หัวใจของพวกเขารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันใดและกล่าวอย่างสั่นสะท้าน “ไม่ใช่ยาถอนพิษ…มันคือ…มันคือ…”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “แน่นอนว่ามันคือพิษน่ะสิ!”
“ยาพิษ!”
“เจ้าจะมากเกินไปแล้ว พวกเราไม่ได้ระวังในตัวเจ้าแต่เจ้ากลับวางยาพิษพวกเรา”
“แม่นางมู่ พวกเราเชื่อในเจ้าเช่นนั้น…”
พวกเขาแต่ละคนได้กล่าวโทษมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “หากไม่อยากตายเร็วนักละก็ ทางที่ดีพวกเจ้าจงหุบปากเสีย พิษของข้าไม่ใช่เรื่องตลก”
ทันใดนั้นปากของพวกเขาก็ปิดสนิทไปอย่างรวดเร็วและไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาอีก
มู่เฉียนซีมองไปที่เฟิงอวิ๋นซิวแล้วกล่าว” อวิ๋นซิว คาดว่าเจ้าคงมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องการจะขอคำแนะนำจากพวกเขากระมัง! ตอนนี้สามารถถามได้แล้ว”
เฟิงอวิ๋นซิวเดินเข้ามาแล้วกล่าว “ปรมาจารย์จางให้พวกเจ้าตามข้ามาที่เทือกเขาเมฆามืดนี้ เขามีคำสั่งอะไรเป็นพิเศษหรือไม่? อย่างเช่นให้ลอบทำร้ายข้า”
สีหน้าของนักปรุงยาเหล่านี้ซีดเผือดขึ้นมาแล้ว พวกเขากล่าวอย่างร้อนรน “ไม่มี…ไม่มีอย่างแน่นอน!”
“ปรมาจารย์จางจะให้พวกเรามาทำร้ายคนของนายน้อยอวิ๋นซิวได้อย่างไรเล่า!”
“พวกเรากล้าที่ไหน…”
“อ๊าก!” ในตอนที่พวกเขากำลังอธิบายอยู่นี่เองก็พลันเกิดอาการจุกแน่นจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างขึ้นมา เหงื่อนั้นไหลออกมาไม่หยุด
มู่เฉียนซียิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “เมื่อต้องพิษของข้าเข้าแล้ว หากพวกเจ้ากล่าวเท็จก็ต้องระวังเสียหน่อย! มิเช่นนั้นแล้วรสชาติเช่นนี้มิใช่ว่าจะไม่เจ็บปวด”
คำพูดของมู่เฉียนซีนั้นเหมือนดั่งน้ำเย็นถังหนึ่งที่สาดเข้าใส่ตัวพวกเขา พวกเขาโกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัว
“หากไม่อยากให้ตนเองต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานต่อไป ทางที่ดีจงพูดความจริง!” มู่เฉียนซีกล่าวเตือน
พิษในร่างกายของพวกเขานั้นทำให้พวกเขาเจ็บปวดเสียจนไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ไฉนเลยจะยังกล้ากล่าวเท็จต่อไปอีก
“นายน้อยอวิ๋นซิวไว้ชีวิตด้วย! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำสั่งที่ปรมาจารย์จางมอบให้พวกเรา ปรมาจารย์จางให้พวกเราไม่ให้ความช่วยเหลือหรือร่วมมือกับนายน้อยอวิ๋นซิวอย่างสุดกำลัง ถึงขนาดยังจะให้พวกเราหาโอกาสวางยาพิษนายน้อยอวิ๋นซิวด้วย”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไอ้เฒ่านั่นรนหาที่ตายจริง ๆ”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวถามต่อ “แล้วอย่างไรอีก? ปรมาจารย์จางยังมีแผนการอื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว พวกเรารู้มาเพียงเท่านี้ นายน้อยอวิ๋นซิว ถ้าหากพวกเรากล้าปิดบังพวกเรายินยอมที่จะโดนสายฟ้าฟาดผ่าให้ตาย”
ดวงตาสีเหลืองอำพันของเฟิงอวิ๋นซิวครึ้มลง ดูท่าแล้วสิ่งที่พวกเขารู้ก็คงจะมีเพียงเท่านี้
ผู้ที่วางแผนการอันตรายที่แท้จริงนั้นเกรงว่าคงจะเป็นไป๋อู๋ห่าย แน่นอนว่าจึงมิได้ให้พวกเขารู้เข้า
เฟิงอวิ๋นซิวหันกลับไปมองมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “เฉียนซี ตอนนี้เจ้ามอบยาเม็ดของเจ้าให้พวกเราแล้ว ทำให้อากาศพิษนั้นไม่สามารถสร้างความลำบากให้แก่พวกเราได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้นั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เจ้าจงกลับไปก่อนเถิด!”
มู่เฉียนซีโกรธกริ้วขึ้นมาบ้างแล้ว “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าใช้ประโยชน์จากข้าเสร็จก็จะไล่ข้าไปหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าข้ามิได้อยู่เพื่อปกป้องเจ้า ข้าอยู่เพื่อปกป้องซวนอีที่น่ารักต่างหาก”
สีหน้าของซวนอีมืดครึ้ม น่ารัก! เด็กสาวนี่กลับกล่าวว่าเขาน่ารัก!
ด้วยการปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของมู่เฉียนซีอีกทั้งยังหาเหตุผลเช่นนี้ออกมา จึงทำให้เฟิงอวิ๋นซิวไม่สามารถที่จะทำให้นางจากไปได้
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เจ้าจะต้องระวังตัวให้มาก”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ข้ามีชิงอิ่งอยู่ อีกทั้งยังมีเสี่ยวหงและอู๋ตี้ ผู้ที่ควรจะต้องระวังคือเจ้าถึงจะถูก”
และแล้วพวกเขาก็ได้ออกเดินทางต่อ แสงบนฟ้านั้นเริ่มมืดลงไปทุกที เช่นนี้แล้วนับเป็นโอกาสที่ดีนักต่อการซุ่มจู่โจม
ฟึ่บ ฟึ่บ!
ในความมืดนั้นหุ่นเชิดไร้ซึ่งลมหายใจ ไร้ซึ่งหัวใจที่เต้นอยู่ ไร้ซึ่งพลังวิญญาณและพลังชีวิต มันเหมือนดั่งอากาศธาตุก็มิปาน จึงทำให้ยากนักที่จะสามารถตรวจจับสัมผัสของมันได้
ไอ้เจ้าพวกนี้เรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งการลอบโจมตีอย่างแน่นอน
แต่ทว่า……
มู่เฉียนซีได้กล่าวขึ้น “สองร้อยมี่ทางตะวันออกเฉียงใต้!”
“ทางใต้หนึ่งร้อยมี่!”
“แล้วก็…”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! หลังจากที่ซวนอีได้ยินสิ่งที่มู่เฉียนซีกล่าวออกมาแล้ว เขาก็พุ่งฝ่าออกไปในฉับพลัน
องครักษ์ซวนคนอื่น ๆ ก็ได้พุ่งตามไปโดยปริยาย และเป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ที่ที่พวกเขาพุ่งเข้าไปก็ได้พบเข้าหุ่นเชิดที่กำลังเข้ามาเพื่อลอบจู่โจม
บึ้ม!
การต่อสู้อันดุเดือดได้เปิดฉากขึ้นในความมืดมิด
เพราะมู่เฉียนซีตรวจพบได้ทันเวลา ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ได้เสียหายมากสักเท่าไร
ผู้อาวุโสสูงสุดถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “สาวน้อย เหตุใดเจ้าจึงตรวจพบได้รวดเร็วเช่นนั้น?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เพราะว่าข้าเป็นนักปรุงยา! พลังจิตของนักปรุงยานั้นจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นแล้วข้าจึงตรวจพบพวกมันได้”
ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อ แม้พลังจิตของนักปรุงยาจะแข็งแกร่งสักเท่าไร แต่พลังความสามารถของนางก็เป็นแค่เพียงจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หกเท่านั้นนี่!
ทำไมถึงได้แข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ ช่างวิปริตไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ
ฟิ้ว! เสียงแหวกอากาศเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายตรงข้ามนั้นได้ใช้อาวุธลับเสียแล้ว
อาวุธลับที่พุ่งมาทางมู่เฉียนซีนั้นได้ถูกชิงอิ่งที่โผล่มาดั่งภูตผีคว้าเอาไว้
ที่อาวุธลับนั้นมีพิษอันร้ายกาจ แต่มันไม่สามารถที่จะทำอะไรชิงอิ่งได้เลย
ทันทีที่มือของชิงอิ่งเริ่มขยับ ลูกศรอันคมกริบดอกนั้นก็ได้พุ่งไปยังหุ่นเชิดนั่นที่อยู่ในความมืดและพุ่งทะลุหน้าผากของหุ่นเชิดตัวนั้นไป
ปัง! เสียงล้มลงกระแทกพื้นอันหนักหน่วงอีกเสียงหนึ่งได้ลอยเข้ามา
หลังจากที่จัดการในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้วพวกเขาก็ได้เดินทางต่อ เรื่องของการลอบสังหารในระหว่างทางนั้นเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลย!
ส่วนสำนักหุ่นปีศาจในตอนนี้เองก็กำลังประชุมกันอยู่
ยอดฝีมือทั้งหลายพร้อมทั้งผู้อาวุโสทั้งหมดของสำนักหุ่นปีศาจได้มารวมตัวกันอย่างครบถ้วน
ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำกลางห้องโถงประชุมที่ใหญ่โตนั้นเป็นบุรุษสวมชุดสีดำผู้หนึ่ง ส่วนโหวหมิงนั้นก็อยู่ที่ข้างกายเขา
มีคนผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้น “รายงานท่านเจ้าสำนัก กลุ่มคนของนายน้อยอวิ๋นซิวแห่งตำหนักตงจี๋ได้เข้ามาใกล้พวกเราแล้ว เพราะหนึ่งในพวกเขานั้นมีนักปรุงยาที่เก่งกาจอยู่ผู้หนึ่ง อากาศพิษของเทือกเขาเมฆามืดจึงไม่อาจที่จะหยุดยั้งพวกเขาเอาไว้ได้อีกต่อไป”
คนต่อไปก็รายงานขึ้น “พวกเราได้ส่งหน่วยกองกำลังออกไปลอบสังหารแล้ว แต่ก็ล้วนล้มเหลวไปทั้งหมด พวกเขานั้นรับมือได้ไม่ง่ายเลย! ไม่เสียทีที่นายน้อยอวิ๋นซิวเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก ก้าวต่อไปพวกเราควรจะทำเช่นไร?”
เจ้าสำนักเจียงขุยแสยะยิ้มมุมปากขึ้นมา “อัจฉริยะอันดับหนึ่งในตำนานเก่งกาจเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งอยากที่จะเอาเขามาทำเป็นหุ่นเชิดที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก ถ้าหากสามารถเอาเฟิงอวิ๋นซิวมาทำหุ่นเชิดได้ เช่นนั้นวันที่สำนักหุ่นปีศาจของเราจะได้เป็นใหญ่ในแดนตะวันออกก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว”
โหวหมิงกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก หุ่นเชิดชุดสีเขียวข้างกายของเด็กสาวผู้นั้นมิอาจที่จะดูเบาได้ เรื่องการรับมือกับเฟิงอวิ๋นซิวนั้นพวกเราจะต้องระมัดระวัง”
เจียงขุยกล่าว “หากหุ่นเชิดตัวนั้นมันพิเศษดั่งที่เสี่ยวโหวเจ้าว่ามา พวกเราก็จับเอามันมาศึกษาเสียให้ดี รอจนเมื่อสำนักหุ่นปีศาจของพวกเราสร้างหุ่นเชิดที่ดีกว่าออกมาได้ เช่นนั้นแล้วก็จะสามารถเป็นใหญ่ในโลกทั้งสี่ทิศได้
“แจ้งทุกคนให้เตรียมตัวรับศึกนายน้อยอวิ๋นซิวแห่งตำหนักตงจี๋”
“ขอรับ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เสียงอันสง่างามเสียงหนึ่งก็ได้ลอยมา
“ข้ามาถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าสำนักหุ่นปีศาจเตรียมต้อนรับ”
จากนั้นเสียงกล่าวอย่างหยอกล้อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พวกเจ้าสำนักหุ่นปีศาจหลบอยู่ในเทือกเขาเมฆามืดอันมืดมิดมานานปีเช่นนี้ก็คงจะถูกอากาศพิษนั่นทำให้โง่ไปเสียแล้ว ยังหวังที่จะเป็นใหญ่ในโลกทั้งสี่ทิศอีก นั่นมันก็น่าขันไปหน่อยแล้วกระมัง!”
“พวกเจ้าคิดจริงเหรอว่าพวกหุ่นเชิดห่วย ๆ พวกนั้นของพวกเจ้ามันเป็นหนึ่งในใต้หล้า?”
เมื่อทั้งสองเสียงนี้ดังลอยมา คนในทั้งโถงประชุมนั้นก็ถึงกับตะลึงงัน
ไม่นานนักที่ปากทางเข้าของโถงประชุมก็ได้ปรากฏเงาร่างหลายเงาขึ้นมา บุรุษและสตรีที่เป็นหัวหน้านั้นมีรูปลักษณ์ที่สง่างามช่างหาพบได้ยากยิ่งนักในโลกนี้
เจียงขุยมองทั้งสองอย่างพิจารณาพร้อมยิ้มตาหยีแล้วกล่าว “นายน้อยอวิ๋นซิว เจ้ามาได้เร็วกว่าที่คิดเอาไว้”
“แต่ว่าก็ดี ข้านั้นรอไม่ไหวที่จะนำเจ้าผู้ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่สมบูรณ์ที่สุดในแดนตะวันออกมาทำเป็นหุ่นเชิดเสียแล้ว”