เมื่อชิงอิ่งจับแขนมู่เฉียนซี แสงสีเขียวก็ได้ห่อหุ้มร่างของมู่เฉียนซีเอาไว้ และเริ่มรักษาบาดแผลของนางทันที
ภายในชั่วพริบตาเดียว บาดแผลบนร่างกายของมู่เฉียนซีก็หายเป็นปกติ
ดูเหมือนว่าพลังความแข็งแกร่งของชิงอิ่งนับวันจะยิ่งวิปริตขึ้นเรื่อย ๆ
กู้ไป๋อีเห็นเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง เป็นพลังแห่งชีวิตที่แข็งแกร่งมาก พลังแห่งการรักษา!
มู่เฉียนซีกล่าว “ชิงอิ่ง พลังของเจ้าใช้ได้ผลดีกว่ายาแผนปัจจุบันของข้าอีกนะ เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยรักษาให้เสี่ยวไป๋สักหน่อยสิ”
สายตาของชิงอิ่งมองไปที่กู้ไป๋อี “พลังของข้า ให้เฉียนใช้แค่คนเดียวเท่านั้น!”
ร่างของคนผู้นี้แข็งทื่อราวกับไม่ใช่มนุษย์ก็มิปาน กู้ไป๋อีกล่าว “มีคุณหนูใหญ่รักษาข้าคนเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นลงมือ”
มู่เฉียนซีชี้นิ้วไปที่ร่างที่นอนจมกองเลือดนั้นของเฮยเฉีย และกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้านั่นยังไม่ตาย เจ้ายังมีเรื่องใดที่อยากจะถามหรือไม่?”
ผลลัพธ์ก็คือ จู่ ๆ เจ้าหมอนั่นก็หัวเราะขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางบอกหรอก ข้าไม่มีทางบอกแน่นอน ในเมื่อข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็ตายไปพร้อม ๆ กันนี่แหละ!”
พิษร้ายเหล่านั้นที่เพิ่งจะถูกพลังแห่งชีวิตขับไล่ให้จางหายไปในเมื่อครู่ได้ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากการระเบิดของเจ้าหมอนี่ ทำให้บริเวณรอบ ๆ มืดทึมน่ากลัวขึ้นมา
กู้ไป๋อีกล่าว “มันจะระเบิดทำลายตัวเองแล้ว พวกเรารีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
ประตูที่กั้นอยู่ด้านหน้าวังนี้ถูกชิงอิ่งทุบด้วยกำปั้นครั้งหนึ่ง
ตูม! เสียงดังสนั่นขึ้น ในที่สุดชิงอิ่งก็พังประตูบานนี้ลงได้แล้ว
มู่อีและพวกเห็นร่างที่วิ่งพรวดออกมานี้ก็อุทานขึ้นด้วยความดีอกดีใจว่า “ท่านผู้นำตระกูล!”
มู่เฉียนซีกล่าว “รีบออกไป เร็วเข้า!”
ระเบิดทำลายตัวเอง เป็นวิธีที่สำนักขวางโซ่วเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว
นางไม่แน่ใจเลยว่าการระเบิดทำลายตัวเองของคนอย่างเฮยเฉียนั้นจะมีพลังอานุภาพร้ายแรงเพียงใด หนีออกไปให้ไกลที่สุดจะดีกว่า
ตูม! เสียงระเบิดสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังสนั่นขึ้น
พิษร้ายนั้นแพร่กระจายออกมา อาณาเขตของวังใต้ดินก็ได้กลายเป็นเขตที่มีพิษร้ายแรงทันที และสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งก็ได้สาบสูญไปด้วยพิษนี้
มู่เฉียนซีและพวกได้หนีออกมาไกลแล้ว เมื่อหันมองไปดูบริเวณเขตที่ถูกพิษร้ายนั้นปกคลุมก็ตกตะลึงขึ้น!
“พลังกับพิษนี้ช่างน่ากลัวมาก โชคดีที่ท่านผู้นำตระกูลให้พวกเรารีบหนี มิเช่นนั้นแล้ว…”
มู่อีและพวกมองไปที่กู้ไป๋อีและชิงอิ่ง ชิงอิ่งนั้นพวกเขาคุ้นเคยมาก เพียงแต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะคุ้นเคยใบหน้านี้ของเขา
หลังจากที่ตกตะลึง พวกเขาก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านนี้คือท่านชิงอิ่ง!”
