หลังจากแหงนมองท้องฟ้ามืดครึ้มซึ่งมีสายฟ้าสีขาวสว่างแลบแซม เดอร์ริคตัดสินใจไม่เดินไปเคาะประตูบ้านคนรู้จัก ตรงกันข้าม มันเดินไปบนถนนใหญ่โดยมีจุดหมายเป็นลานโล่งสุดขอบกำแพงเมืองเงินพิสุทธิ์
ทุกครั้งหลังจากทีมสำรวจกลับมา สมาชิกในทีมจะถูกบังคับให้อยู่ภายในเขตนี้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่เพียงจะสะดวกต่อการรายงานผลภารกิจ แต่ยังเป็นการกักกันทางอ้อมอย่างนุ่มนวล จุดประสงค์เพื่อคอยคัดกรองภัยอันตรายซึ่งอาจแทรกซึมอยู่ในร่างกายสมาชิกทีมสำรวจ
ระเบียบขั้นตอนข้างต้นเกิดจากประสบการณ์อันยาวนานกว่าสองพันปีของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่ยุ่งยากแต่ได้ประสิทธิผล
ในวินาทีเดอร์ริคย่างกรายเข้าสู่ลานฝึกพร้อมขวานเฮอริเคนเหน็บเอว ดวงตาเด็กหนุ่มพลันลุกวาวเมื่อได้พบอาวุโสโลเฟียร์—สตรีเลอโฉมจนดูคล้ายหญิงสาววัยสามสิบ ขณะเดียวกัน เดอร์ริคมองเห็นใบหน้าบุคคลคุ้นเคยอีกสอง
จากสภาพแวดล้อมจำกัดจำเขี่ยของเมืองเงินพิสุทธิ์ จำนวนประชากรจึงอยู่ในระดับคงตัวมาตลอด ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง กลุ่มคนแต่ละช่วงอายุเฉลี่ยแล้วจะมีสัดส่วนเท่ากัน ดังนั้น ในวัยเดียวกัน ถึงเดอร์ริคจะไม่กล้าพูดเต็มปากว่าตนรู้จักทั้งหมด แต่ก็เคยเห็นหน้ามาแล้วเป็นส่วนใหญ่แน่นอน บางคนเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน บางคนเป็นเพื่อนร่วมคาบเรียนพิเศษ และบางคนเป็นเพื่อนในลานฝึก
จากบรรดาสมาชิกทีมสำรวจด้านใน เดอร์ริคคุ้นเคยคนหนึ่งเป็นพิเศษ อีกฝ่ายคือเด็กหนุ่มนาม ‘ดาร์ก·รีเจนซ์’ ผู้เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมลาดตระเวนด้วยกันมาก่อน
ดาร์กมีส่วนสูงปานกลาง รูปร่างท้วมเล็กน้อย แข็งแกร่ง พละกำลังมาก มองโลกในแง่ดี และเป็นคนสดใสร่าเริง ใบหน้ามักฉาบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเสมอ ปัจจุบันอยู่ในลำดับ 8 กลาดิเอเตอร์ บนเส้นทางยักษา
เดอร์ริคและเพื่อนสนิทกำลังถูกกีดขวางด้วยแผ่นกระจกสีดำโปร่งแสงซึ่งแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไม่มีโอกาสได้สัมผัสทางกายภาพต่อกัน ต้องรอให้หน่วยคัดกรองยืนยันเสียก่อนว่า ไม่มีความผิดปรกติใดเกิดขึ้นกับทีมสำรวจ จึงค่อยได้รับอิสระและถูกปล่อยออกมาด้านนอก
เดอร์ริค ผู้เก็บตัวและเงียบขรึมนับตั้งแต่สูญเสียพ่อแม่ ทำการโบกมือทักทายดาร์ก
เมื่อสัมผัสถึงบางสิ่งเคลื่อนไหว กลาดิเอเตอร์ ดาร์ก หันมามองเดอร์ริค
“ดาร์ก เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ได้พบเจอเรื่องอันตรายใช่ไหม?” เดอร์ริคตะโกน
วัสดุสร้างกำแพงสีดำโปร่งแสงสามารถพบได้จากเขตรอบนอกไม่ไกลจากกำแพงเมืองเงินพิสุทธิ์มากนัก มันถูกเรียกว่า ‘อำพันมืด’ ผิวแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ขณะเดียวกันก็ยังโปร่งแสงและลำเลียงเสียงได้ดีในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ถ้อยคำของเดอร์ริคไม่ถูกลดทอน
เดอร์ริคจินตนาการว่า ดาร์กคงฉีกยิ้มกว้างและโบกมือตอบกลับมาทำนอง :
‘นายก็เห็นแล้วนี่! ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนสักหน่อย หมายความว่าพวกเราไม่ได้เผชิญเหตุการณ์วิกฤติยังไงล่ะ!’
