ปัง!
นึกไม่ถึงว่ากระบี่ของกู้ไป๋อีจะไม่ได้หั่นมือของนางให้ร่วงลงมา
ในตอนนี้เอง มู่หรูเหยียนที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากก็ได้เดินออกมาจากหมอกควันสีดำนั้น
นางมองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าท่าทางที่โหดเหี้ยม ดวงตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นสายตาที่อาฆาตแค้นเป็นอย่างยิ่ง
คอนางปรากฏเส้นลวดลายสีดำขึ้น แก้มข้างซ้ายของนางปรากฏอักขระอักษรตัวหนึ่ง
อักขระอักษรตัวนั้นก็คือ ‘หมิง’
ด้วยท่าทางอันแปลกประหลาดในตอนนี้ของนางทำให้กู้ไป๋อีจำต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
เขาขวางหน้ามู่เฉียนซีเอาไว้ และกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ถอยไป คนผู้นี้ไม่ปกติ”
ในตอนนี้ใบหน้าของมู่หรูเหยียนบิดเบี้ยวเล็กน้อย พลางมองไปที่มู่เฉียนซี “เหอะเหอะ! สามารถทำให้จื่อโยวกับซิงเฉินผู้น่ารักน่าเอ็นดูเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าได้ ดูท่า เจ้าคงจะเป็นหญิงสาวที่เยี่ยสนใจละสิ! ช่างคิดไม่ถึงจริง ๆ!”
ทันทีที่นางกล่าวคำพูดนี้ออกมาก็ทำให้มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง
“เจ้าไม่ใช่มู่หรูเหยียน”
ร่างกายใช่ แต่วิญญาณไม่ใช่
‘มู่หรูเหยียน’ กล่าวด้วยความน่ากลัวว่า “ข้าไม่ใช่นังผู้หญิงโง่เขลาผู้นั้นอย่างแน่นอน มีความสามารถเพียงน้อยนิดแต่กลับทำตัวเหย่อหยิ่ง ยโสโอหัง ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก”
“เพียงแต่ว่า มันกลับทำให้ข้าได้ค้นพบเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง”
ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี และมีความรู้สึกที่อยากจะฉีกเนื้อหนังมังสาของนางออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น
ทันใดนั้นนางก็พุ่งตัวเข้าหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือสีดำพุ่งเข้ามาจากทั้งแปดทิศอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด พร้อมกันนั้นพลังที่ทำให้หายใจได้อย่างยากลำบากนั้นก็ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้หลบหลีกเลย
“ทักษะโยวหลัว!”
“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีลงมือพร้อมกัน แต่ก็ยังต้านทานเอาไว้ไม่ได้
และในตอนนี้เอง ร่างในชุดเขียวร่างหนึ่งได้เคลื่อนไหวขึ้น พลังอันมืดมนได้ขัดขวางฝ่ามือสีดำเหล่านั้นไว้
ตูม!
มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีถูกแรงสั่นสะเทือนจนทำให้ร่างกระเด็นลอยออกไป ถึงแม้ว่าพลังส่วนมากจะถูกจื่อโยวขวางเอาไว้ได้ แต่ก็ยังทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
พรวด!
“บัดซบจริง!” เมื่อเห็นมู่เฉียนซีกระอักเลือดออกมา สีหน้าของจื่อโยวก็เคร่งขรึมลง
เขาชะล่าใจเพียงแค่พริบตาเดียว นึกไม่ถึงว่าจะทำให้คนงามได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ได้ หากเยี่ยรู้เข้าแล้วละก็ เขาต้องมีจุดจบที่น่าอนาถเป็นแน่
สายตาที่เคร่งขรึมคู่นั้นของจื่อโยวจ้องมองไปที่ร่างในชุดขาว “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง หมิงจี นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะยังไม่ตาย”
หมิงจียิ้มอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “เยี่ยยังไม่ตาย ข้าจะจำใจตายได้เช่นไรกัน! ไม่ได้เจอกันนาน ให้ข้าสั่งสอนเจ้าสักหน่อยเถอะ!”
ร่างในชุดขาวพลันแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีดำ จากนั้นกำหมัดสีดำก็พุ่งเข้าหาจื่อโยว
ตูม! พลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ระเบิดขึ้นราวกับจะทำให้เทือกเขาหนานอวิ๋นแตกกระจัดกระจายได้ก็มิปาน
มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีรีบถอยห่าง เย่เฉินกล่าว “นายท่าน ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”
มู่เฉียนซีส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่เป็นอะไรมาก!”
