มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “พวกเราศึกษาแผ่นเหล็กนี้ก่อน แล้วจากนั้นข้าค่อยเก็บดอกเบี้ยตอนก่อนที่ข้าจะไป”
“แม้ว่าเรื่องจะคลี่คลายไปแล้วแต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องเข้าไปในตำหนักตงจี๋อยู่ ถ้าหากว่านางมิได้กัดข้ากลับเช่นนั้นมันก็คงจะไม่ถึงขนาดนี้ ข้านั้นเป็นผู้ที่หากว่ามีแค้นก็ต้องชำระมาโดยตลอด”
“มันจะเสี่ยงเกินไปหรือไม่?” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“การเผชิญหน้าอย่างจังกับพวกเขาในตำหนักตงจี๋แน่นอนว่ามันเป็นการเสี่ยงแต่ว่าเจ้าจงอย่าได้ลืมไปว่าข้าเป็นนักปรุงยา” มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย
“ระวังตัวด้วย!” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวกำชับ
“เอาล่ะ มาศึกษารูปภาพนี้กันก่อนเถอะว่ามีเบาะแสอะไรบ้าง!”
ทั้งสองคนที่เฉลียวฉลาดอย่างที่สุดได้นำภาพบนแผ่นเหล็กนั้นขึ้นมาศึกษาดูอยู่นานแต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
มู่เฉียนซีกล่าว “คงไม่ใช่เพราะว่าหัวสมองของพวกเราไม่ไหว หากแต่เป็นเพราแผ่นเหล็กนี้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ คิดที่จะหาเบาะแสที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา คาดว่าจะต้องหาแผ่นเหล็กที่ยังเหลืออีกให้พบถึงจะได้”
แต่ทว่ามันยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไรพวกเขาเองก็ไม่รู้
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “จากนี้ไปข้าจะเคลื่อนกำลังในมือของข้าเพื่อค้นหา หากทันทีที่พบเข้าข้าจะไม่เก็บไว้เพียงคนเดียว พวกเราจะร่วมเสพเบาะแสด้วยกัน และท้ายที่สุดใครจะเป็นผู้สามารถหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้พบ นั่นก็ต้องดูที่ความสามารถของพวกเราแล้ว”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ได้ร่วมมือกับนายน้อยอวิ๋นซิวแห่งตำหนักตงจี๋ ข้านั้นรู้สึกเป็นเกรียติอย่างยิ่งมาโดยตลอด”
ไม่นานนักก็มีข่าวมาจากทางตำหนักของไป๋อู๋ห่าย
มู่เฉียนซีสามารถที่จะอยู่ที่ตำหนักตงจี๋ต่อได้อีกเพียงสามวันเท่านั้น นี่นับเป็นความเมตตาอย่างพิเศษจากเขาแล้ว
หากเกินสามวันละก็เขาจะส่งคนมาเชิญนางออกไปจากตำหนักตงจี๋เอง
มู่เฉียนซีกล่าว ไป๋อู๋ห่ายคิดว่าตำหนักตงจี๋ของเขานั้นเป็นพื้นที่ล้ำค่าทางฮวงจุ้ยสินะ! ข้าถึงได้ดึงดันไม่ยอมที่จะจากไปเสียที”
กลางดึกมู่เฉียนซีได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว
นางร้องตะโกนขึ้น “ชิงอิ่ง!”
เงาร่างสีเขียวเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี “เฉียน!”
“หากว่าเจ้าพาข้าเดินอยู่ในตำหนักตงจี๋จะสามารถซ่อนตัวมิให้ถูกผู้คนตรวจพบได้หรือไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ได้!”
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ! ไปมอบของขวัญให้แก่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่ตำหนักของธิดาศักดิ์สิทธิ์เองกันเถอะ”
“ได้!”
จากนั้นชิงอิ่งก็ได้พามู่เฉียนซีจากไปอย่างไร้สุ้มเสียง หลังจากที่นางไปได้ไม่นานเฟิงอวิ๋นซิวก็กลัวว่านางจะทำอะไรบุ่มบ่ามขึ้นมาในช่วงตอนกลางคืนจึงได้มาหา!
แต่ปรากฏว่านางไม่อยู่แล้ว!
สีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวพลันมืดครึ้มลง “ซวนอี!”
ทันใดนั้นซวนอีก็ปรากฏตัวขึ้นและคุกเข่าต่อหน้าเฟิงอวิ๋นซิว “นายน้อย!”
“เฉียนเยี่ยเล่า?”
มู่หรงเฉียนเยี่ยไม่อยู่แล้ว เขาหายตัวไปภายใต้การคุ้มกันของทั้งหน่วยองครักษ์ซวน
“นายท่านจะให้ข้าส่งคนออกไปตามหาหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น ในเมื่อเฉียนเยี่ยสามารถที่จะหายตัวไปภายใต้หนังตาของพวกเจ้าได้ เช่นนั้นนอกจากไป๋อู๋ห่ายก็คงจะไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้แล้ว ถ้าหากพวกเราเคลื่อนไหวฉับพลันเกรงว่าจะทำให้เขาเสียแผนได้”
ซวนอีกล่าว “ขอรับ!”
ตำหนักของธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นหาได้อย่างง่ายดาย ไม่นานนักชิงอิ่งก็ได้พามู่เฉียนซีแทรกซึมเข้าไปในตำหนักธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้สุ้มเสียงและไม่มีผู้ใดพบเห็น
ไฟในเรือนนอนของธิดาศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ยังคงสว่างไสวอยู่ มู่เฉียนซีพบว่ามีผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งอยู่กับไป๋เหยียนเอ๋อร์ที่นี่ กลิ่นอายนั้นเหมือนกับของไป๋อู๋ห่ายยิ่งนัก
มู่เฉียนซีกระซิบที่ข้างหูของชิงอิ่งและกล่าวว่า “พวกเราเข้าไปใกล้อีกนิด อย่าให้ถูกจับได้เล่า”
หลังจากที่เข้าไปใกล้ขึ้นกว่าเดิมมู่เฉียนซีก็ได้ยินเสียงของไป๋เหยียนเอ๋อร์ลอยออกมาจากด้านใน
“ท่านพ่อ ท่านมาหาข้ายามค่ำคืนเพื่อที่จะบอกข้าว่าจะรับมือกับเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั้นอย่างไรหรือ?” น้ำเสียงของไป๋เหยียนเอ๋อร์ค่อนข้างที่จะมีความตื่นเต้น
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “เหยียนเอ๋อร์ไม่เห็นหรือว่าเฟิงอวิ๋นซิวปกป้องเจ้าเด็กนั่นขนาดนั้น? ขอแค่เพียงมีเฟิงอวิ๋นซิวอยู่ พวกเราอยากที่จะจัดการกับมู่หรงเฉียนเยี่ยมันก็ไม่ง่ายดายเช่นนั้น”
“เช่นนั้น…พวกเราก็จัดการเฟิงอวิ๋นซิวก่อน?”
“ไฉนเลยที่เราจะรับมือกับเฟิงอวิ๋นซิวได้ง่ายดายเช่นนั้น? ตอนที่เขาเพิ่งมายังตำหนักตงจี๋เขายังเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่ง ตอนนั้นข้าก็ยังจัดการกับเขาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย เจ้าเองก็ได้พบเห็นพลังความสามารถของเหล่าองครักษ์ซวนที่อยู่ในมือของเขามาแล้วนี่”
หลายปีมานี้ข้าใช้หนทางไปไม่น้อยเพื่อจัดการกับเฟิงอวิ๋นซิว แต่ทว่ามันกลับไม่เกิดผล
ไป๋อู๋ห่ายคิดว่าการที่จะจัดการเฟิงอวิ๋นซิวนั้นไม่สามารถจัดการด้วยการใช้กำลังได้ หากแต่จะต้องใช้ปัญญา!
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตะลึงค้างแล้วกล่าว “เช่นนั้นแล้วท่านพ่อว่าจะทำเช่นไรดี? ท่านเป็นถึงเจ้าตำหนัก หรือว่าจะยอมให้เฟิงอวิ๋นซิวขึ้นมาขี่อยู่บนศีรษะของท่านหรือ?”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “บิดาคิดได้วิธีหนึ่ง!”
“วิธีการใด?”
“เจ้าแต่งงานกับเฟิงอวิ๋นซิวและได้เขามา เช่นนี้ก็จะสามารถควบคุมเขาได้”
เมื่อได้ยินเข้ามู่เฉียนซีก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ไป๋อู๋ห่ายผู้นี้ช่างคิดได้ประหลาดนัก
เรื่องการแต่งงานของอวิ๋นซิวเป็นเรื่องที่เขาจะสามารถตัดสินใจได้หรือ?
“แต่…แต่ข้าไม่ได้ชอบเฟิงอวิ๋นซิว ข้า…”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์น้อยเนื้อต่ำใจจนกล่าวอะไรไม่ออกราวกับว่าการแต่งงานกับเฟิงอวิ๋นซิวนั้นนางได้ขาดทุนเป็นอย่างมากก็มิปาน
“หากต้องการพรสวรรค์ เฟิงอวิ๋นซิวก็มีพรสวรรค์ หากต้องการเรื่องหน้าตา เฟิงอวิ๋นซิวก็มีหน้าตาที่ดี ถ้าหากพวกเจ้าสามารถให้กำเนิดเด็กขึ้นมาคนหนึ่ง บางทีอาจจะสามารถเป็นผู้บำเพ็ญภูตที่มีสองพลังธาตุก็เป็นได้ จะมีอะไรไม่ดีเล่า?”