ทว่า หลังจากได้ยินคำถาม ดาร์กเดินเข้ามาใกล้กำแพงใสพลางยิ้มตอบแผ่วเบา
“ไม่มี ทุกสิ่งราบรื่น”
เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นชืด เดอร์ริคพลันสั่นสะท้านไปทั้งลำตัว เป็นความรู้สึกคล้ายกับกำลังตั้งค่ายภายในซากปรักหักพังของหอคอยหรือวิหารร้างตามลำพัง โดยด้านนอกเต็มไปด้วยความมืดมิดและสัตว์ประหลาดรอรุมขย้ำ
…
ณ สโมสรครักซ์ ไคลน์และนายแพทย์อลันตกลงค่าจ้างกันเรียบร้อย :
สองปอนด์!
คุณหมอร่ำรวยสมคำร่ำลือ… หากเป็นเราเมื่อไม่กี่เดือนก่อน งานแบบนี้คงได้รับค่าจ้างแค่ 10 ซูลเท่านั้น…
ไคลน์ ผู้ยินดีรับงานนี้แม้จะไม่ได้เงิน กำลังลิงโลดภายในใจ
มันยังจำได้แม่นว่า สมัยยังทำงานกับเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น ผู้เก็บซากศพ ฟราย เคยบอกว่า สำหรับอาชีพหมอ หากมีชื่อเสียงจะได้รับค่าจ้างในอัตราสูงมาก
ในตอนนั้น ฟรายมอบข้อมูลเปี่ยมสาระตรงข้ามกับนักกวีเก๊ เลียวนาร์ด·มิเชล โดยสิ้นเชิง เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า :
‘ไม่ว่าใครก็ตาม หากสามารถซื้อบ้านติดถนนในย่านพลุกพล่านของเมืองเบ็คลันด์ได้ ธุรกิจแรกในหัวคือการเปิดคลินิก’
ขณะเดียวกัน ไคลน์และอลันได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ทั้งสองจะไปเยี่ยมบ้านของเด็กหนุ่มวิล·อัสตินหลังจากเสร็จมื้ออาหารค่ำ
ในเมื่อยังไม่บ่ายสาม ครูสอนขี่ม้า ทาลิม·ดูมงต์ ได้ชักชวนสหายทั้งสามคนไปนั่งบนโต๊ะเล่นไพ่ จากนั้นก็เริ่มเล่นไพ่เสิงจี๋*ซึ่งถูกคิดค้นโดยจักรพรรดิโรซาย
(เสิงจี๋ – เกมไพ่เชิงนับเลข มีความหมายตรงตัวว่า ‘ยกระดับ’)
เราวางแผนว่าจะเล่นเทนนิส ซ้อมยิงปืน อ่านหนังสือในหอสมุด และพักผ่อนหย่อนกายสบายใจ… ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้…
ไคลน์รำพันขณะเล่นไพ่กับพวกพ้อง
ด้วยความสัตย์จริง หากพึ่งพาพลังของนักมายากล ชายหนุ่มสามารถปล้นเงินจากดอกเตอร์อลัน นักข่าวไมค์ และทาลิม ด้วยเกมไพ่จนทุกคนเกลี้ยงกระเป๋า
แต่พวกเขาโชคดีมาก เพราะเราเป็นคนดี จึงใช้แค่ฝีมือส่วนตัวกับดวงอีกเล็กน้อย…
ขณะบริกรชายกั๊กแดงกำลังสับไพ่ ไคลน์หยิบขนมปังกรอบรสครีมขึ้นมากัดเต็มคำ
มันอดสรรเสริญภายในใจไม่ได้ว่า :
เจ๋งเป้ง!