นางมองดูร่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกควันสีดำที่กำลังต่อสู้กับจื่อโยวกลางอากาศ นึกไม่ถึงเลยว่าในร่างของมู่หรูเหยียนจะมีวิญญาณเช่นนี้แอบซ่อนอยู่
ดูท่า คิดจะฆ่ามู่หรูเหยียน ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
ต่อให้เป็นจื่อโยวก็คงจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันเท่านั้น
คิดจะฆ่าเจ้านั่น เพียงแค่จื่อโยวคนเดียวคงจะไม่พอ ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวทันใด กู้ไป๋อีพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าก็มิปาน
“เสี่ยวไป๋!”
เป้าหมายของเขาก็คือวิญญาณแยกร่างของไป๋อู๋ห่าย
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยมีพลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับเก้ามาก่อน และอาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของไป๋อู๋ห่าย ทว่า ตอนนี้พลังวิญญาณกลับห่างชั้นกันถึงหนึ่งขั้นใหญ่!
โชคดีที่วิญญาณแยกร่างนั้นถูกซิงเฉินดึงดูดความสนใจอยู่ ไม่ได้สังเกตเห็นถึงกระบี่อันเย็นยะเยือกที่ลอบโจมตีมาเลย
ในขณะที่วิญญาณแยกร่างของไป๋อู๋ห่ายค้นพบว่ามีบางอย่างลอบโจมตีมาก็ได้สายไปแล้ว รูม่านตาของเขาหดลง
กระบี่นี่…นี่มันกระบี่ของ…
เขาถลึงตาจ้องมองไปที่ร่างในชุดขาวที่อยู่ด้านหลัง “กู้ไป๋อี กู้ไป๋อีนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้า…”
“นี่เจ้ายังกล้าลอบโจมตีข้า!” เขากล่าวเสียงแหลม
กู้ไป๋อีในเมื่อก่อนเกลียดชังการลอบโจมตีเป็นอย่างยิ่ง เขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้โดยการต่อสู้อย่างเปิดเผยเท่านั้น ทว่า ตอนนี้…
ในตอนนี้ เพื่อปกป้องคนที่ตนเองต้องการปกป้องแล้ว เขาสามารถละทิ้งหลักการทั้งหมดได้
ปัง! ค้อนสีทองขนาดใหญ่เต้าหนึ่งทุบเข้าที่ศีรษะของเขา
ปัง! วิญญาณแยกร่างนี้ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ ในขณะเดียวกันมันก็ค่อย ๆ สลายและอันตรธานหายไปในที่สุด
วิญญาณแยกร่างได้ตายไปแล้ว ไป๋อู๋ห่ายไม่สามารถรับรู้เรื่องราวจากวิญญาณแยกร่างนี้ได้ กู้ไป๋อีก็ไม่กลัวว่าตนเองจะถูกเปิดโปง
มู่เฉียนซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยิ้มพลางกล่าว “เสี่ยวไป๋ ไม่เลวเลย ฆ่าได้ในกระบวนท่าเดียว!”
กู้ไป๋อีกล่าว “ที่สำเร็จได้ก็เป็นเพราะว่าข้าค่อนข้างเข้าใจไป๋อู๋ห่าย…”
ตุบ! พูดไม่ทันจบ กู้ไป๋อีก็เป็นลมหมดสติไปแล้ว
การโจมตีเมื่อครู่เขาได้ใช้พลังชีวิตของตัวเองทั้งหมด มิเช่นนั้นการฆ่าวิญญาณแยกร่างของคนแดนตะวันออกคนหนึ่ง มันจะง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า
การที่กู้ไป๋อีทำสำเร็จนี้ทำให้ซิงเฉินสามารถเข้าไปช่วยจื่อโยวรับมือกับหมิงจีได้ นางที่รับมือกับจื่อโยวแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่หากมีสองคน หมิงจีในตอนนี้ไม่อาจสู้ได้แน่
พลังสีดำได้ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นรอบ ๆ ตัวนาง หมิงจีมองจื่อโยวและกล่าวว่า “กลับไปบอกเยี่ยซะนะว่าข้าอยู่ที่ตำหนักตงจี๋ หากต้องการจะฆ่าข้า ก็มาฆ่าข้าได้ที่ตำหนักตงจี๋!”
