เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสที่สี่ที่มีท่าทีดุดัน มู่เฉียนซีจึงกล่าวออกมาอย่างน่าประหลาดใจ “ก็ได้! จะมอบให้เจ้า”
“เหล่าผู้ที่อยู่ข้างกายของเฟิงอวิ๋นซิวก็มีความกล้าแค่เพียงเท่านี้แค่นั้นเอง” ผู้อาวุโสที่สี่กล่าวเสียดสีออกมาอย่างเย้ยหยัน
มู่เฉียนซีได้นำแผ่นเหล็กนั้นออกมาจากในมิติจริง ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ที่เจ้าต้องการคงเป็นสิ่งนี้กระมัง!”
ผู้อาวุโสที่สี่พลันเข้ามาใกล้และเตรียมที่จะบิดคอของมู่เฉียนซีให้หัก จากนั้นก็จะได้มาซึ่งแผ่นเหล็กนั้น
แต่ยังไม่ทันรอให้เขาลงมือกับมู่เฉียนซี มือที่แข็งทื่อมือหนึ่งได้พลันจับคอของเขาเอาไว้จากด้านหลัง
ดวงตาของผู้อาวุโสที่สี่เบิกตากว้าง แม้เขาอยากที่จะต่อต้าน แต่ก็ไม่สามารถที่จะขยับกายได้เลยแม้แต่น้อย
เงาแห่งความตายได้ปกคลุมลงมาทำให้เขาไม่อาจที่จะดิ้นรนได้พ้น
เขาถึงขนาดไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองว่าผู้ที่อยู่ด้านหลังนั้นเป็นใครกันแน่และมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร?
“กับดัก นี่เป็นกับดักที่เฟิงอวิ๋นซิววางไว้”
มู่เฉียนซีได้เก็บแผ่นเหล็กนั้นไปแล้ว และเปลี่ยนเป็นหยิบเอากระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมาแทน มันคือกระบี่มังกรเพลิง
วิญญาณของผู้แข็งแกร่งขั้นสูงเต็มขั้นนั้นได้ทำให้กระบี่มังกรเพลิงเรียกร้องเข้าเสียแล้ว
ทันทีที่กระบี่มังกรเพลิงขยับตัวมันก็ได้แทงเข้าไปที่หัวใจของผู้อาวุโสที่สี่
เงาร่างสีเขียวที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นทำให้ผู้อาวุโสที่สี่ไม่สามารถที่จะหลบหนีไปได้แม้แต่อย่างใด!
ซึบ! กระบี่มังกรเพลิงแทงทะลุขั้วหัวใจของผู้อาวุโสที่สี่ไปและได้กลืนกินวิญญาณของเขาไปในทันที
ผู้อาวุโสที่สี่ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป ชิงอิ่งได้โยนตัวเขาออกไปด้านข้าง
บึ้ม! ทางด้านเฟิงอวิ๋นซิวก็เกิดเสียงระเบิดอันน่ากลัวดังขึ้น
ชิงอิ่งกล่าวขึ้น “เฉียน ทางนั้น…”
มู่เฉียนซีกล่าว “เหลือเจ้าหมอนั่น พวกเฟิงอวิ๋นซิวสามารถที่จะจัดการกับพวกนั้นได้ พวกเราแค่ไปร่วมชมความสนุกก็พอแล้ว”
ชิงอิ่งได้หายตัวไปจากด้านหน้าของมู่เฉียนซีอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้พุ่งไปยังทางที่มีการต่อสู้กันอยู่นั้น
เมื่อขาดยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นไปแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวก็สามารถกดดันข่งชัวเอาไว้ได้ในทุกด้าน คนเหล่านั้นที่พวกเขานำมาด้วยไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย
ในตอนนี้ข่งชัวแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ทำไมผู้อาวุโสที่สี่ถึงได้ไปนานเช่นนี้?
ตามหลักแล้วจัดการทำลายคนแค่นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลานานเช่นนั้นสิถึงจะถูก
หรือผู้อาวุโสที่สี่ต้องการที่จะเห็นตัวเขากับเฟิงอวิ๋นซิวสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เอาทีหลัง ช่างน่ารังเกียจนัก!
สวบ! คมวายุกรีดบาดลงบนร่างกายของเขาเป็นรอยเลือดที่ลึกจนเห็นกระดูก
ผู้อาวุโสที่สี่ก็ยังไม่กลับมาเสียที ที่ทางอื่นนั้นไม่มีเสียงของการต่อสู้เลย นั่นก็ทำให้เฟิงอวิ๋นซิวเองก็ไม่แน่ใจในสถานการณ์ของมู่เฉียนซี
ข่งชัวกัดฟันแล้วกล่าว “ถอยก่อน ถอย!”