ระหว่างเกมไพ่ ไคลน์ตระหนักถึงความไม่ปรกติหนึ่งสิ่ง นั่นคืออารมณ์ในปัจจุบันของครูสอนขี่ม้า ทาลิม·ดูมงต์ ชายคนนี้มีสุขภาพจิตดีขึ้นจากคราวก่อนมาก
หรือว่าปัญหาเพื่อนของเขา ผู้มีความรักต้องห้าม ได้รับการสะสางแล้ว?
ชายหนุ่มครุ่นคิดขณะจิบชาดำซิบป์
ในฐานะนักสืบ ไคลน์ทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ควรถูกถามต่อหน้าธารกำนัล จึงเก็บงำไว้ในใจ และเพ่งสมาธิกับเกมไพ่ตรงหน้า
ล่วงเลยจนถึงห้าโมงเย็น ไมค์ขอตัวลาเนื่องจากต้องกลับบริษัท ทำให้เกมไพ่ต้องถูกยกเลิกเพราะขาดขา โดยผลประกอบการของไคลน์เท่ากับ 5 ซูล
เริ่มมีโชคกับเขาบ้างแล้วสินะ…
ขณะครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ไคลน์เหลือบเห็นนายแพทย์อลันลุกไปเข้าห้องน้ำ จึงหันไปกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ทาลิม ปัญหาของเพื่อนคุณได้รับการสะสางแล้วหรือ?”
ทาลิม ผู้กำลังโยนไพ่ในมือลงบนโต๊ะ พลันออกอาการชะงักราวหนึ่งอึดใจ ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มแห้ง
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด”
มันเว้นวรรค ตามด้วยการเสริมเรื่องเล่ายาวเหยียด
“เหตุการณ์ไม่ได้ร้ายแรงตั้งแต่แรก ผมเป็นฝ่ายคิดมากไปเอง สรุปโดยสั้น นี่เป็นเรื่องราวของสุภาพบุรุษหนุ่มสูงศักดิ์คนหนึ่ง ซึ่งดันไปตกหลุมรักสามัญชนไม่คู่ควรเข้า คุณคงทราบดี ด้วยฐานะระดับดังกล่าว เขาจำเป็นต้องแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางใหญ่เท่านั้น แม้แต่บุตรสาวพ่อค้ามั่งคั่งก็ยังไม่คู่ควร”
แค่นี้เองหรือ… เราดันไปคิดว่าจะเป็นเรื่องราวสุดพิสดารจำพวก หลงรักผู้ชายด้วยกัน หลงรักสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็ไม่สามารถแต่งงานกับอีกฝ่ายได้ด้วยปัญหาด้านศีลธรรม เช่นพี่น้องร่วมสายเลือด…
ไคลน์แสดงสีหน้าผิดหวังโดยไม่ปิดบัง
“ตามความเข้าใจของผม สุภาพบุรุษของชนชั้นสูงสามารถมีภรรยารองได้ไม่ใช่หรือ”
“ผิดแล้ว เชอร์ล็อก คุณยังไม่เข้าใจ สิ่งนี้เรียกว่าความรัก รักแท้อันบริสุทธิ์! สุภาพบุรุษหนุ่มคนดังกล่าวต้องการแต่งงานกับหญิงสาวสามัญชนคนนั้นเพียงผู้เดียว!” ทาลิมเล่าพลางถอนหายใจ
แน่นอน ผมต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว ในเมื่อยังเป็นแค่หนุ่มโสดซิง…
ไคลน์ไม่ตอบโต้ · ทาลิมยังคงถอนหายใจ
“เพื่อให้สุภาพบุรุษหนุ่มคนดังกล่าวมีอนาคตสดใส ผมถึงขั้นเคยคิดจะจ้างนักลอบสังหารมาเก็บเธอ ฮะฮะ! แต่เนื่องจากผมเป็นพลเมืองดีและยังเคารพกฎหมายอยู่ นั่นจึงเป็นได้แค่ความคิด”
“แล้วถูกสะสางได้อย่างไร?” ไคลน์แสดงสีหน้าสนอกสนใจ
ทาลิมยกกาแฟชาวเขาขึ้นมาจิบ