“คำสาปในร่างของเขาหลายปีเช่นนั้น อีกไม่นานก็ยับยั้งไม่ได้แล้ว อีกทั้งเขายังมีหญิงสาวที่เขาสนใจอยู่ด้วยเช่นนี้แล้ว เหอะ เหอะ เหอะ…”
“หากว่าเขาไปหาข้า ข้าก็รอคอยเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นคำสาปนั้นของเขากำเริบ มันคงจะน่าหลงใหลมากเลยทีเดียว”
รอยยิ้มของหมิงจีนั้นชั่วร้ายมาก
ซิงเฉินกล่าว “รับมือกับเจ้า ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทเป็นคนลงมือหรอก!”
ทันใดนั้นเอง ซิงเฉินก็พรวดขึ้นกลางอากาศ ค้อนสีทองนั้นพุ่งไปทางหมิงจี แต่ในขณะที่ซิงเฉินโจมตีไปนั้นหมิงจีก็หลบเข้าไปในหมอกควันสีดำและได้อันตรธานหายไปแล้ว
ตูม! พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นได้กระแทกลงบนพื้นดินจนเกิดหลุมลึกหลุมหนึ่ง
ทว่า กลับไม่เห็นร่างของหมิงจีแล้ว ซิงเฉินกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจว่า “บัดซบ! นึกไม่ถึงว่ามันจะหนีไปได้!”
คนของตำหนักตงจี๋ไม่รอดแม้แต่คนเดียว มีเพียงแค่หมิงจีที่ใช้ร่างของมู่หรูเหยียนหนีไปได้
จื่อโยวกับซิงเฉินพุ่งตัวไปที่มู่เฉียนซี จื่อโยวกล่าว “คนงาม เจ้าบาดเจ็บแล้ว เจ็บหรือไม่? ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าให้ได้!”
ซิงเฉินกล่าว “นังผู้หญิงบ้าผู้นั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าทำร้ายท่าน ข้าจะฉีกร่างของนางออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้นเลย คอยดู!”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “หมิงจีเป็นใคร?”
จื่อโยวกล่าว “นางเป็นคนทำให้เกิดสงครามการต่อสู้ครั้งใหญ่ในแดนนรก เป็นคนลงมือกับเยี่ย อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำให้เยี่ยโดนคำสาปอีกด้วย นึกไม่ถึงว่าร่างของนางแม้จะถูกทำลายไปแล้ว แต่กลับยังหนีมาอาศัยร่างของผู้อื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในดินแดนสี่ทิศแห่งนี้ได้”
ซิงเฉินกล่าว “ต้องแจ้งให้ฝ่าบาททราบ!”
จื่อโยวกล่าว “ข้าจะตามไปฆ่านังผู้หญิงผู้นั้น!”
มู่เฉียนซีรู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นคนอันตรายมาก นางกล่าว “พวกเจ้าระวังตัวด้วย”
คนที่สามารถลอบทำร้ายจิ่วเยี่ยได้นั้นต้องรับมือยากแน่นอน
จื่อโยวยิ้มแย้มราวกับกลีบบุปผาบานสะพรั่ง “คนงามเป็นห่วงข้า ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”
“เจ้าคิดเข้าข้างตัวเองมากไปแล้ว นายหญิงเป็นห่วงข้าต่างหาก” ซิงเฉินกล่าว
ครั้นแล้วจื่อโยวกับซิงเฉินจึงนำพาคนของหอปี้ลั่วจากไป และในสนามรบที่เป็นหลุมเป็นบ่อนี้ในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่มู่เฉียนซีกับพวก และคนของสำนักต้าเหยี่ยนเหล่านั้น
ในตอนนี้คนของสำนักต้าเหยี่ยนเหล่านั้นได้แต่นิ่งอึ้งตะลึงค้างจนแขนขาไร้เรี่ยวแรง การต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ และคนที่แข็งแกร่งจนน่าเกรงกลัวเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
และในตอนนี้เองกู้ไป๋อีก็ได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาหันไปมองที่คนเหล่านั้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูใหญ่ คนเหล่านี้ปล่อยไว้ไม่ได้!”