แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ออกกระบวนท่า เฟิงอวิ๋นซิวก็พุ่งมาป้องกันด้านหน้าของมู่เฉียนซีเอาไว้
“ปรมาจารย์จาง ที่นี่คือตำหนักของข้าหาใช่ตำหนักโอสถของเจ้าไม่ และเจ้าก็ไม่อาจที่จะทำอะไรคนบางคนได้ตามใจชอบ”
มู่เฉียนซีเองก็สงสัยเช่นกัน ดูแล้วนักปรุงยาผู้นี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะไปยุ่งย่ามเรื่องของผู้อื่นนัก นางมิใช่ว่าแค่วางยาพิษไป๋เหยียนเอ๋อร์ไปนิดเดียวเองหรือ?
ทำไมเขาถึงได้โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ ราวกับว่านางไปฆ่าล้างคนทั้งบ้านเขาก็มิปาน
ช่างประหลาดนัก!
เมื่อเฟิงอวิ๋นซิวแข็งกร้าวขึ้นมาก็ทำให้น้ำเสียงของปรมาจารย์จางอ่อนลง
เขากล่าว “ข้าก็แค่อยากจะเชิญเขาไปที่นั่นสักครา ไม่ได้จะกินเขาเข้าไปเสียหน่อย”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าปฏิเสธ!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าใดที่อยากไปตำหนักโอสถของข้า? ข้าเชิญเจ้าไปนั่นถือว่าเป็นบุญของเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าที่จะมาปฏิเสธ!”
ปรมาจารย์จางไม่สามารถทนรับคำปฏิเสธจากผู้อื่นได้
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ไปก็คือไม่ไป ตอนนี้เจ้าจงรีบไปให้พ้นจากหน้าข้าให้ไว! ได้ยินเจ้าตะโกนเสียงดังโวยวาย หูของข้านั้นเจ็บไปหมดแล้ว”
มู่เฉียนซีไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ซวนอี ส่งแขก!”
ซวนอีเดินออกมาแล้วกล่าว “ปรมาจารย์จาง เชิญเถิด!”
“หากมิได้พาเจ้าเด็กนี่ไปด้วย วันนี้ข้าจะไม่ยอมไป”
ซวนอีกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ปรมาจารย์จาง เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงแต่ต้องใช้กำลังส่งท่านออกไปเสียแล้ว”
เมื่อเห็นว่าซวนอีกำลังจะลงมือแล้ว ปรมาจารย์จางก็กัดฟันแล้วถลึงตาใส่มู่เฉียนซีอย่างดุดันไปหนึ่งคราแล้วเดินจากไป!
มู่เฉียนซีมองตามเงาหลังปรมาจารย์จางแล้วถามขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิวเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเฒ่านี่เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนเยี่ย ยาพิษที่เจ้าไปวางยาไป๋เหยียนเอ๋อร์ไปนั้น ผู้อื่นคงไม่สามารถที่จะถอนได้กระมัง!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “แน่นอน พิษของข้านั้นผู้อื่นไม่อาจที่จะถอนมันได้ง่ายดายเช่นนั้น”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เช่นนั้นการที่ปรมาจารย์จางมาที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนักแล้ว!”
เขากล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าปรมาจารย์จางจะเป็นหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋ แต่เขามีจิตริษยาที่รุนแรงนัก เมื่อเห็นว่ามีผู้สามารถสกัดยาที่ตนเองไม่สามารถสกัดออกมาได้ก็จะเกิดริษยาและต้องการทำลายเสีย!”
มู่เฉียนซีเบ้ปากกล่าว “ช่างเป็นตาเฒ่าประสาทผู้หนึ่งจริง ๆ”
นางโบกมือแล้วกล่าว “ซวนอี ยังไม่สั่งให้คนมาส่งอาหารอีก ข้าหิวแล้ว”
เส้นเลือดกลางหน้าผากของซวนอีปูดโปนขึ้นมา เขามิใช่สาวรับใช้หากแต่เป็นองครักษ์ใกล้ตัวของผู้เป็นนายเขา เมื่อหิวแล้วก็เรียกหาเขานี่มันอะไรกัน?