“ทางออกง่ายดายจนน่าเหลือเชื่อ ผมแค่เดินไปคุยกับหญิงสาวสามัญชนคนนั้นอย่างเปิดอก อธิบายผลเสียซึ่งจะตามมาหากพวกเขาแต่งงานกัน และเมื่อได้ฟังเรื่องราว เธอแสดงความประสงค์จะเป็นฝ่ายจากไปทันที อีกทั้งยังให้ผมหาทางช่วยเหลือ ต้องขอบอกตามตรงว่า เธอมีจิตใจงดงาม คิดถึงหัวอกผู้อื่น กิริยามารยาทเพียบพร้อม และยังเลอโฉมมาก หากไม่เพราะกังวลถึงศักดิ์ศรีตัวเอง ผมคงคุกเข่าลงต่อหน้าเธอและจุมพิตหลังฝ่ามือไปแล้ว”
“ฟังดูเหมือน ผมคงช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้แต่แรก…” ไคลน์ตอบพร้อมกับยกถ้วยชาดำเลี่ยมทองขึ้นจิบ
ในฐานะผู้มาเยือนจากดาวเคราะห์ชื่อโลก มันมีกฎเหล็กในใจอยู่หนึ่งข้อ :
ห้ามยุ่งเรื่องของผัวเมียเด็ดขาด!
ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นสุนัข!
แต่สำหรับไคลน์ การไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นคนละความหมายกับการ ‘เผือก’ เรื่องชาวบ้านโดยสิ้นเชิง
ถ้าเป็นอย่างหลัง ให้ฟังถึงเช้าก็ยังได้
…
สำหรับอาหารค่ำของสโมสรครักซ์ในวันนี้ จานจำกัดเสิร์ฟคือล็อบสเตอร์โซเนียอบเนย หลังจากกินเสร็จ ไคลน์และอลันขึ้นรถม้าของรายหลัง ตรงไปยังบ้านวิล·อัสติน—อาคารหมายเลข 66 ถนนดาลตันในเขตเหนือ
นี่คือข้อมูลจากความทรงจำอลัน มันไม่ได้ย้อนกลับไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบประวัติคนไข้ย้อนหลัง
ขณะเดียวกัน ไคลน์กำลังมั่นใจว่า ร่องรอยเกือบทั้งหมดของเด็กชาย คงถูกเหยี่ยวราตรีเก็บกวาดไปจนหมดแล้ว
ในฐานะอดีตเหยี่ยวราตรี เรารู้ไส้รู้พุงการทำงานทุกกระเบียดนิ้ว… ชายหนุ่มยิ้มชืด
หลังจากดึงกริ่งบ้านและยืนรอสักพัก สาวใช้หน้าตาธรรมดาในชุดขาวสลับดำเดินมาเปิดประตู ตามด้วยการก็ซักถามอย่างงุนงง
“คุณสุภาพบุรุษทั้งสอง มีอะไรให้ดิฉันช่วยหรือคะ?”
เมื่อเห็นอลันเงียบขรึมตามนิสัย ไคลน์เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา
“พวกเราต้องการพบวิล·อัสติน ทางนี้คือนายแพทย์เจ้าของไข้ เขามาเพื่อตรวจสอบผลการรักษาหลังผ่าตัด”
“ด…ดิฉันไม่รู้จักค่ะ เพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน ขอตัวกลับเข้าไปถามเจ้านายก่อนนะคะ…”
สาวใช้ตอบพลางขมวดคิ้ว
ขณะยืนรอด้านนอก อลันหันมาพูด
“ถ้าผมเป็นเธอ ก็คงหลงเชื่อเรื่องโกหกของคุณเหมือนกัน”
“ทักษะพื้นฐานของนักสืบ” ไคลน์ยิ้ม
ภายในไม่กี่อึดใจ ชายวัยห้าสิบเดินมาถึงหน้าบ้านและกล่าวเสียงขรึม
“วิล·อัสตินกับครอบครัวได้ย้ายไปออกไปแล้วในวัน…”
ชายสูงอายุบอกวันเวลาอย่างชัดเจน
อลันไล่นับวันถอยหลังพลางขมวดคิ้ว
“ทำไมพวกเขาถึงต้องรีบร้อนย้ายบ้านหลังจากออกโรงพยาบาลได้เพียงสองวันด้วย?”
