ ‘เก้าชั้นล่าง’ ไปแล้ว ในนั้นมีพลังระเบียบฟ้าดินกระจายอยู่ ขัดขวางไม่ให้ผู้ที่มีระดับต่ำกว่าจักรพรรดิทั้งหมดเข้าไปได้”
ความนัยแฝงชัด ว่านรกอำพรางนี้ไม่เหมาะให้หลินสวินในตอนนี้ฝึกต่อไปอีกแล้ว ได้เวลาจากไป
“สหายยุทธ์ ข้าอยากไปดูชั้นเก้าสักหน่อย” ขณะที่หลินสวินพูดก็ลุกขึ้นแล้ว “ต่อให้ไม่ใช่เพราะฝึกยุทธ์ ก็เพื่อให้ได้เห็นทัศนียภาพของเขตต้องห้ามอสนีนั้น”
จักรพรรดิสงครามหลิงอู่อึ้งไป ยิ้มถามว่า “ไม่ยอมจากไปเท่านี้ใช่ไหม”
“ไม่ขนาดนั้น”
หลินสวินส่ายหน้า กำลังจะบอกลาแล้วจากไป
“สหายน้อยช้าก่อน ความจริงแล้วข้าอยากรู้นักว่าด้วยพลังปราณของเจ้าในตอนนี้ เหตุใดจึงไม่ไปแจ้งมรรคระดับจักรพรรดิ” ระหว่างที่หลินสวินกำลังจะจากไป จักรพรรดิสงครามหลิงอู่ก็ถามอย่างอดไม่ได้
นี่ก็คือความกังขาข้อใหญ่ที่สุดในใจเขา
“ข้าเพียงรู้สึกว่ายังไม่พอ ยังไปถึงขีดจำกัดของตัวเองไม่ได้…”
ในขณะที่เสียงยังแว่วอยู่ในหู ตัวหลินสวินก็หายลับไปแล้ว
จักรพรรดิสงครามหลิงอู่นิ่งอึ้งเหม่อลอยอยู่นาน อดถอนใจไม่ได้ มรรควิถีในตัว ข้ามปราการสวรรค์ระดับจักรพรรดิไปสังหารสัตว์ร้ายระดับจักรพรรดิได้แล้ว… ยังไม่พอหรือ
สภาวะจิตกับพลังเจตจำนงก็ทำลายแดนผนึกมรรคราบคาบแล้ว… ยังไม่พอหรือ
‘เจ้าหมอนี่ เป็นปีศาจที่หาได้ยากในชั่วกาลจริงๆ!’
จักรพรรดิสงครามหลิงอู่มองดูเงาร่างหลินสวินหายลับไปช้าๆ คิดเล็กน้อยก่อนหยิบม้วนหยกส่งข่าวม้วนหนึ่งออกมา ส่งข่าวที่หลินสวินพิชิตเจตจำนงกระถางใหญ่ ทำลายแดนผนึกมรรคออกไป
……
นอกนรกอำพราง
พวกชายผีสุรา ต้าหวงและชิงอิงต่างมองดูข่าวที่เพิ่งส่งมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย ตกอยู่ในความเงียบงันน่าประหลาด
ครู่ใหญ่ต้าหวงจึงคร่ำครวญราวสูญเสียบิดามารดาไป “สถิติของนายท่านในตอนนั้น ถูกเจ้าหนุ่มนั่นทำลายลงได้อย่างไร ใครบอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง”
บนหน้าสุนัขของมันเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ ท่าทางถูกกระทบกระเทือน
ผีสุรากับชิงอิงสบตากัน ต่างไม่ถือสาเจ้าสุนัขที่เหมือนเสียสติอย่างมัน
“จากที่ข้าดู พอผ่านเรื่องนี้ไปนายท่านต้องยอมรับเขาแน่”
ผีสุราพูด
“ต้องยอมรับหรือ ความจริงเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”
ชิงอิงเอ่ย จิตใจนางปั่นป่วน ไม่อาจสงบได้เช่นกัน
ผีสุรานิ่งคิดแล้วตัดสินใจส่งต่อข่าวนี้ทันที เรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าเช่นนี้ก็ต้องแจ้งให้นายท่านทราบทันที
แต่กลับถูกต้าหวงรั้งไว้อย่างร้อนใจ “เจ้าบ้าไปแล้ว คนที่หยิ่งทระนงอย่างนายท่าน ถ้าได้รู้ข่าวเช่นนี้จะรู้สึกไม่พอใจปานไหน”
“เจ้าหนุ่มนั่นเป็นศิษย์น้องเล็กของนายท่าน ข้าว่านายท่านจะมีแต่ยิ่งภูมิใจถึงถูก”
ขณะที่พูดผีสุราก็ส่งข่าวออกไป
“จบกัน ถ้านายท่านไม่พอใจ จะต้องเอาข้ามาระบายอารมณ์แน่… ในอดีตเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ต้าหวงโอดครวญ
ผีสุราเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “วางใจได้ นายท่านไม่เอาเจ้าไปตุ๋นหรอก…”
ยังไม่ทันพูดจบต้าหวงก็คำรามคราหนึ่ง โผขึ้นกัดทันที
……
“สามเดือน ทำลายสถิติทั้งหมดของข้าในตอนนั้น และเอาชนะเจตจำนงกระถางใหญ่นั่นล้างอายให้เจ้าได้ ตอนนี้ถ้าให้เจ้าไปเผชิญหน้ากับศิษย์น้องเล็กผู้นั้น เจ้าจะยังหยิ่งผยองได้ไหม”
หลังได้ข่าวซีชิงเอ่ยปาก วาจาดั่งดาบ
จ้งชิวที่อยู่ตรงข้ามนิ่งเงียบ
ซีเชือดเฉือนต่อ “คิดๆ ดูก็ใช่ สถิติในตอนนั้นยังถูกทำลาย เปลี่ยนเป็นใครก็คงไม่พอใจ เจ้าก็อย่าทนอยู่ ในใจมีอะไรไม่พอใจก็พูดออกมาให้ข้าฟังได้เลย”
“เจ้าอยากฟังหรือ” ในที่สุดจ้งชิวก็เอ่ยปาก
ซีพยักหน้า
ทันใดนั้นจ้งชิวก็หัวเราะเสียงดังมีชีวิตชีวา ท่วงท่าสง่างาม หัวเราะจนฟ้าดินไหวระรัว ภูผาธาราสั่นสะท้าน…
และหัวเราะจนซียังอึ้งงันอยู่เช่นนั้น รู้สึกประหลาดใจนัก
“นี่ก็คือสิ่งที่ข้าอยากพูด”
ขณะที่จ้งชิวพูดก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีก “ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะมีแต่ความภูมิใจ
ก็แค่ ภูมิใจกับศิษย์น้องเล็กคนนั้น