ในตอนนี้พวกเขานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิงอวิ๋นซิวเลย ข่งชัวล่าถอยไปโดยการคุ้มกันจากลูกสมุนของตนเอง
ในตอนที่พวกเขาล่าถอยอยู่นี่เอง ลำแสงสีเงินลำแสงหนึ่งก็ได้ฟาดลงมาจากกลางอากาศ
ข่งชัวตกใจเสียจนเหงื่อตกและรีบร้อนที่จะหลบหลีก
แต่ทว่าเมื่อหลบแสงนี้ไปได้ก็ยังมีอีกแสงหนึ่ง
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นซิวส่องประกายออกมา “เงาจันทราคู่!”
ฟืด! ลำแสงสีเงินนั้นฝากรอยเลือดรอยหนึ่งเอาไว้บนร่างของข่งชัว
ถ้ามิใช่เพราะปราณพลังวิญญาณของในการป้องกันของเขาแข็งแกร่งพอ เกรงว่าคงจะได้ถูกผ่าออกเป็นสองซีกไปเสียแล้ว
ปัง! ร่างกายของเขามีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งได้ลงมาจากกลางอากาศ เมื่อข่งชัวมองเห็นเขาแล้วก็ราวกับเห็นผีก็มิปาน
“เจ้า…เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
จักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่ห้าถูกมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นตามไล่ฆ่าแต่กลับยังมีชีวิตอยู่ นี่มันช่างยากที่จะเชื่อ
สีหน้าของซวนอีก็เผยความตะลึงออกมาเช่นกัน เขา…เขากลับไม่เป็นอะไรเลย…
ในเวลานี้เฟิงอวิ๋นซิวได้ออกคำสั่ง “ฆ่ามันทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้เดียว!”
หลังจากที่เฟิงอวิ๋นซิวออกคำสั่งฆ่าล้างไปแล้ว พวกซวนอีก็ได้ลงมือทันที แต่ทว่า…
ข่งชัวกลับฉีกม้วนสารแห่งมิติแล้วหนีไป ซึ่งมิได้ให้เวลาแก่พวกเขาลงมือเลย
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “เฟิงอวิ๋นซิว ตำหนังตงจี๋ของพวกเจ้ามีม้วนสารแห่งมิติอย่างล้นเหลือเลยใช่หรือไม่!”
นางได้พบคนสองคนที่นางต้องการจะฆ่าแต่ชั่วเวลาเพียงพริบตาพวกนั้นก็ได้ใช้วิธีการเช่นนี้หนีไป
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “มีไม่มาก แต่ว่าไป๋อู๋ห่ายนั้นมีอยู่ในมือจำนวนหนึ่ง”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “โอ้! อย่างไรเสียนกยูงสีเขียวตัวเดียวก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้หรอก ปล่อยให้เขากระโดดไปมาสักระยะเวลาหนึ่งเถอะ!”
ซวนอีกล่าว “เจ้าหนู เจ้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วผู้อาวุโสที่สี่เล่า?”
“ซวนอี นี่เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าเหรอ? หากข้ายังมีชีวิตอยู่ก็แน่นอนว่าผู้อาวุโสที่สี่ได้ตายไปแล้ว”
“ใครเป็นห่วงเจ้า? ข้าแค่เป็นห่วงเหล็กแผ่นนั้นก็เท่านั้น แล้วก็…” ซวนอีพลันเบิกตากว้างโพรง
“เจ้าบอกว่าผู้อาวุโสที่สี่ตายแล้ว” เขายากที่จะเชื่อจริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “ตายไปแล้ว อีกทั้งยังไม่เหลือซากศพด้วย”
มู่เฉียนซีฆ่าผู้ที่ใหญ่โตเช่นนั้นไปและเก็บกวาดทำลายศพอย่างไร้ร่องรอย
ซวนอีรู้สึกว่าเจ้าเด็กที่หยิ่งยโสผู้นี้ค่อนข้างน่ากลัว “นายน้อย เขาอันตรายยิ่งนัก”
สามารถที่จะสังหารมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นได้โดยที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็นนั้นจะไม่อันตราได้หรือ?