“สองพลังธาตุ พลังธาตุไฟ!” ในตอนนี้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตื่นเต้นเข้าแล้ว
นางเองก็สามารถที่จะปรุงยาได้ แม้กระทั่งฝันก็ยังอยากที่จะเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟ แต่มันช่างยากเย็นนัก
ถ้าหากมีลูกสักคนหนึ่งที่มีพลังวิญญาณธาตุไฟก็ไม่เลว!
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “แต่ว่าท่านพ่อ เฟิงอวิ๋นซิวนั้นทำตัวสูงส่งใสสะอาดมาโดยตลอดและไม่ชอบในตัวข้า เขาไม่ชอบข้าเลยสักนิด”
“ขอแค่เพียงปีนขึ้นเตียงเขาไปได้ เช่นนั้นเขาก็จะทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“ข้างกายของเขามีองครักษ์คุ้มกันอย่างเคร่งครัดแน่นหนาโดยตลอด วางยาก็ไม่สะดวก อีกทั้ง…”
หากวางแผนที่จะลอบทำร้ายเฟิงอวิ๋นซิวมันก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ถ้าหากว่ามันง่ายดายเช่นนั้นจริงก็ไม่รู้ว่าเฟิงอวิ๋นซิวคงได้ตายไปแล้วไม่รู้กี่พันหน
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “บิดาเสนอวิธีเช่นนี้ออกมา แน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นแผนการที่ครอบคลุม เจ้าลองดูนี่…”
ตำแหน่งที่พวกนางแอบฟังอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ มู่เฉียนซีเองก็ไม่รู้ว่าไป๋อู๋ห่ายเอาอะไรให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ดู
แต่ทันใดนั้นก็พลันมีเสียงร้องเสียงแหลมดังขึ้น
“เป็นมู่เฉียนซี!”
ในกลางดึกเช่นนี้ได้ยินเสียงที่แหลมเสียดร้องเรียกชื่อของตนเองขึ้นมา มิเพียงแต่มู่เฉียนซีเท่านั้นที่ไม่สามารถจะเก็บงำกลิ่นอายของตนเองเอาไว้ได้ ชิงอิ่งเองก็เก็บซ่อนเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน
“ใคร?”
อย่างไรเสียไป๋อู๋ห่ายก็เป็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้า เพียงแค่เผยกลิ่นอายออกมาเพียงนิดเดียวก็ถูกเขาตรวจพบเข้าแล้ว
มู่เฉียนซีได้รีบให้ชิงอิ่งนำนางออกไปและอย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น การปฏิบัติการในคืนนี้ยกเลิกเพียงเท่านี้
เมื่อไป๋อู๋ห่ายได้เปิดประตูเดินออกมาก็ไม่พบผู้ใด
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ท่านพ่อ ถ้าหากว่ามีคนอยู่จริง ๆ ไฉนเลยที่จะสามารถหนีรอดไปจากใต้หนังตาท่านได้? คาดว่าเมื่อครู่นี้คงเป็นลมพัดแรงและทำให้ต้นไม้ขยับไปก็เท่านั้นเอง”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “บางทีอาจจะเป็นความรู้สึกที่ผิดพลาดของข้ากระมัง! เหยียนเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้เจ้าร้องเรียกชื่อนั้นออกมาทำไม? บิดานั้นถูกเจ้าทำให้ตกใจไปด้วย”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์จ้องมองไปยังภาพวาดที่ไป๋อู๋ห่ายวางไว้ด้านข้างนั้น บนภาพนั้นวาดหญิงสาวที่งดงามอย่างมิอาจหาผู้ใดมาเทียบได้เอาไว้
ชุดคลุมยาวสีแดงได้ห่อหุ้มร่างกายอันดีงามของนางเอาไว้ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีส่วนใดที่ไม่ถูกประดับประดาอย่างประณีตไร้ที่ติ
ใบหน้านี้คล้ายกับมู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อมองดูอย่างละเอียดมันก็มิเหมือนนัก!
หญิงสาวผู้นี้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามู่เฉียนซีอยู่บ้าง อีกทั้งความสง่าก็ยังดูไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “มู่เฉียนซี หมายถึงญาติผู้ที่เป็นหัวหน้าตระกูลตัวน้อยที่เกือบจะทำร้ายให้เจ้าตายไปผู้นั้นน่ะหรือ แต่ว่าคนผู้นี้นั้นไม่ใช่นาง”
นางมองที่ภาพนั้นอย่างพิจารณาแล้วกล่าว “ถึงต่อให้หน้าตาคล้ายกัน แต่ฐานันดรของทั้งสองก็ต่างกันราวเมฆกับโคลน ผู้หนึ่งอยู่บนดินส่วนอีกผู้นั้นอยู่บนฟ้ามิอาจเอื้อม!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ประหลาดใจนัก ช่างคล้ายกันมาก บนโลกนี้มีคนที่คล้ายกันอยู่แต่ว่าความคล้ายคลึงที่สูงมากเช่นนี้มันจะเป็นความบังเอิญจริงหรือ?
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ถามขึ้น “ท่านพ่อ เช่นนั้นแล้ว…คนผู้นี้คือใคร?”