ถึงแม้ว่าจะเอ็ดบ่นแต่ซวนอีก็รับคำสั่งไปจัดหาตามที่เขาต้องการมาให้
เมื่อคืนนี้ถ้าหากมิใช่เพราะเจ้าเด็กนี่ บางทีนายน้อยอาจจะเสร็จไปเสียแล้ว
นายน้อยดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่ไม่มีความต้องการต่อสิ่งใดแต่กลับเป็นผู้คลั่งไคล้ในความรักผู้หนึ่ง เฮ้อ!
หลังจากที่อาหารมาส่งให้เสร็จสรรพ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิว ข้ากินข้าวมื้อนี้เสร็จก็จะไปแล้ว”
“ยังเหลือเวลาอีกวันไม่ใช่หรือ?” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวถาม
“อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีเรื่องอื่นใด หากเจ้าได้ข่าวของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็จงบอกข้าก็พอแล้ว ข้าจะไม่อยู่ในตำหนักตงจี๋เป็นการชั่วคราว” มู่เฉียนซีกล่าว
“เจ้าโกรธหรือ?”
มู่เฉียนซีชำเลืองมองไปทางเขาแล้วกล่าว “แน่นอนว่าข้าโกรธ อีกทั้งจะไม่หายโกรธด้วย! ข้าจะบอกเจ้าไว้ให้นะเฟิงอวิ๋นซิว เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อตนเองตั้งแต่เมื่อไร เรื่องเมื่อคืนก็ให้มันจบลงไปเช่นนั้นเสีย”
“มิเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันแล้ว” แล้วมู่เฉียนซีก็เดินออกไป
มู่เฉียนซีหวังว่าเขาจะปล่อยวางมันลงได้!
ดวงตาสีเหลืองอำพันของเฟิงอวิ๋นซิวหรี่ลงแล้วกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่มู่เฉียนซีกินอาหารเสร็จสิ้น เฟิงอวิ๋นซิวก็กล่าวขึ้น “ซวนอี ส่งเฉียนเยี่ยออกจากตำหนักตงจี๋ แล้วก็ถือโอกาสพาเขาไปทำความคุ้นเคยกับเมืองตงจี๋เสียหน่อย หากเขาต้องการสิ่งใดเจ้าจงทำให้เขาพอใจก็พอแล้ว นี่นับว่าเป็นสิ่งที่ติดค้างกันไว้ที่เมืองโอสถเมื่อตอนนั้น”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เจ้าพูดเองนะเฟิงอวิ๋นซิว เมื่อถึงตอนนั้นแล้วเจ้าถังแตกก็อย่ามาร้องไห้เล่า ที่นี่เป็นถิ่นที่ของเจ้า ข้าใช้จ่ายขึ้นมาจะไม่เกรงใจอย่างแน่นอน”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “จงเลือกซื้อได้ตามใจเจ้า!”
ดังนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงได้ออกจากตำหนักตงจี๋ไปซื้อสิ่งของนานาชนิดที่เมืองตงจี๋ นี่เป็นครั้งแรกที่ซวนอีผู้นี้ที่เป็นองครักษ์ข้างกายของนายน้อยอวิ๋นซิวได้ลิ้มรสของการจ่ายเงินเสียจนมืออ่อนยวบ
ซวนอีขบฟันมองไปยังมู่เฉียนซี เจ้าเด็กนี่ช่างเป็นพวกมือเติบอย่างสุดยอดเสียจริง!
“เจ้าซื้อเสร็จแล้วหรือยัง?” ซวนอีถาม
“ยังเลย! ที่ตรงนั้นยังมีร้านโอสถอีกแห่งหนึ่ง!”