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ถ้าหากว่าข้าต้องการที่จะลงมือกับอวิ๋นซิว ข้าก็คงไม่รอมาจนถึงตอนนี้หรอก ข้าร่วมมือกับเขา ก่อนที่เราจะหาสิ่งที่ต้องการหาพบ พวกเราจะร่วมมือกัน เจ้าคิดเช่นไรเล่าเฟิงอวิ๋นซิว?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “อื้ม! ซวนอี นับตั้งแต่ข้ารู้ว่าเฉียนเยี่ยเองก็สนใจในกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เช่นกัน ข้าก็ยิ่งอยากที่จะร่วมมือกับเขา”
ซวนอีอยากจะบอกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่มีคุณสมบัติใดเลยที่จะมาร่วมมือกับผู้เป็นนายของตน แต่เมื่อนึกถึงการที่เขาจัดการกับผู้อาวุโสที่สี่ เขาก็พูดอะไรไม่ออก
เฟิงอวิ๋นซิวชื่นชมมู่เฉียนซี อีกทั้งนางยังเป็นผู้ร่วมมือกันที่ดีเป็นอย่างมากผู้หนึ่งนั่นก็เพราะกู้ไป๋อี
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เจ้าไม่ถามข้าหรือว่าทำไมถึงจัดการกับเขาเสีย?”
“นั่นเป็นไพ่ตายของเจ้า เจ้าไม่พูดข้าก็จะไม่ถามให้มากความ”
“ข้ามิได้เก่งกาจเหมือนดั่งมู่หรูเหยียนที่จะได้เรียกร่างแยกวิญญาณของไป๋อู๋ห่ายมาได้ ไม่ถึงสถานการณ์ที่พิเศษข้าจะไม่รบกวนเสี่ยวไป๋ เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้ายังเหมาะสมจะเป็นผู้ร่วมมือกับเจ้าหรือไม่?”
เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงงันไปเล็กน้อย “เสี่ยวไป๋…?”
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับคำสองคำนี้แล้วสีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวก็ยิ่งเพิ่มความประหลาดเข้าไปอีก
“ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าช่างดีมากจริง ๆ”
ถ้าหากมิใช่เพราะได้ยินด้วยหูของตนเอง เขาจะไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่ามีผู้ที่กล้าเอ่ยนามของกู้ไป๋อีเช่นนี้
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “หลังจากที่ได้ผ่านการใกล้ชิดกันมาระยะหนึ่ง ข้าก็ยิ่งชื่นชมในความสามารถของตัวเจ้า”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าขอขอบคุณที่นายน้อยอวิ๋นซิวให้ความสำคัญ ข้ายินดีเป็นอย่างมากที่จะร่วมมือกับเจ้า แต่ทว่าในตอนนี้พวกเรารีบไปยังตำหนักตงจี๋กันเถอะ!”
“ได้!” เฟิงอวิ๋นซิวพยักหน้า
ซวนอีไม่สามารถกล่าวแทรกการพูดคุยของทั้งสองได้ เขาทำได้เพียงมองผู้เป็นนายของตนร่วมมือกับเจ้าเด็กนี่ไปตาปริบ ๆ
อย่างไรเสียในตอนนี้สถานการณ์ของนายน้อยก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
พลังในมือของไป๋อู๋ห่ายนั้นยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปทุกที อีกทั้งยังมีบุตรีผู้นั้นของเขาอีก ยิ่งทำให้การที่จะรับมือกับพวกเขานั้นยากยิ่งขึ้นไปอีก
อำนาจของนายน้อยของพวกเขาในตำหนังตงจี๋ลดลงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมานายน้อยของพวกเขาจะไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงตำแหน่งในตำหนักตงจี๋ แต่การควบคุมตำหนักตงจี๋นั่นสิถึงจะทำให้นายน้อยทำในเรื่องที่อยากจะทำได้อย่างสะดวกง่ายดาย
จากนั้นไม่นานนักมู่เฉียนซีและเฟิงอวิ๋นซิวก็ได้มาถึงเมืองตงจี๋
ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองตงจี๋ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำใด ๆ
ที่แห่งนี้เป็นใจกลางของทั้งแดนตะวันออก ทั้งพลังอำนาจและกำลังทรัพย์ล้วนแต่อยู่ในจุดสูงสุด
ถ้าหากว่าค่ายกลส่งตัวระยะไกลไม่ถูกมู่หรูเหยียนโจมตีละก็ ที่ที่นางมาถึงเป็นที่แรกก็คือที่แห่งนี้ แต่มาวันนี้นางก็ได้วิ่งวนไปรอบ ๆ จนมาถึงที่แห่งนี้จนได้
และตำหนักตงจี๋นั้นเหมือนกับพระราชวังก็มิปาน มันตั้งอยู่ในที่ที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์อย่างที่สุดในเมืองตงจี๋
ตึกสูงตระหง่านงดงามตระการตา
เมื่อเห็นว่านายน้อยอวิ๋นซิวได้กลับมาแล้ว คนทั้งหมดที่ได้พบเจอเขาก็ไม่มีใครที่จะไม่แสดงอาการเคารพนอบน้อม
ยังไม่ทันที่จะให้เฟิงอวิ๋นซิวและมู่เฉียนซีได้หาหลักแหล่งที่อยู่ให้ดีก็พลันมีเสียงคนร้องรายงานขึ้น “ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสด็จแล้ว!”