“พวกเจ้าเป็นมังกรเผ่าใด นึกไม่ถึงเลยว่าจะเข้ามาที่นี่ได้เร็วถึงเพียงนี้ ไม่เลวเลยนี่!” ผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นชายวัยสี่สิบกว่าผู้หนึ่งกล่าวถามขึ้น
มู่เฉียนซีไม่ได้เปล่งเสียงตอบแต่อย่างใด นางเพียงแค่แผ่ซ่านพลังธาตุวารีออกมาก็เท่านั้น
พวกเขากล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เผ่ามังกรวารี”
“สมกับที่เป็นคนวัยหนุ่มสาวของเผ่ามังกรวารีของหนึ่งในห้าเผ่าจริง ๆ พรสวรรค์ไม่เลวเอาซะเลย! เท่าที่ข้ารู้มา เหล่าผู้อาวุโสเผ่ามังกรวารีของพวกเจ้ายังมากันไม่ถึงนี่!” พวกเขากล่าวลองเชิง
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกข้าเสี่ยงอันตรายเดินทางล่วงหน้ากันมาก่อน ไม่ได้บอกให้พวกเขารู้”
“ถึงแม้ว่าซากปรักหักพังของสุสานมังกรนี้จะดูเงียบสงบ แต่อันที่จริงมันมีอันตรายแอบซ่อนอยู่มาก พวกเจ้าไม่มีผู้อาวุโสนำทางแต่สามารถมาที่ตรงนี้ได้ นับว่าเป็นโชคดีของพวกเจ้าจริง ๆ แต่เส้นทางเดินต่อไปข้างหน้านี้ ข้าว่ามีคนร่วมทางไปด้วยมันจะดีกว่านะ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยอมร่วมทางไปกับพวกข้าหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อผู้อาวุโสยินยอมที่จะดูแลพวกข้าเช่นนี้ พวกข้าก็ยินดีร่วมทางไปด้วยแน่นอน อย่างไรเสียพวกข้าเดินทางกันไปสองคนมันก็อันตรายมาก อีกอย่างการที่พวกข้าเดินทางมาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะว่าโชคและเดินลัดทางมาเท่านั้น”
ร่วมทางไปกับพวกเขาคงจะไม่ถูกต้นไม้เหล่านั้นโจมตี ช่วยให้ประหยัดแรงลงไม่น้อยเลย
อีกอย่างคนเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดาด้วย
ทั้งสองเดินทางมาก่อนที่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรจะเปิดเสียอีก แต่พวกเขาสามารถเดินทางมาทันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความสามารถ
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยก็เดินร่วมทางไปกับคนกลุ่มนี้
“พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าลุงเก๋อก็ได้” ท่านลุงผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าว “สวัสดีเจ้าค่ะท่านลุงเก๋อ”
มารยาทที่ควรมีมู่เฉียนซีก็ปฏิบัติ แต่ท่านลุงเก๋อกลับพบว่ามู่เฉียนซีนั้นเย็นชากับคนนอกเป็นพิเศษ ส่วนจิ่วเยี่ยนั้นไม่ได้สนใจผู้ใดเลย
แต่เขาก็พอเข้าใจ คนของห้าเผ่าล้วนแต่หยิ่งยโสกันทั้งสิ้น
“ไม่ทราบว่าที่พวกเจ้าเดินทางมาที่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรในครั้งนี้พวกเจ้าต้องการสิ่งใดรึ?” ท่านลุงเก๋อกล่าวถาม
“ต้องการสิ่งใดนะเหรอ” มู่เฉียนซีดมองพวกเขาด้วยสีหน้าที่สับสน
ท่านลุงเก๋อกล่าว “ดูท่าพวกเจ้าทั้งสองช่างเป็นเด็กที่ผลีผลามเกินไปแล้ว ยังไม่ทันเข้าใจถึงสถานการณ์ของซากปรักหักพังสุสานมังกร และก็ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้มีสิ่งใดพวกเจ้าก็พรวดพราดเข้ามาแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “เนื่องจากท่านหัวหน้าเผ่ากับเหล่าผู้อาวุโสได้ปรึกษากันว่าต้องเตรียมความพร้อมให้รอบคอบก่อนถึงจะเดินทางมา พลังของข้าทั้งสองคนก็ไม่ได้แข็งแกร่งนัก พวกเขาไม่มีทางยอมให้ข้าสองคนเข้ามาแน่นอน ดังนั้นพวกข้าจึงเดินทางมาที่นี่โดยที่ไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ของซากปรักหักพังของสุสานมังกรเลย รู้แค่ว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแดนมังกรแล้ว”
