ไปที่รังเก่าของมู่หรูเหยียนกับไป๋อู๋ห่ายสิ!
มู่เฉียนซีเชื่อว่าโซ่วารีลวงตาของจิ่วเยี่ยนั้นสามารถเชื่อถือได้ ในเมื่อมู่หรูเหยียนและไป๋อู่ห่ายยากที่จะตรวจพบได้ ดังนั้นการแทรกซึมเข้าไปในตำหนักตงจี๋ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หากมีโอกาสทำให้มู่หรูเหยียนและหมิงจีที่อยู่ในร่างกายของนางหายไปได้ก็ยิ่งดี เพื่อที่นางจะได้ไม่ก่อภัยคุกคามถึงจิ่วเยี่ยอีก
เฟิงอวิ๋นซิวมองเห็นท่าทางที่มั่นใจไร้ซึ่งความกลัวนั้นแล้วก็รู้สึกจนปัญญา ความกล้าหาญของเจ้าหมอนี่มิใช่เพียงธรรมดาทั่วไป
“เจ้าจงอย่าได้ใช้ทักษะกระบี่ของเจ้าในตำหนักตงจี๋เป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วตัวตนของเจ้าก็จะถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวเตือน
มู่เฉียนซีมองเฟิงอวิ๋นซิวด้วยความประหลาดใจ ตัวตนของนาง?
เฟิงอวิ๋นซิวจำนางได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เจ้าเป็นศิษย์ของกู้ไป๋อีกระมัง! เจ้าสามารถที่จะใช้ทักษะกระบี่อันเป็นไม้ตายที่เขาไม่มีวันถ่ายทอดออกมาได้ นึกไม่ถึงเลยว่าคนเช่นเขานั้นจะรับลูกศิษย์ด้วย อีกทั้งยังไม่มีใครรู้อีกต่างหาก”
“ตั้งแต่แรกที่เจ้าใช้กระบวนท่าเงาเหมันต์จันทรา ข้าก็รู้เข้าแล้ว”
มู่เฉียนซีนั้นไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี เพื่อที่นางจะได้ไม่เปิดเผยตัวตนของตนเองออกมาจึงมิได้ใช้ทักษะกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกเฟิงอวิ๋นซิวเข้าใจผิดว่านางเป็นลูกศิษย์ของกู้ไป๋อี
โดยประมาณแล้วยอดฝีมือขั้นสูงดังเช่นกู้ไป๋อีก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของโลกทั้งสี่ทิศ เฟิงอวิ๋นซิวและไป๋อู๋ห่ายจะรู้จักเขามันก็มิแปลก
“กู้ไป๋อีนั้นเก็บตัวค้อมต่ำและตั้งใจฝึกยุทธ์มาโดยตลอด คนในตำหนักตงจี๋ที่จะสามารถมองได้ออกถึงทักษะกระบี่ของเขานั้นก็มีเพียงแค่ข้ากับท่านเจ้าตำหนักและท่านผู้อาวุโสเท่านั้น เจ้าระมัดระวังเสียหน่อยก็จะไม่เปิดเผยตัวตนของตนเองออกมาหรอก ถึงต่อให้เปิดเผยออกมาแล้ว พวกเขาหวั่นเกรงต่อกู้ไป๋อียังไงก็คงไม่กล้าทำอะไรกับเจ้า มีข้าอยู่เจ้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“มิใช่ว่าตำหนักตงจี๋กับตำหนักเป่ยหานนั้นเป็นปฏิปักษ์กันมาโดยตลอดหรอกหรือ? ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“ในโลกทั้งสี่ทิศนี้ไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะไปล่วงเกินกู้ไป๋อี อีกทั้งเจ้ายังได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แถมยังช่วยให้ข้าได้แผ่นเหล็กนั้นมา ข้าเฟิงอวิ๋นซิวมิใช่คนเนรคุณคุณคน อีกทั้ง…” คำพูดของเขาได้หยุดลง จากนั้นก็มองไปทางมู่เฉียนซี
“ข้าเองก็เฝ้ารอที่จะมีคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวเลยผู้หนึ่ง เจ้าไม่คิดหรือว่าการที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกทั้งสี่ทิศนั้นมันเงียบเหงายิ่งนัก?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “ดูเหมือนว่าจะใช่อยู่เหมือนกัน!”
อย่างไรเสียมู่เฉียนซีก็ตัดสินใจตามเฟิงอวิ๋นซิวไปที่ตำหนักตงจี๋ ถ้าหากว่ามีอันตรายอะไรขึ้นมาจริง ๆ ก็คงสามารถที่จะนำแผ่นป้ายคำสั่งนั้นออกมาทำตัวเป็นจิ้งจอกยืมความน่ายำเกรงของพยัคฆ์ได้อยู่
เมื่อได้ยินเฟิงอวิ๋นซิวกล่าวเช่นนี้ ชื่อเสียงของเสี่ยวไป๋นั้นก็ช่างทำให้ผู้คนหวั่นกลัวยิ่งนัก
มู่เฉียนซีถามขึ้น “อวิ๋นซิว นี่จะมิใช่ว่าเจ้าพาหมาป่าเข้าบ้านหรอกหรือ?”