ข้างกายท่านผู้นำตระกูลมีผู้ติดตามที่เป็นบุรุษที่ก่อให้เกิดเภทภัยเช่นนี้ หากนายท่านสามรู้เข้าจะถูกขับไล่ไปหรือไม่
ในขณะที่มู่อียังอยู่ในความตกใจอยู่นั้น มู่เฉียนซีก็รู้สึกหน้ามืด จากนั้นก็เป็นลมหมดสติล้มลงไป
กู้ไป๋อีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้เร็วไม่เท่าชิงอิ่ง ดังนั้นชิงอิ่งจึงเป็นคนรับมู่เฉียนซีเอาไว้ทัน
“เฉียน!”
“คุณหนูใหญ่!”
“ท่านผู้นำตระกูล!”
ครั้นแล้วทุกคนจึงเกิดความตื่นตระหนกขึ้น
ชิงอิ่งใช้พลังแห่งชีวิตรักษาร่างกายของมู่เฉียนซี แต่ร่างกายนางไม่ได้มีอาการอันใดร้ายแรง
กู้ไป๋อีใช้พลังจิตตรวจอาการ จากนั้นก็กล่าวว่า “การต่อสู้ในเมื่อครู่นั้นน่าหวาดเสียวและอันตรายมาก ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะใช้พลังจิตทั้งหมดเพื่อการต่อสู้ ตอนนี้ได้สูญเสียพลังจิตไปจึงได้เป็นลมหมดสติเช่นนี้”
“พักผ่อนให้ดี อาการก็จะดีขึ้นเอง!”
มู่อีและพวกได้ยินเช่นนี้ก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง กู้ไป๋อีกล่าว “กลับไปเมืองเย่เซี่ยก่อนเถอะ!”
ก่อนที่พวกเขาจะจากไป กู้ไป๋อีหันกลับไปมองบริเวณเขตที่เต็มไปด้วยพิษร้ายนั้น
ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะถามอะไรไม่ได้เลย แต่เขาก็สามารถเดาได้ว่าผู้ที่กล้าทำเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้ขึ้นมาได้ก็คงจะมีเพียงแค่เขาผู้นั้นเท่านั้น
บัดนี้ สำนักขวางโซ่วได้ถูกทำลายล้างไปแล้ว และคงจะไม่คุกคามนางอีกแล้ว
หลังจากที่มู่เฉียนซีไป เย่เฉินก็เฝ้ารอข่าวอยู่ตลอด เขาเป็นกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับมู่เฉียนซี
เมื่อเขาได้เห็นมู่อี กู้ไป๋อีและพวกเข้ามาในเมืองเย่เซี่ย เขาก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ทว่า…
นายท่านถูกบุรุษชุดเขียวแปลกหน้าผู้หนึ่งอุ้มมา อีกทั้งยังเป็นลมหมดสติไปอีกด้วย
จำต้องบอกเลยว่ารูปร่างหน้าตาของบุรุษชุดเขียวผู้นี้รูปงามถล่มบ้านถล่มเมืองเลยทีเดียว รูปงามจนไร้คำบรรยาย
แต่บุรุษรูปงามผู้นี้กลับไม่เหลียวมองเขาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็พานายท่านเข้าไปส่งในห้อง และเฝ้าอยู่ข้างกายไม่ห่าง
กู้ไป๋อีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ เจ้าเฝ้าอยู่ในนี้เช่นนี้มันจะดูไม่เหมาะสม!”
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง แถมยังมานั่งเฝ้ามองอยู่ข้างเตียงนางเช่นนี้ เขาจึงต้องการให้คนผู้นี้ออกไป
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ชิงอิ่งไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา และไม่ได้เปล่งเสียงตอบเขาแต่อย่างใดด้วย
ไม่ใช่ว่าจะดูหมิ่นเขา แต่ในสายตาของคนผู้นี้ นอกจากนางแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย
เขาใจจดใจจ่อมาก เหมือนกับเขาในเมื่อก่อนที่ใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกกระบี่หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
ชิงอิ่งที่เป็นเช่นนี้ กู้ไป๋อีรู้สึกอิจฉาขึ้นเล็กน้อย ไม่มีผู้ใดสามารถรบกวนการเฝ้าของเขาได้
กู้ไป๋อียังอยากจะดึงดันอีกสักหน่อย “ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ส่วนเจ้าเป็นผู้ชาย”
ชิงอิ่งตอบ “ข้าไม่ใช่มนุษย์”
“เจ้าออกไปได้แล้ว!”