ศัลยแพทย์คนดังสวมบทบาทราวกับเดินทางมาตรวจอาการเด็กหนุ่มตามคำกล่าวอ้าง
ไคลน์พลันทำหน้างุนงง มันรีบถามกลับ
“ทำไมคุณถึงทราบวันเวลาชัดเจนนัก?”
ตามปรกติแล้ว ผู้เช่ารายใหม่จะย้ายเข้าหลังจากผู้เช่ารายเดิมย้ายออกไปได้สักพัก
ชายสูงอายุตอบกึ่งฉุนเฉียว
“ก็เคยมีคนบางกลุ่มแวะถามหาสิ่งเดียวกับพวกคุณยังไงล่ะ ผมถึงกับต้องไปถามเจ้าของบ้าน เพื่อให้ได้ข้อมูลมาตอบพวกเขา!”
เหยี่ยวราตรีแน่นอน…
ไคลน์ซักถามอย่างไม่คาดหวัง
“แล้วคุณพอจะรู้ไหมว่า ครอบครัวอัสตินย้ายไปพักอาศัยแถวไหน?”
“ไม่” ชายสูงอายุตอบห้วน
“พวกเขาทิ้งอะไรไว้บ้างไหม” ไคลน์ลังเลเล็กน้อยก่อนถามซักไซ้
“ก็มีบ้าง” ชายสูงอายุพักสูดลมหายใจยาว จากนั้นจึงเล่าต่อ “แต่คนกลุ่มเดิมก็มาเอาไปหมดแล้ว!”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเหยี่ยวราตรี เราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำใจ… ถึงจะมีแนวคิดตรงกัน แต่ทางนั้นมีอำนาจอยู่ในมือ…
ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว
เมื่อมั่นใจว่าไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม ไคลน์กับอลันนำพาตัวเองออกจาก 66 ถนนดาลตัน
“ผมเกรงว่า กว่าคุณจะได้ขจัดความคาใจ คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่” ไคลน์หันไปคุยกับนายแพทย์คนดัง
อลันเงียบงันหลายวินาที ตามด้วยการถอนหายใจยาว
“เมื่อเรื่องราวลงเอยเช่นนี้ ผมคงไม่ติดค้างอะไรอีก ผมเป็นแค่หมอคนหนึ่ง ยังมีคนไข้อีกหลายรายรอให้รักษา การมีสมาธิกับงานตรงหน้าคือสิ่งสำคัญ ผมจะไม่มัวกังวลว่าคนไข้จะคิดอย่างไร และทำไมถึงต้องสาปความโชคร้ายใส่ นับแต่นี้ไป ผมจะทำงานฝั่งตัวเองอย่างสุดฝีมือ ไม่มีอะไรให้ค้างคาใจภายหลัง”
“คิดได้ดีครับ” ไคลน์พยักหน้าเห็นด้วยจากก้นบึ้ง “เอ่อ… ขอถามสักนิด เกิดอะไรขึ้นกับขาซ้ายของวิล·อัสติน?”
“บริเวณน่องซ้ายมีเนื้องอกประหลาด มันขยายตัวเป็นวงแหวนจนกระทั่งกดทับเส้นเลือดใหญ่” นายแพทย์อลันเล่าพลางเค้นสมองนึก “แต่เด็กคนนั้นใจสู้จนน่าเหลือเชื่อ ไม่แสดงท่าทีเสียใจเลยสักนิด อาจเผยความกลัวให้เห็นอยู่บ้าง…
“ในตอนแรก พวกเราหวังจะเก็บขาซ้ายของเขาไว้ให้ได้ แต่อาการกลับแย่ลงเรื่อยๆ จนต้องตัดทิ้ง”
……………………