“นั่นก็ไม่เป็นไร!”
“เจ้ามองโลกแง่ดีดีนี่”
อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้นำแผ่นเหล็กแผ่นนั้นออกมาศึกษาต่อ และเฟิงอวิ๋นซิวก็ได้กล่าวขึ้นว่า “ยาเม็ดนั่นเจ้าเป็นผู้ที่สกัดออกมา แผ่นเหล็กนี้ก็มอบให้เจ้าเก็บรักษาเอาไว้ก่อน”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “ได้สิ!”
อาการบาดเจ็บของเฟิงอวิ๋นซิวนั้นยังไม่หายดี ก็เลยไม่ได้รีบร้อนกลับไปยังตำหนักตงจี๋ซึ่งเป็นสถานที่ที่ซุ่มซ่อนความอันตรายที่อันตรายเป็นที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงได้หยุดอยู่ที่เมืองโอสถเป็นการชั่วคราวเพื่อรองานชุมนุมแลกเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณใต้ดินครั้งใหญ่
มู่เฉียนซีได้ข่าวมาว่าในสถานที่แลกเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณแบบใต้ดินนั้นสามารถใช้เพียงยาเม็ดไปแลกเปลี่ยนได้เท่านั้น ต่อให้มีเงินทองมากขนาดไหนก็ไม่สามารถที่จะต่อรองพูดคุยกันได้
ต้องใช้ยาเม็ดจึงจะสามารถแลกเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณได้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สมุนไพรวิญญาณธรรมดาทั่วไป มู่เฉียนซีสนใจมันเป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้มู่เฉียนซีเอาแต่เก็บตัวแล้วสกัดยาเม็ด พลังวิญญาณของนางในตอนนี้เพียงพอแค่สามารถสกัดยาเม็ดระดับปฐพีได้เท่านั้น ส่วนการสกัดยาเม็ดขั้นสวรรค์นั้นแทบไร้ซึ่งอัตราความสำเร็จ
แต่ทว่าหัวหน้าหอหมอปีศาจนั้นมีโอสถอย่างไม่ขาดมือแน่นอน
มู่เฉียนซีได้ส่งข่าวไปหาโม่จิ่นให้จวินโม่ซีเตรียมยาเม็ดขั้นสวรรค์ส่งมาให้เพียงพอ เมื่อถึงตอนที่เขามายังแดนตะวันออกจะต้องตบรางวัลให้แก่เขาอย่างงาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แน่นอนว่าจวินโม่ซีเองก็ตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าอาหารรสเลิศในแดนตะวันออกจะมีอยู่ไม่น้อย แต่เขาค่อนข้างที่จะคิดถึงอาหารที่มู่เฉียนซีลงมือปรุงด้วยตัวเองเสียมากกว่า เด็กสาวผู้นี้ได้หายตัวไปนานมากแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องกินขึ้นมาพลังในการทำงานของหัวหน้านักปรุงยาใหญ่จวินโม่ซีก็พุ่งขึ้นไปเต็มสิบส่วน ไม่นานนักก่อนที่การแลกเปลี่ยนใต้ดินจะเริ่มขึ้นเขาก็ได้ส่งยาเม็ดมาให้มู่เฉียนซีอย่างมากพอ
ในตอนนี้มู่เฉียนซีร่ำรวยเป็นอย่างมาก นางพกรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่จะกวาดเอาสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดในการแลกเปลี่ยนใต้ดินนั้น ก่อนจะกล่าวกับเฟิงอวิ๋นซิวว่า “อวิ๋นซิว พวกเราไปกันเถอะ!”
ซวนอีมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเป็นอย่างมากชนิดหนึ่ง “เจ้าหนูนี่คงจะไม่ซื้อสมุนไพรวิญญาณอย่างมือเติบอีกกระมัง! บนตัวข้ามิได้มีสมุนไพรวิญญาณมากมายเช่นนั้นนะ”
เห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งเลยว่าความมือเติบของมู่เฉียนซีได้ทำให้ซวนอีหวาดหวั่นเป็นอย่างมากเสียแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น “อวิ๋นซิว เจ้าทำใจไม่ได้หรือ?”
“แน่นอนว่าสิ่งที่ได้กล่าวไปนั้นต้องไม่คืนคำ ข้าไม่เสียดายหรอกแต่ทว่าที่ตัวข้านั้นมียาเม็ดไม่มากจริง ๆ เกรงว่าคงจะทำให้เฉียนเยี่ยผิดหวังเสียแล้ว”
งานแลกเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณใต้ดินนั้นสามารถใช้ยาเม็ดแลกเปลี่ยนได้เพียงเท่านั้น สิ่งของอื่น ๆ นั้นไร้ประโยชน์
มู่เฉียนซีกล่าว “รู้ว่าพวกเจ้ามียาเม็ดติดมาไม่มาก แต่หลายวันมานี้ข้าก็มิใช่ว่ามิได้เตรียมตัว สมุนไพรวิญญาณที่เข้าตาข้ามันหนีไปไหนไม่พ้นอย่างแน่นอน ไปกันเถอะ!”
งานแลกเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณใต้ดินจัดขึ้นในตึกที่ภายนอกดูธรรมดาแต่ภายในนั้นตกแต่งอย่างประณีตเป็นอย่างมาก
ตึกนี้มีทั้งหมดสามชั้น ในชั้นที่หนึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นการแลกเปลี่ยนของสมุนไพรวิญญาณขั้นต่ำ
เมื่อไปถึงชั้นที่สองก็จะเป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นปฐพี ส่วนชั้นที่สามจะเป็นการแลกเปลี่ยนของสมุนไพรวิญญาณขั้นปฐพีที่หาได้ยากไปจนถึงสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์”
ร่างของเฟิงอวิ๋นซิวนั้นเหมือนดั่งมีแสงเจิดจ้าติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดอย่างไรอย่างนั้น ทันทีที่เขาเข้าไปยังงานแลกเปลี่ยน หัวหน้าตึกก็สังเกตเห็นเขาได้ในทันที
“นายน้อยอวิ๋นซิว นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะสนใจงานแลกเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเรา ขออภัยที่ข้ามิได้มาทำการต้อนรับ ขออภัย!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “หัวหน้าตึกมิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ข้าเองแค่มาเป็นเพื่อนสหายของข้า”
หัวหน้าตึกถามขึ้น “นายน้อยอวิ๋นซิวจะไปชั้นที่สามหรือไม่ ที่นั่นถึงจะมีของดี ๆ ที่แท้จริง”
เฟิงอวิ๋นซิวมองไปยังมู่เฉียนซี ทั้งหมดนั้นแล้วแต่นาง
มู่เฉียนซีกล่าว “เดินดูชั้นที่หนึ่งกันก่อนเถอะ!”
แม้ว่าในชั้นแรกนั้นจะเป็นพวกสมุนไพรวิญญาณธรรมดาทั่วไป แต่ก็มิใช่ว่าสมุนไพรวิญญาณธรรมดาทั่วไปจะไร้ซึ่งประโยชน์อันใหญ่หลวง
อย่างไรเสียหากเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการ แน่นอนว่าสมุนไพรวิญญาณธรรมดาทั่วไปก็หนีไม่พ้น
หัวหน้าตึกกล่าว “เช่นนั้นขอเชิญทุกท่านตามสบาย!”
ไม่นานนักซวนอีก็ได้กลายเป็นถุงเบี้ยของมู่เฉียนซี ไม่ใช่สิ เป็นถุงยาต่างหาก
“ซวนอี อันนี้ข้าจะเอา เจ้าซื้อให้ข้าเสีย”
“สิ่งนี้ แลกเปลี่ยนให้ข้าหน่อย”
“แล้วก็อีกหลายสิบต้นนั้น”
ซวนอีพบว่า ทันทีที่เจ้าเด็กนี่เห็นสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้น สายตาของเขานั้นราวกับหมาป่ามองเห็นฝูงแกะก็มิปาน และอดไม่ได้ที่จะเขมือบสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดในที่แห่งนี้เข้าไปเพียงผู้เดียว
บัดนี้องครักษ์ข้างกายของนายน้อยอวิ๋นซิวได้กลายเป็นถุงเบี้ยเดินตามนางไปแล้ว
“นายน้อย!” ซวนอีร้องเอ็ดออกมา
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ทำตามที่เฉียนเยี่ยต้องการก็เท่านั้น”
ในชั้นแรกล้วนแต่เป็นสมุนไพรวิญญาณธรรมดาทั่วไป เฟิงอวิ๋นซิวยังสามารถที่จะจ่ายได้ไหว
แต่สุดท้ายแล้วมู่เฉียนซีได้มองไปเห็นแผงสมุนไพรในมุมแห่งหนึ่ง นางเห็นว่าลักษณะของสิ่งนั้นแปลกประหลาด มันเหมือนกับถ่านหินก็มิปาน
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปถาม “เถ้าแก่ ของสิ่งนี้ท่านต้องการแลกกับอะไร?”
ปรากฏว่าคำตอบของเถ้าแก่ผู้นี้กลับเหนือความคาดหมาย
“ข้าต้องการแลกกับยาเม็ดขั้นสวรรค์ ยาพลังกลับคืน”
ซวนอีตะลึงค้าง “ของชิ้นหนึ่งเช่นนี้กลับจะแลกกับยาพลังกลับคืน ถ้าหากเจ้าต้องการแลกยาพลังกลับคืนตอนนี้ก็ไม่ควรจะมาอยู่ที่ชั้นที่หนึ่ง หากแต่ควรอยู่ชั้นที่สามแล้วกระมัง!”
“ไอ้หนูอย่าโง่เขลาโดนผู้อื่นหลอกไปเลย” ซวนอีกล่าวเตือน