สำนักหุ่นปีศาจ เป็นกองกำลังระดับสอง ตั้งอยู่ที่เทือกเขาเมฆามืดทางตอนใต้สุดแห่งแดนใต้
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่กองกำลังระดับสองกองกำลังหนึ่ง แต่กลับไม่มีกองกำลังระดับสองกองกำลังใดกล้าต่อกร ถึงขั้นมีผู้คนรู้สึกว่าสำนักหุ่นปีศาจนี้น่าเกรงกลัวยิ่งกว่าตำหนักตงจี๋ที่เป็นถึงกองกำลังระดับสามเสียอีก
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเพราะว่าสำนักหุ่นปีศาจสามารถสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาได้ และเชี่ยวชาญในการควบคุมหุ่นเชิดเป็นอย่างยิ่ง
หุ่นเชิดเป็นเครื่องจักรในการต่อสู้แต่โดยกำเนิด ไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวด ไม่กลัวการนองเลือด หุ่นเชิดขั้นสวรรค์หุ่นหนึ่ง ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดก็ล้วนแต่ต้องหวั่นกลัวทั้งสิ้น
และแน่นอนว่าตำหนักตงจี๋นั้นไม่อยากปล่อยให้สำนักหุ่นปีศาจยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ตำหนักตงจี๋เคยส่งคนมากวาดล้างสำนักหุ่นปีศาจแล้ว แต่เทือกเขาเมฆามืดที่ตั้งของสำนักหุ่นปีศาจนั้นมีอากาศเป็นพิษรุนแรงตลอดทั้งปี ต่อให้ส่งยอดฝีมือไปก็ไม่อาจเอาชีวิตรอดกลับมาได้ เนื่องจากอากาศพิษอันรุนแรงนั้นได้ทำให้พลังลดลงไปมากนั่นเอง
อากาศพิษกับหุ่นเชิดนั้นยากที่จะรับมือได้ ทำให้ตำหนักตงจี๋เลิกราที่จะต่อสู้กับพวกเขาไป แต่เนื่องจากตำหนักตงจี๋นั้นยอมถอยทำให้พวกเขายิ่งกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น และไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นึกไม่ถึงเลยว่าสำนักหุ่นปีศาจจะลอบโจมตีเหล่าผู้อาวุโสของตำหนักตงจี๋ จับพวกเหล่าอาวุโสไปทำเป็นหุ่นเชิด
ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่จะเข้ามาแทนที่ตำหนักตงจี๋เพื่อที่จะได้เป็นกองกำลังอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออกของพวกเขานั้นเผยออกมาได้อย่างชัดเจนมาก หากตำหนักตงจี๋อดทนอยู่ต่อไป สำนักหุ่นปีศาจก็คงจะมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งแดนตะวันออกเป็นแน่
ดังนั้น ไป๋อู๋ห่ายจึงเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสำนักหุ่นปีศาจ ทว่า กลับไม่อยากเสี่ยงด้วยตัวเอง จึงให้เฟิงอวิ๋นซิวลงมือ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้พ่ายแพ้ เขาก็ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ปรมาจารย์จางได้ศึกษาหาวิธีว่าจะรับมือกับอากาศพิษที่เทือกเขาเมฆามืดเช่นไรดี และเขาก็ได้ศึกษายาลูกกลอนที่สามารถต้านทานอากาศพิษออกมาได้แล้วด้วย ในขณะที่เฟิงอวิ๋นซิวไปเชิญกลับถูกปรมาจารย์จางปฏิเสธ
ปรมาจารย์จางที่กำลังพักฟื้นจากอาการป่วยหนักกล่าวเย้ยหยันว่า “นายน้อยอวิ๋นซิวคิดว่าเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นเก่งกาจมากไม่ใช่เหรอ ความสัมพันธ์ของนายน้อยกับเจ้าเด็กนั่นก็ดีมาโดยตลอดนี่ ครานี้ นายน้อยอวิ๋นซิวก็ไปขอให้เจ้าเด็กนั่นช่วยก็ได้แล้ว เหตุใดถึงต้องมาหาข้าด้วยเล่า”
ปรมาจารย์จางอยากจะฉีกเนื้อหนังมังสาของมู่เฉียนซีออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น แต่ก็จนปัญญา เพราะเฟิงอวิ๋นซิวนั้นปกป้องเขามาโดยตลอด ท่านหัวหน้าตำหนักก็ไม่อยากให้เขาทำอะไรผลีผลามในตำหนักตงจี๋ มิเช่นนั้นเขาก็คงจะลงมือไปตั้งนานแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “รับมือกับสำนักหุ่นปีศาจ เป็นคำสั่งของท่านหัวหน้าตำหนัก หรือว่าท่านปรมาจารย์จางไม่ฟังแม้กระทั่งคำสั่งของท่านหัวหน้าตำหนัก?”