กู้ไป๋อีถูกตอกกลับด้วยคำพูดนี้จนหน้าหงอยไป นางรับมือได้ยาก และคนข้างกายนางก็รับมือได้ยากเช่นกัน
ไม่ใช่มนุษย์!
กู้ไป๋อีมองเขาอย่างพิจารณา เขาดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ
ในตอนที่ชิงอิ่งต่อสู้นั้น ไม่มีความผันผวนของพลังชีวิตอยู่เลย
เมื่อรับรู้ได้ถึงการขับไล่ของชิงอิ่ง กู้ไป๋อีก็รู้ทันทีว่าหากเขายังไม่ออกไป เกรงว่าคนผู้นี้จะลงมือแล้ว
อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี เขาไม่ควรลงมือ!
ครั้นแล้วกู้ไป๋อีจึงเดินออกไป
มู่เฉียนซีหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นกับใบหน้าที่งดงามจนน่าทึ่ง
“เฉียน!” ชิงอิ่งเรียก
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
แม้ว่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่พลังจิตก็ยังไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาทั้งหมด มู่เฉียนซีจึงกินยาวิญญาณเข้าไปหลายเม็ด
นางมองเขาและกล่าวว่า “ชิงอิ่ง ข้าลืมพูดบางอย่างกับเจ้าแล้ว”
ชิงอิ่งตั้งใจฟังคำที่นางจะกล่าว
“ข้าดีใจมากที่เจ้าฟื้นขึ้นมา”
คราก่อนที่ชิงอิ่งหลับใหลไปก็เป็นเพราะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับจ่านคง และนางคิดว่าเขาจะหลับใหลไปนานกว่านี้เสียอีก
ตอนนี้เขากลับฟื้นขึ้นมาเร็วกว่าที่นางได้จินตนาการเอาไว้ นางดีใจมาก!
ชิงอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวว่า “อืม! เฉียน ข้าฟื้นขึ้นมาแล้ว!”
มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ควรที่จะไปจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้แล้ว ครั้นแล้วนางจึงลุกและเดินออกไป
เมื่อนางเดินออกมา จู่ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ และนางก็หันหลังไป
หากชิงอิ่งถอยหลังไม่เร็วแล้วละก็ มู่เฉียนซีคงต้องชนเขาแน่
“ชิงอิ่ง หน้ากากของเจ้า”
ชิงอิ่งหน้าตาดีเกินไปแล้ว!
เขาไม่ได้หน้าตาดีดูสูงศักดิ์ดุจดั่งเทพเหมือนกับกู้ไป๋อี แต่เขาหน้าตาดีในแบบที่ทำให้ผู้คนเอ่ยปากชื่นชมอย่างไม่รู้ตัวต่างหาก
เมื่อชื่นชมก็หลงใหล ติดอกติดใจ และง่ายที่จะเกิดเรื่อง
นางไม่อยากให้ผู้คนในเมืองเย่เซี่ยกลายเป็นคนบ้าผู้ชาย นางจึงทำได้แค่ปิดบังใบหน้าของชิงอิ่งเอาไว้
ชิงอิ่งเอาหน้ากากไม้อันหนึ่งออกมา และกล่าวว่า “หากเฉียนเห็นจนเบื่อแล้ว ก็ปิดให้ข้าเถอะ”
มู่เฉียนซีว่า “ได้ ข้าน่ะมองจนเบื่อแล้ว ข้าปิดให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!”
มู่เฉียนซีเขย่งปลายเท้ายกส้นขึ้นและสวมหน้ากากให้เขา จากนั้นก็เดินออกไป
เย่เฉินมองมู่เฉียนซีกับชิงอิ่ง เพียงแต่ว่าเขาสวมหน้ากากแล้ว มองไม่เห็นใบหน้ารูปงามนั้นของเขาแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “มองอะไร คงจะไม่ใช่หลงใหลชิงอิ่งเข้าแล้วกระมัง!”
เย่เฉินกล่าว “นายท่าน อย่าได้พูดเล่นเช่นนี้นะขอรับ ข้าก็แค่ตกใจและทึ่งกับความงามของเขาเท่านั้น รูปงามจนกระทบความงามของข้าเสียจริง”
“พูดไร้สาระให้มันน้อย ๆ หน่อย สถานการณ์ของเมืองแห่งความโกลาหลตอนนี้เป็นเช่นไรบ้างแล้ว?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม