เขายิ้มพลางกล่าว “สาวน้อย เจ้ากลัวแล้วใช่หรือไม่! ถ้ากลัวก็รีบไสหัวลงไปจากลานประลองเสียสิ มิเช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว!”
“น่าจะถึงเวลาแล้วล่ะ” มู่เฉียนซีบ่นพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้นเอง ร่างในชุดม่วงนั้นก็ได้อันตรธานหายไปจากตรงหน้าเขา
ทั่วทั้งลานประลองแผ่ซ่านไปด้วยพลังธาตุวารีอันเย็นยะเยือก “ผนึกมังกรวารี!”
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
“มังกรวารีสังหาร!”
ทักษะพลังธาตุวารีโจมตีออกไปราวกับใช้ไม่หมดก็มิปาน มันพุ่งออกไปยังจุดที่ทุกคนกำลังต่อสู้อยู่
พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่ากระต่ายน้อยตัวหนึ่งจะกลับกลายเป็นหมาป่าที่โหดร้ายได้
ปัง ปัง ปัง!
ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของมู่เฉียนซี คนจำนวนมากที่ไม่ระวังก็ถูกโจมตีจนกระเด็นลงไปจากลานประลอง
คนเมื่อครู่ที่คิดจะลงมือกับมู่เฉียนซีก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นจนเหงื่อเย็นผุดพรายไปทั่วตัว ช่างกล้าหาญยิ่งนัก!
โชคดี…โชคดีที่เมื่อครู่เขาไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ
มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวแล้ว และแน่นอนว่ากู้ไป๋อีก็ไม่ได้อยู่เฉย กระบี่เฉียนหานถูกชักออกมาจากฝัก
“เงาจันทราเย็นยะเยือก!”
ทักษะกระบี่ยอดเยี่ยมมากอย่างไร้ที่ติทำให้คนเหล่านี้ต่างก็รู้สึกขนหัวลุก
น่ากลัว!
ท่านเจ้าเมืองเหยียนกล่าว “พลังของเขาเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ?”
เย่เฉินกล่าว “ใช่! นายท่านกู้นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
ความแข็งแกร่งของกู้ไป๋อีนั้นลึกลับมาโดยตลอด เดิมทีเขาไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย แต่ผ่านไปไม่นานก็กลายเป็นจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับหนึ่งแล้ว
และครานี้เขาได้ออกไปฝึกฝนประสบการณ์กับนายท่าน กลับมาก็กลายเป็นจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับเก้าแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้พลังของเขาจะเป็นเพียงแค่ขั้นจักรพรรดิ แต่เหล่าบรรดาขั้นมหาจักรพรรดิเหล่านั้นก็ต้องตัวสั่นเมื่อได้เผชิญหน้ากับกระบี่ของเขา
มู่เฉียนซีลงมือโจมตีพวกเขา ทำให้คนเหล่านี้โกรธเกรี้ยวขึ้น
“สาวน้อย เมื่อครู่พวกข้ามีเมตตาคิดปล่อยเจ้าไป นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าลอบโจมตีข้า”
“สาวน้อย เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่?”
“ก็แค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่คนเดียว อย่าคิดว่าการที่เจ้าลอบโจมตีและเอาชนะคนไม่กี่คนได้แล้วเจ้าจะไร้เทียมทาน คอยดูให้ดีก็แล้วกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไร”
การที่มู่เฉียนซีลอบโจมตีพวกเขาทำให้คนเหล่านี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้น
ขวับ ขวับ ขวับ! พวกเขาพุ่งไปที่มู่เฉียนซี
ทว่า ความเร็วของมู่เฉียนซีนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สามารถแตะนางได้แม้แต่ชายเสื้อ
และมู่เฉียนซีก็โจมตีด้วยทักษะวิญญาณ “ทักษะเทียนซวน!”
จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าผู้หนึ่งโดนโจมตีด้วยทักษะวิญญาณนี้ร่วงตกลงมาจากลานประลองราวกับผ้าขี้ริ้ว และกรีดร้องเสียงดังลั่นขึ้น
อ้า อ้า อ้า!
มู่เฉียนซีลงมืออีกครั้ง “ทักษะโยวหลัว!”
ปัง ปัง ปัง!
ถึงแม้ว่าผู้ที่อยู่บนลานประลองทั้งหมดล้วนแต่ลงมือกับมู่เฉียนซี แต่กำลังในการต่อสู้อันกล้าหาญของมู่เฉียนซีนั้นกลับทำให้พวกเขาไม่สามารถหาทางหนีทีไล่ที่จะตอบโต้ได้เลยแม้แต่น้อย
ปัง ปัง ปัง!
มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามคนสุดท้ายถูกมู่เฉียนซีโจมตีด้วยทักษะโยวหลัวจนกระเด็นลงไปจากลานประลอง ในตอนนี้เหล่าบรรดาผู้ที่ได้เห็นฉากนี้ล้วนแต่นิ่งอึ้งตะลึงค้างพูดอะไรไม่ออกกันสักคน
ปัง ปัง ปัง!
กู้ไป๋อีก็ได้โจมตีทุกคนจนกระเด็นออกไปจากลานประลองเช่นกัน
คนบนลานประลองอื่น ๆ ยังคงต่อสู้กันอยู่ แต่บนลานประลองหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสามในตอนนี้เหลือเพียงแต่คนสองคนแล้ว
รูปร่างหน้าตาของทั้งสองนั้นงดงามอย่างไร้ที่เปรียบ และความแข็งแกร่งที่วิปริตนั้นก็ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงจนตาค้าง
สำหรับการประลองในรอบแรก ท่านเจ้าเมืองของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองที่ไม่ได้สนใจอันใดเหล่านั้น ในตอนนี้กลับมองไปที่พวกเขาสองคนด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“สองคนนี้มีความสามารถสูงจริงเชียว!”
“พลังวิญญาณอ่อนแอเกินไป แต่ทักษะกระบี่กับทักษะวิญญาณกลับโดดเด่นมาก ทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะศัตรูหลายคนได้อย่างง่ายดาย”
“สองคนนี้อายุยังน้อย แต่กลับมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พรสวรรค์ช่างเป็นปรปักษ์กับสวรรค์จริง ๆ”
รองเจ้าเมืองตงกัวเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตายิ้ม จากนั้นจึงประกาศว่า “เมืองเหลย เมืองเหยียน ผ่านการประลองในรอบแรก”
เมื่อได้ยินคำประกาศของรองเจ้าเมืองตงกัวเช่นนี้แล้ว ทุกคนก็เชื่อว่านี่คือความจริง
ท่านเจ้าเมืองเหล่านั้นที่พ่ายแพ้ตอนนี้สีหน้าดำคล้ำขึ้น พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว
อีกอย่างพวกเขาแต่ละเมืองส่งคนขึ้นไปเพียงคนเดียวก็ถูกพวกเขาสองคนฆ่าแล้ว
นึกไม่ถึงว่าเมืองเหลยกับเมืองเหยียนจะผ่านแล้ว เมืองเล็ก ๆ สองเมืองนี้ไม่พ่ายแพ้ ท่านเจ้าเมืองหู่ก็โกรธเกรี้ยวเดือดดาลขึ้นมาทันที เขาลงมือด้วยความโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น
ครั้นแล้วคู่ต่อสู้ที่ตกอยู่ในกำมือของเขาก็ถูกเขาฆ่าตายด้วยความโหดเหี้ยม
เนื่องจากการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของท่านเจ้าเมืองหู่ เมืองหู่เสี้ยวจึงได้รับชัยชนะไปอย่างรวดเร็ว
รองเจ้าเมืองตงกัวประกาศขึ้นว่า “เมืองหู่เสี้ยว ผ่านการประลองในรอบแรก!”
ท่านเจ้าเมืองชางยิ้มกับมู่เฉียนซีพลางกล่าว “ขอแสดงความยินดีด้วย ยินดีด้วย!”
พลันนั้นเจ้าเมืองหู่ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเจตนาแห่งการสังหาร สายตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อี
“พวกเจ้าผ่านการประลองก็ดีแล้ว ข้าจะได้บดขยี้สมองของพวกเจ้าให้แหลกบนลานประลอง”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านเจ้าเมืองหู่ ท่านอย่าได้กล่าววาจาใหญ่โตจนเกินไปนักเลย เมื่อถึงเวลาหากบดขยี้สมองคนอื่นให้แหลกไม่ได้ แต่ตนเองกลับถูกบดขยี้เสียเอง มันจะได้ไม่คุ้มเสีย”
ท่านเจ้าเมืองหู่กล่าว “นี่เจ้าว่าอันใดนะ?!”
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยันว่า “ท่านเจ้าเมืองหู่ ท่านอายุมากโขจนไม่รู้จะมากเช่นไรแล้ว หูยังมาไม่ดีเช่นนี้อีก ช่างน่าเวทนายิ่งนัก!”