ซวนอีควรที่จะรู้สึกโชคดีที่เจ้าเด็กนี่ชอบแต่เพียงสมุนไพรวิญญาณเท่านั้น
ถ้าหากว่าชอบสิ่งอื่น ๆ ด้วยแล้วและจับจ่ายซื้อของชนิดต่าง ๆ ด้วย เช่นนั้นเกรงว่าผู้เป็นนายที่พวกเขารักนั้นจะถังแตกเข้าจริง ๆ เสีย
หลังจากซื้อเสร็จแล้วซวนอีก็หมดแรงจนถึงขนาดที่ต้องหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองตงจี๋ให้แก่มู่เฉียนซี ในที่สุดเขาก็ได้จัดการเรื่องที่อยู่ของนายน้อยอีกท่านเสร็จสิ้นแล้ว
ซวนอีถามขึ้น “คุณชายมู่ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่มีแล้ว!”
“เช่นนั้นข้ากลับไปรายงานนายน้อยแล้วนะ!”
มู่เฉียนซีผายมือแล้วกล่าว “ไปเถอะ! ไปเถอะ!”
ซวนอีวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเกิดกลัวว่ามู่เฉียนซีจะตะโกนให้เขาหยุดเสียและให้เขาไปใช้แรงงานต่อ
หลังจากที่ได้ให้ซวนอีกลับไปแล้วมู่เฉียนซีก็ไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยมต่อนานนัก แต่ได้กลับไปยังหอหมอปีศาจ
ตอนนี้หอหมอปีศาจก็มีชื่อเสียงในแดนตะวันออกไม่เบาแล้ว แต่ทว่าพื้นที่ในแดนตะวันออกนั้นกว้างขวางอีกทั้งยังมีตำหนักตงจี๋ซึ่งเป็นกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามคอยดูแลอยู่ แน่นอนว่าอิทธิพลของหอหมอปีศาจนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนในแดนใต้
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปในหอหมอปีศาจ การตกแต่งภายในหอนั้นล้วนแต่ถูกจัดวางตามคำสั่งของนาง มู่เฉียนซีพอใจเป็นอย่างมาก
นางได้เรียกหาคนรับใช้ผู้หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “ข้าต้องการที่จะพบรองหัวหน้าหอโม่ของพวกเจ้า”
เด็กรับใช้ตะลึงงัน มีคนไม่น้อยที่เรียกเขาว่ารองหัวหน้าหอ แต่คนที่เรียกรองหัวหน้าโม่นั้นมีไม่มากนัก ต้องเป็นคนรู้จักแน่!
เด็กรับใช้กล่าว “รองหัวหน้าหอของพวกเราออกไปธุระข้างนอกแล้ว”
“เช่นนั้นแล้วหัวหน้านักปรุงยาจวินของพวกเจ้าเล่า?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“หัวหน้านักปรุงยาจวินกำลังพักผ่อนอยู่ พวกเราไม่กล้าไปรบกวน”
มู่เฉียนซีจึงถามขึ้น “ขอยืมห้องครัวของพวกเจ้าใช้เสียหน่อยได้หรือไม่?”
เด็กรับใช้ผู้นั้นตะลึงค้าง คุณชายผู้ที่หล่อเหลาไม่ธรรมดาผู้นี้จะไปทำอะไรในห้องครัว?
คงมิใช่จะไปทำอาหารหรอกกระมัง!