รับมือกับสำนักหุ่นปีศาจเป็นเรื่องของตำหนักตงจี๋ ต่อให้เฉียนเยี่ยมีไพ่ตายที่จะสมัครไป แต่เขาก็ไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงด้วย
“ข้าถูกเจ้าเด็กนั่นเล่นงาน จนกระทั่งตอนนี้อาการป่วยก็ยังไม่หายดี ในเมื่อข้าบอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป หากนายน้อยไม่วางใจที่จะให้เจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นไป ข้าจะส่งยอดปรมาจารย์นักปรุงยาส่วนหนึ่งไปกับนายน้อยก็แล้วกัน”
สีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวเคร่งขรึมลง รู้ดีหากพูดต่อไปก็คงจะไร้ประโยชน์ เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านปรมาจารย์จางมาก”
เมื่อมองดูเฟิงอวิ๋นซิวเดินจากไป แสงเย็นก็วาบผ่านในดวงตาของปรมาจารย์จาง
เฟิงอวิ๋นซิว หากว่าเจ้าไปคนเดียวแล้วละก็ ข้าจะทำให้เจ้าไปแล้วไปลับไม่มีทางกลับมาได้แน่นอน
หากพาเจ้าเด็กนั่นไปด้วย ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าทั้งสองตายอย่างไร้ซากศพ
ทว่า เฟิงอวิ๋นซิวกลับไม่อยากลากมู่เฉียนซีเข้ามาพัวพันด้วย ซวนอีรู้ว่านายน้อยของเขานั้นกำลังเป็นกังวลแล้ว
เขากล่าว “นายน้อย พามู่หรงเฉียนเยี่ยไปด้วยเถอะขอรับ! เจ้าหนุ่มนั่นรอบรู้มากมาย แถมฝีมือการปรุงยาก็เก่งกาจมากอีกด้วย เทือกเขาเมฆามืดเป็นพื้นที่ที่มีอากาศพิษรุนแรง เขาต้องมีวิธีรับมือได้แน่นอน”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ต่อให้ฝีมือการปรุงยาของเฉียนเยี่ยจะเก่งกาจ แต่เขาก็เป็นแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับหกเท่านั้น ต่อให้เขาสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ แต่เรื่องนี้มันอันตรายเกินไปสำหรับเขา ไป๋อู๋ห่ายต้องการจะเล่นงานข้า”
ซวนอีกล่าว “เป้าหมายของไป๋อู๋ห่ายก็คือนายน้อย ผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายที่สุดคงจะไม่ใช่เจ้าหนุ่มนั่น”
“เจ้าคิดผิดแล้ว หากให้ไป๋อู๋ห่ายเลือก ก็คืออยากจะลงมือกับเฉียนเยี่ยเป็นคนแรก”
ไป๋อู๋ห่ายรู้ถึงสถานะตัวตนของมู่หรงเฉียนเยี่ย เขาไม่ลงมืออย่างโจ่งแจ้งแน่นอน
แต่เมื่อใดที่เขาออกไปจากตำหนักตงจี๋แล้วเกิดเรื่องขึ้นที่เทือกเขาเมฆามืด ไป๋อู๋ห่ายก็จะผลักเรื่องราวทุกอย่างไปให้สำนักหุ่นปีศาจ ต่อให้กู้ไป๋อีจะยกทัพทำสงครามโดยไม่มีข้ออ้างก็ตาม
รบราต่อสู้กันทั้งในที่แจ้งและที่ลับกับไป๋อู๋ห่ายมาหลายปี เขาเข้าใจความคิดของคนผู้นี้มากกว่าใครแล้ว
ไป๋อู๋ห่ายเป็นคนที่มีความอิจฉาริษยาอย่างแรงกล้าโดยเฉพาะกับกู้ไป๋อี คนผู้นั้นเมื่อตอนที่อายุสามสิบก็ฝึกฝนจนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทานพลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับเก้าแล้ว แต่เขากลับฝึกฝนอยู่นานเป็นเวลานับสามร้อยปี
ซวนอีสงสัยเล็กน้อย “เพราะเหตุใดล่ะขอรับ?”
เฟิงอวิ๋นซิวไม่ได้ไขข้อสงสัยให้กับเขา ตัวตนของเฉียนเยี่ยจะให้คนรู้เยอะไม่ได้
เขากล่าว “ฉะนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าก็จะไม่มีทางให้เฉียนเยี่ยไปเทือกเขาเมฆามืดกับข้าเด็ดขาด”
“หรือว่าเราจะไปเชิญหัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจหรือว่าหมอปีศาจให้มาช่วยดีหรือไม่ขอรับ นักปรุงยาระดับสูงของตำหนักโอสถเหล่านั้นล้วนแต่ไม่ได้เรื่องทั้งสิ้น” คราก่อนที่ไปก็เป็นนักปรุงยาระดับสูง แต่ก็ไม่สามารถรับมือกับอากาศพิษเหล่านั้นได้เลย
“ไม่ต้อง ไปติดต่อนักปรุงยามาเพิ่มแล้ววางแผนให้ดี ต่อให้ทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ ก็ต้องรักษาชีวิตเอาตัวรอดกลับมาให้ได้” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว
ซวนอีไม่มีอันใดจะพูดแล้ว ทำได้เพียงแค่พยักหน้าพลางตอบรับ “ขอรับ!”