“เวทนาอย่างนั้นเหรอ นี่เจ้ากล้าว่าข้าน่าเวทนา…” ท่านเจ้าเมืองหู่อยากจะพุ่งเข้าไปฉีกปากมู่เฉียนซีจริง ๆ
ในตอนนี้รองเจ้าเมืองตงกัวก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “ท่านเจ้าเมืองหู่ ที่นี่คือเมืองซีเจว๋ ได้โปรดท่านอย่าได้ลงมือนอกลานประลองเลย อย่างไรเสียความสามัคคีก็คือสิ่งล้ำค่าที่สุดนะ!”
“ความสามัคคีเป็นสิ่งล้ำค่า! สาวน้อยผู้นี้รนหาที่ตายชัด ๆ ท่านยังจะให้ข้าสามัคคีอีกอย่างนั้นเหรอ!”
ท่านเจ้าเมืองหู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นแล้วจริง ๆ ดวงตาเขาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉียนซีจนแทบจะถลนออกมาก็มิปาน
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “ท่านเจ้าเมืองหู่ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เห็นแก่หน้าข้า ท่านก็เห็นแก่ท่านเจ้าเมืองของพวกเราด้วยเถอะ”
เมืองซีเจว๋ให้ความสนใจกับฝ่ายนี้แล้ว ถึงอย่างไรเสียมู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้จนผ่านรอบแรกได้ ช่างทำให้ทุกคนทึ่งเสียจริง จะไม่สนใจพวกเขาก็ไม่ได้
ท่านเจ้าเมืองหู่จำต้องยับยั้งอารมณ์เอาไว้ เขากล่าวอย่างดุร้ายว่า “ทางที่ดีพวกเจ้าภาวนาอย่าให้ได้เจอข้าในรอบที่สองก็แล้วกัน มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะฉีกเนื้อพวกเจ้าออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้นแน่!”
อีกเจ็ดเมืองที่เหลือก็ได้รับชัยชนะแล้วเช่นกัน การประลองในรอบแรกวันนี้ก็ได้จบลงแล้ว
ท่านเจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “การประลองในวันนี้ได้จบลงแล้ว วันพรุ่งจะเริ่มการประลองในรอบที่สอง วันนี้ทั่วทั้งเมืองซีเจว๋ได้เตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว จะไม่มีนักฆ่าใดใดอย่างแน่นอน ทุกท่านเชิญพักผ่อนได้อย่างเต็มที่!”
และค่ำคืนนี้ก็ได้ผ่านไปด้วยดีจริง ๆ
เช้าวันต่อมา การประลองของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งสิบเมือง และเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองทั้งสิบสองเมืองก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
และยังคงเป็นการจับฉลากขึ้นประลองหนึ่งต่อหนึ่ง
เมืองเหลยจับฉลากได้เมืองเทียนหลานซึ่งเป็นเมืองระดับสอง ส่วนเมืองเหยียนจับฉลากได้เมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งเมืองหนึ่ง
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “การประลองในรอบที่สอง เริ่มขึ้น ณ บัดนี้! ขอเชิญทุกท่านขึ้นมาบนลานประลองได้!”
ตัวแทนของเมืองเหลยยังคงเป็นมู่เฉียนซีเพียงคนเดียว ส่วนทางด้านเมืองเหยียนก็ยังคงเป็นกู้ไป๋อีเพียงคนเดียวเช่นกัน
ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีผู้มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งเหล่านั้นได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือเมืองเทียนหลานเห็นนางอยู่ในสายตาได้เลย
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในพวกเขาล้วนแต่เป็นขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสอง ยังต้องเกรงกลัวสาวน้อยขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่คนเดียวผู้นี้ด้วยเหรอ
คนเหล่านั้นที่พ่ายแพ้ไปเมื่อวาน นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่พวกเขาไม่เหมือนกับคนเหล่านั้น!
ส่วนคนของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งผู้นั้นเมื่อเผชิญหน้ากับกู้ไป๋อี ในใจกลับเป็นกังวลเล็กน้อย
ผู้ดุร้ายผู้นี้เป็นถึงยอดฝีมือที่ต่อสู้กับเจ็ดเมืองในเมื่อวาน ในตอนนี้พวกเขามีเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้น เกรงว่าพวกเขาทั้งเจ็ดจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
“นายท่าน ได้โปรดเมตตาด้วย ลงมือเบา ๆ นะ!”
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “เริ่มการประลองได้!”
.
.