มู่เฉียนซียิ้มตาหยีแล้วกล่าว “สบายใจเถอะ! ข้ารู้จักกับเจ้าตะกละนั่น มันจะไม่เกิดผลเสียกับหอหมอปีศาจหรอก”
เอาเถอะ แม้แต่นิสัยที่หัวหน้านักปรุงยาจวินซ่อนเอาไว้เขายังรู้ เขาจะต้องไม่สงสัยพวกเขาแน่
คนนอกนั้นรู้สึกว่าหัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจนั้นช่างเป็นผู้ที่สูงส่งเหมือนดั่งเทพ
แต่ว่านะ…
เขาไม่อยากจะพูดอะไรออกมาจริง ๆ
มู่เฉียนซีเพียงแค่ขลุกขลักอยู่ในครัวครู่หนึ่งก็ได้มีกลิ่นหอมอย่างเข้มข้นโชยมา
ด้วยการที่เป็นคนตะกละ จมูกของจวินโม่ซีจึงไวต่อความรู้สึกเป็นอย่างมาก ทันทีที่ได้กลิ่นหอมนี้เขาก็กระโดดขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็วและพุ่งไปที่ห้องครัว!
“สาวน้อย เจ้ามาแล้ว ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ข้านั้นจะบ้าอยู่แล้ว ข้าหิวจนจะบ้าแล้วเข้าใจหรือไม่…”
เด็กรับใช้ผู้นั้นที่นำมู่เฉียนซีเข้าไปยังห้องครัวก็ได้เห็นหัวหน้านักปรุงยาที่สูงส่งของพวกเขาพุ่งเข้าไปในครัว และมุ่งตรงไปหมายจะกอดเข้าที่หมาป่าเงาร่างสีขาวนั้น
บางทีก็มีคนใช้ความงามเพื่อดึงดูดหัวหน้านักปรุงยาจวิน แต่ท้ายที่สุดแล้วคนงามเหล่านั้นล้วนอนาถจนทนไม่ไหว
นึกไม่ถึงเลยว่านักปรุงยาจวินจะชอบผู้ชาย
แน่นอนว่ามู่เฉียนซีไม่ยอมให้เขาทำได้สำเร็จ นางได้หลบไปแล้วกล่าวขึ้น “ถ้าหากว่าเจ้าอยากกินละก็จงไสหัวไปทางนั้นแล้วรออยู่ให้ดี!”
หัวหน้านักปรุงยาจวินที่ไม่เคยยอมใครกลับเหมือนแมวน้อยตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างคอยมองมู่เฉียนซีราวกับสัตว์เลี้ยงที่หิวโหยมาเป็นพันปีก็มิปาน
เด็กรับใช้ตกใจจนลูกตาแทบจะถลนออกมา นี่ใช่หัวหน้านักปรุงยาจวินจริงหรือ? คงจะไม่ถูกผู้อื่นสลับตัวไปหรอกกระมัง!
ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ทำอาหารเสร็จแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ยกขึ้นตึกไปเอง เตรียมกินได้!”
“ได้!” จวินโม่ตอบรับอย่างสุขใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าที่ตำหนักตงจี๋จะมีอาหารอันล้ำค่าจากภูเขาและทะเลอย่างมากมาย แต่ว่ามู่เฉียนซีที่มิได้ชิมฝีมือของตนเองมานานมากแล้ว ก็ยังพอใจกับฝีมือของตนเองเป็นอย่างมาก
แต่ทว่านางกลับถูกจวินโม่ซีแย่งอาหารไปไม่น้อย
จวินโม่ซีกล่าวอย่างพออกพอใจ “นับว่าเจ้าค่อนข้างมีความเป็นธรรมอยู่บ้างนะสาวน้อย แม้มันจะไม่คุ้มกับที่ข้าปรุงยาอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อที่จะให้เจ้าเอาไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยก็ตาม”
รอจนโม่จิ่นมาถึงและเห็นแต่เพียงเศษอาหารที่เหลือเพียงน้อยนิด มุมปากของเขาก็แสยะออก สองคนนี้ช่างเกินไปยิ่งนัก!
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อย เขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดคุยกับผู้เป็นเจ้านาย!
โม่จิ่นกล่าวขึ้น “นายท่าน ท่านมาพอดีเลย ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องการให้ท่านตัดสินใจ!”
.