ซวนอียังคงไม่สบายใจอยู่ดี ในตอนนี้นายน้อยต้องการเอาตัวเองเป็นเหยื่อในกรงเล็บของไป๋อู๋ห่าย มันอันตรายเกินไปแล้ว
ที่นั่นไม่ธรรมดา เป็นถึงเทือกเขาเมฆามืดที่มีอากาศพิษที่น่ากลัวที่สุด
เขาเตรียมพร้อมที่จะกระทำเรื่องเรื่องหนึ่งลับหลังนายน้อย
มู่เฉียนซีกำลังนั่งจิบชาอยู่อย่างเกียจคร้าน พลังจิตอันแข็งแกร่งทำให้นางรู้ว่ามีสายตาอันคุ้นเคยคู่หนึ่งกำลังแอบมองมาที่นาง
มู่เฉียนซีกล่าวติดตลกว่า “ซวนอี เจ้าแอบมองข้าอยู่นานถึงเพียงนี้ คงไม่ได้แอบชอบข้าแล้วกระมัง! ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของเจ้าจะหล่อเหลาเอาการ แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลาเท่ากับคนในใจข้า ข้าว่า…”
เขาเก็บซ่อนกลิ่นอายได้ดีถึงปานนี้แต่กลับถูกจับได้ เขาไม่ทันได้ตั้งตัวก็ได้ยินคำพูดลามกของมู่เฉียนซีเสียแล้ว มุมปากเขาจึงกระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ไม่อาจปล่อยให้เขาพูดจาเหลวไหลต่อไปได้อีกแล้ว ซวนอีกระโดดออกมาและกล่าวว่า “คุณชายมู่หรง”
มู่เฉียนซีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มพลางมองไปที่เขา “วันนี้เจ้าช่างมีมารยาทเสียจริง มีเรื่องให้ข้าช่วยอย่างนั้นเหรอ”
ซวนอีกล่าว “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องคุณชาย”
สีหน้าของซวนอีเคร่งขรึมลง มู่เฉียนซีก็ไม่ได้หยอกล้อเขาต่อแล้ว นางกล่าวถามว่า “อวิ๋นซิวเจอเรื่องยุ่งยากอันใดเข้าแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
สามารถทำให้เจ้าหมอนี่มาขอร้องนางได้เช่นนี้ นอกจากเฟิงอวิ๋นซิวจะเจอเรื่องยุ่งยากแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอื่นไปได้เลย
ซวนอีได้เล่าเรื่องที่ไป๋อู๋ห่ายมีคำสั่งให้เขาไปกวาดล้างสำนักหุ่นปีศาจให้มู่เฉียนซีฟัง มู่เฉียนซีกล่าว “เรื่องใหญ่เช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่มาขอให้ข้าช่วย ดูท่าเขาอยากจะฆ่าตัวตายแล้วจริง ๆ กระมัง!”
“เจ้ากลับไปเถอะ! ข้าจะถือว่าเจ้าไม่เคยมาหาข้า”
ซวนอีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง นี่เขาปฏิเสธแล้ว
เรื่องเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ เขาปฏิเสธก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ในใจเขากลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย สหายเพียงคนเดียวที่นายน้อยใส่ใจมาโดยตลอด แต่เขากลับดูเหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจนายน้อยเลย
ซวนอีก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ไม่นานนักเขาก็อันตรธานหายไปต่อหน้ามู่เฉียนซี
มู่เฉียนซี “ชิงอิ่ง”
ชิงอิ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซีพลางกล่าว “เฉียน ข้าอยู่นี่”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “สำนักหุ่นปีศาจ เป็นสำนักที่สร้างหุ่นเชิดขึ้นมาโดยเฉพาะ ข้าอยากจะไปดูสักหน่อยว่าตกลงหุ่นเชิดมันทำขึ้นมาได้อย่างไรกัน”
ชิงอิ่งได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกหดหู่ไปโดยไม่รู้ตัว ความหดหู่นั้นเห็นได้ชัดจากนัยน์ตาเขา
เฉียนมีหุ่นเชิดอย่างเขาคนเดียวแล้วยังไม่พอ ยังต้องการหุ่นเชิดอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ข้าเป็นนักปรุงยาคนหนึ่ง ข้าสามารถช่วยคน ช่วยสัตว์ รวมไปถึงช่วยพืชพันธุ์สมุนไพรอื่น ๆ ได้ แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าข้ากลับไร้หนทางทำอะไรไม่ได้เลย ข้าก็เลยคิดว่า หากข้าได้รู้วิธีการทำหุ่นเชิด บางทีชิงอิ่ง หากเจ้าเป็นอะไรไป ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ ข้าก็มีทางรักษาให้เจ้าได้อย่างไรเล่า”
.