ท่านลุงเก๋อได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มขึ้น คาดว่ามังกรวารีน้อยผู้นี้เพิ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาได้ไม่นาน เผ่ามังกรวารีเก็บตัวห่างจากโลกภายนอก คาดว่าจะสั่งสอนนางมาโดยที่ไม่ได้เข้าใจสิ่งใดก็เดินทางมาในที่แห่งนี้ด้วยความสับสนงงงวยแล้ว
ท่านลุงเก๋อกล่าว “ซากปรักหักพังของสุสานมังกรเป็นสถานที่ที่ฝังบรรพบุรุษของเผ่ามังกรมานับไม่ถ้วน เข้ามาในที่แห่งนี้มีโอกาสที่จะหาของล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้มากมาย”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง หวังว่าครั้งนี้พวกเราจะโชคดีนะ”
คนอื่น ๆ เหลือบมองพวกเขา และเยาะเย้ยในใจ
ของล้ำค่าของบรรพบุรุษเผ่ามังกรจะสามารถเอามาได้อย่างง่ายดายอย่างนั้นหรือ หากพลังไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่ได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ของล้ำค่ามาครอบครองเท่านั้น แต่จะตายเช่นไรก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน!” ท่านลุงเก๋อกล่าว
ถึงแม้ว่าวันนี้จะคว้าอะไรมาไม่ได้ แต่อย่างไรก็ไม่ถูกต้นไม้พิทักษ์โจมตี
ในคืนนี้พวกเขาก็ได้ทำที่พักเพื่อพักผ่อน แม่นางน้อยผู้อ่อนแอของเผ่ามังกรวารีอย่างมู่เฉียนซีก็ไปพักผ่อนเอาแรงแล้ว
และแน่นอนว่าความจริงแล้วมู่เฉียนซีนั้นไม่ได้พักผ่อน
พลังจิตได้แผ่ซ่านออกไป นางกลับอยากรู้ว่าตกลงแล้วพวกคนกลุ่มนี้มีเป้าหมายใดกันแน่
เมื่อถึงยามดึกสงัด มู่เฉียนซีก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ท่านลุงเก๋อ เหตุใดเราต้องพาเจ้าเด็กสองคนนั่นไปด้วยละขอรับ พลังของสองคนนั่นก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร มีแต่จะเอามาเป็นภาระพวกเราด้วยซ้ำ!”
“สาวน้อยผู้นั้นเป็นถึงมังกรของเผ่ามังกรวารีเชียวนะ!”
“เป็นมังกรของเผ่ามังกรวารีแล้วยังไง รอให้แดนมังกรเปลี่ยนผู้นำ ทั้งห้าเผ่านั่นก็ไร้ความหมายแล้ว”
“เจ้ายังไม่เข้าใจว่าข้าหมายความว่าเช่นไร สาวน้อยนั่นเป็นมังกรของเผ่ามังกรวารี พลังธาตุวารีของนางบริสุทธิ์มาก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือว่าคุณสมบัติของนางก็ไร้ที่ติ ตอนนี้นายน้อยกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ต้องการคนเช่นนี้ให้ช่วยเพื่อทะลวงพลัง”
เมื่อเขากล่าวจบ จิ่วเยี่ยก็ต้องการลงมือทำให้พวกเขาหายสาบสูญไปโดยสมบูรณ์
มู่เฉียนซีกอดแขนจิ่วเยี่ยเอาไว้พลางกล่าว “จิ่วเยี่ย…”
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยเผยจิตสังหารออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะกล้าพุ่งเป้าไปที่ซี
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “จิ่วเยี่ย นี่เจ้าจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับข้าอย่างนั้นเหรอ เราตกลงกันแล้วนะว่าเข้ามาในนี้แล้วจะไม่ผลีผลาม ต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง”
“เราจะมาเปลืองพลังไปกับคนกลุ่มนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“อือ…” จิ่วเยี่ยเลือกที่จะฟังนาง แต่เขากลับใช้วิธีนี้ระงับจิตสังหารของตัวเองลง
เสียงพูดคุยด้านนอกยังคงเล็ดลอดให้ทั้งสองได้ยิน “แต่ที่พวกเรามาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะมาหาคลังเก็บของล้ำค่าของเผ่ามังกรนะ พาเจ้าเด็กถ่วงเวลาสองคนนั่นไปด้วยเราจะลงมือไม่สะดวกเอาได้นะขอรับ”
“พวกเรารู้เส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัยแล้ว พาพวกเขาไปก็ไม่เป็นไรหรอก”
“แล้วหากว่าสองคนนั่นรู้ความลับของพวกเราเข้า แล้วเราจะทำเช่นไรล่ะขอรับ”
“เราก็เก็บสาวน้อยผู้นั้นเอาไว้ ส่วนเจ้าหนุ่มนั่นก็ฆ่าทิ้งก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียนซีที่ถูกจิ่วเยี่ยจูบจนหายใจด้วยความยากลำบากในตอนนี้ก็เผยแววตาจิตสังหารออกมาแล้ว
ฆ่าจิ่วเยี่ยอย่างนั้นเหรอ พวกเขาเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากไหนกัน
จิตสังหารที่เผยออกมาจากแววตาของมู่เฉียนซีนั้นถูกจิ่วเยี่ยห้ามเอาไว้ ซีกับเขานั้นมีความคิดเหมือนกัน อีกทั้งนางยังใส่ใจเขามาก
ฮู่ว! ในที่สุดจิ่วเยี่ยก็ปล่อยมู่เฉียนซีแล้ว มู่เฉียนซีจึงสูดลมหายใจเข้าลึกและค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกมา
นางกระซิบข้างหูจิ่วเยี่ยว่า “จิ่วเยี่ย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้อะไรบางอย่าง การที่เราติดตามพวกเขาไป คาดว่าจะได้รับกำไรอย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยล่ะ”
“อีกอย่าง…” แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี
กล้าคิดทำร้ายพวกเขา กล้าคิดจะเอาชีวิตจิ่วเยี่ย นางจะไม่เตรียมของขวัญให้กับพวกเขาได้อย่างไรกันเล่า!
ท่านลุงเก๋อผู้ที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นอย่างน้อยพลังก็ถึงขั้นสัตว์เทพแล้ว ส่วนท่านลุงท่านอื่น ๆ ก็น่าจะพอ ๆ กัน การใช้พลังจัดการกับพวกเขามันยาก
แต่หากว่า…
พวกเขาระมัดระวังตัวมาก ต่อให้รู้ว่าทั้งสองไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะเตรียมป้องกัน ยากที่จะวางยาพิษมาก
ทว่า หากหมอปีศาจคิดจะวางยาพิษแล้วละก็ ต่อให้พวกเขาเตรียมป้องกันมากเพียงใดก็ไม่สามารถป้องกันได้
การพูดคุยต่อมาของพวกเขาก็ไม่มีเรื่องอันใดที่เป็นประโยชน์แล้ว มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “เราพักผ่อนกันก่อนเถอะ!”
เช้าวันต่อมาพวกเขาก็เดินทางกันต่อ
ยิ่งเข้าป่าลึกมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งไม่ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
ถึงแม้ว่าต้นไม้พิทักษ์สุสานมังกรจะหยุดโจมตีพวกเขาแล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีนกปีกดำโผล่ออกมาโจมตีพวกเขาอย่างไม่ละเว้น
ขวับ ขวับ ขวับ! เสียงพุ่งตัดผ่านอากาศนับไม่ถ้วนดังขึ้น ปากและปีกอันแหลมคมของพวกมันได้พุ่งเข้าหาพวกเขา
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!” มู่เฉียนซีรีบใช้โล่วิญญาณน้ำแข็งต้านทานเอาไว้
ไม่เพียงแต่ได้ปกป้องตัวเองเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ปกป้องจิ่วเยี่ยด้วย
“ผนึกมังกรวารี!” มังกรวารีสีฟ้าเย็นยะเยือกตัวหนึ่งพุ่งไปที่นกปีกดำเหล่านั้น
“มังกรวารีสะท้านสวรรค์!”
ปัง ปัง ปัง!
กำลังในการต่อสู้พลังธาตุวารีและการตอบสนองของมู่เฉียนซีนั้นน่าทึ่งมาก ทำให้คนเหล่านั้นที่คิดว่านางเป็นตัวถ่วงล้วนแต่ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น
ท่านลุงเก๋อยิ้มขึ้น เขามองคนไม่ผิดจริง ๆ เกรงว่าสาวน้อยผู้นี้จะเป็นอัจฉริยะที่เผ่ามังกรวารีอบรมเลี้ยงดูและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
บางทีอาจจะใช้นางเพื่อข่มขู่สุ่ยอู๋ซินได้ก็ไม่แน่!
“รีบสู้รีบจบเร็วเข้า!” ท่านลุงเก๋อกล่าว
มังกรขั้นสัตว์เทพเหล่านั้นได้กลายร่างเป็นมังกรอันเป็นกายแท้ขึ้น และกวาดล้างนกปีกดำเหล่านั้นในทันที