เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอาถิง มู่เฉียนซีก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “อืม! ศาลาเรือนรางเก้าชั้น ศาลานิรันดร์ผู้เป็นพันธสัญญาของข้าเก่งกาจที่สุดแล้ว ครั้งนี้รบกวนเจ้าแล้ว ข้าเชื่อ มีอาถิงคอยช่วยเหลือเช่นนี้ ข้าจะต้องเอาคัมภีร์หมื่นคำสาปมาได้แน่นอน”
อาถิงเหลือบมองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “หญิงอัปลักษณ์ เจ้าพูดจาเอาใจหลอกใครกัน! เจ้านี่นะช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เลย เพื่อช่วยเจ้าหวงจิ่วเยี่ย นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้”
“ข้าพูดความจริง นึกไม่ถึงเลยว่ามังกรยักษ์โบราณนั่นจะรู้ถึงฐานะของเจ้าแล้วจะยอมจำนนง่าย ๆ ถึงเพียงนี้” มู่เฉียนซีกล่าว
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ดูก่อนว่าข้าเป็นใคร ในโลกใบนี้ บางทีคนอื่นได้ของสิ่งนั้นไปแล้วอาจจะทำอะไรบางอย่างก็ได้ แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับของสิ่งนั้น ของสิ่งนั้นเอามาอยู่ในมือของเรามันปลอดภัยที่สุดแล้ว สำหรับสามเผ่าสัตว์เทพโบราณแล้วนับว่ามันเป็นภาระที่หนักหน่วงมาก อันที่จริงแล้วพวกเขาเองก็อยากจะกำจัดสิ่งนี้ไปด้วยซ้ำ” อาถิงกล่าว
ถึงแม้ว่าอยากจะกำจัดทิ้งแต่กลับไม่สามารถกระทำอย่างตามใจได้ เพราะมันง่ายที่จะทำให้โลกใบนี้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
สิ่งเดียวที่สามารถมอบให้ได้นั่นก็คือมอบให้มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ผู้ที่แม้แต่เทพก็หวาดกลัว
อาถิงกล่าว “หญิงอัปลักษณ์ ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะมอบสิ่งนั้นออกมา แต่เจ้าก็อย่าได้ดีใจเร็วเกินไป การทดสอบต่อจากนี้มันไม่ง่าย! หากเจ้าต้านทานไม่ได้จริง ๆ ข้าถึงจะลงมือ ส่วนอย่างอื่นก็คงต้องให้เจ้าพยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิตแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
โฮ่ก โฮ่ก โฮ่ก! ทันใดนั้นเองเสียงคำรามของมังกรก็ดังลั่นขึ้น
มู่เฉียนซีปิดกั้นการได้ยินเสียงเอาไว้ จากนั้นมังกรยักษ์โบราณนับไม่ถ้วนก็พุ่งมาห้อมล้อมมู่เฉียนซี
ร่างกายของพวกมันดูน่ากลัวมาก แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นกลับเทียบเท่ากับมู่เฉียนซี
อาถิงกระพริบตัวไปด้านข้างเพื่อยืนดูความครึกครื้นนี้ “หญิงอัปลักษณ์ พลังความแข็งแกร่งของมังกรเหล่านี้จะเปลี่ยนไปตามความแข็งแกร่งของผู้ที่บุกเข้ามา เจ้าสามารถจัดการได้ ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว”
“ข้าจัดการเอง!”
มู่เฉียนซีเอากระบี่มังกรเพลิงออกมา และบัวอัคคีสีแดงฉานก็ได้พุ่งออกมาทันที
“บัวแดงพิฆาต!”
การตอบโต้โจมตีไปอีกครั้งอย่างไร้ความปรานี
“ทักษะโยวหลัว!”
กว่าจะจัดการกระดูกมังกรตัวนี้ได้มันไม่ง่ายเลย และนางก็ได้เห็นเข้ากับบางอย่างแล้ว
กระดูกมังกรตัวที่นางโจมตีจนพ่ายแพ้ไปตัวนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นสองตัวแล้วในตอนนี้
อาถิงกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า “แม้ว่ามันจะง่ายมาก แต่มันกลับไม่ได้ง่ายอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่เจ้าเอาชนะได้ มันจะแยกร่างออกเป็นสองเท่า และมันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ”
“แต่เจ้าจะไม่โจมตีพวกมันก็ไม่ได้ เพราะหากเจ้าไม่โจมตีพวกมัน พวกมันก็จะฆ่าเจ้าอยู่ดี”
สีหน้าของมู่เฉียนซีดำคล้ำขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่มันเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว!”
อาถิงกลับกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นว่า “หญิงอัปลักษณ์ เจ้าพยายามให้เต็มที่เถอะ! วางใจได้ หากเจ้าไม่ไหวแล้วจริง ๆ กำลังจะตายแล้วจริง ๆ ข้าก็ไม่อาจนั่งมองอยู่เฉย ๆ หรอก”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่มีทางให้เจ้าได้เห็นตอนที่ข้าอับจนหนทางหรอก!”
นางกำกระบี่มังกรเพลิงในมือแน่น และลงมือโจมตีอีกครั้ง!
ศัตรูเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และนางก็ยิ่งลงมือสังหารอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีต่อสู้อย่างสุดชีวิตเช่นนี้ รอยยิ้มอันมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นนั้นของอาถิงก็หายไปในทันที
ดวงตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นพลันลึกล้ำขึ้นหลายเท่า เขาพึมพำเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ข้าอยากจะให้เจ้าหวงจิ่วเยี่ยนั่นหายสาบสูญไปจากโลกนี้จริง ๆ นับวันข้ายิ่งเกลียดเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“เจ้าหมอนั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ผู้เป็นพันธสัญญาของข้าพยายามอย่างสุดชีวิตถึงเพียงนี้…”
จากนั้น น้ำเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “นี่อาถิงกำลังหึงหวงอย่างนั้นเหรอ?”
“หึงหวงอะไรกัน ข้าก็แค่เกลียดชังเจ้าหวงจิ่วเยี่ยนั่นต่างหากล่ะ”
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “พวกเรามีพันธสัญญากับซีเอ๋อร์ คนที่นางต้องการจะปกป้อง ก็คือคนที่พวกเราต้องปกป้องเช่นกัน”
“แต่หวงจิ่วเยี่ยเขา…” อาถิงกัดฟันกรอดพลางกล่าว
“ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ขอเพียงแค่เป็นคนที่ซีเอ๋อร์ให้ความสำคัญและใส่ใจ นั่นก็เพียงพอแล้ว”
สีหน้าของอาถิงเย็นชาลง เขาโกรธมาก โกรธมากจริง ๆ
การต่อสู้ของมู่เฉียนซียังดำเนินต่อไป เนื่องจากจำนวนของศัตรูที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดเช่นนี้ ทำให้นางรับมือได้ยากมาก
ชั่วครู่หนึ่ง กระดูกมังกรเหล่านี้ก็ได้หยุดลง และกลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที
อาถิงปรากฏตัวขึ้นข้างกายมู่เฉียนซีและได้พยุงมู่เฉียนซีที่กำลังจะล้มเอาไว้ เขากล่าว “หญิงอัปลักษณ์ ท่าทางที่อับจนหนทางของเจ้ามันช่างดูน่าเกลียดเกินไปแล้ว!”
“อาถิง มันยังไม่ถึงขีดจำกัดของข้าเลยนะ!”
“ข้ารู้ แต่ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้ามาเสียเวลาตรงนี้มากเกินไป เจ้าอยากได้คัมภีร์หมื่นคำสาปมาเร็ว ๆ ไม่ใช่เหรอ รีบไปเอามาให้ได้เถอะ ยิ่งยืดเวลานาน อุปสรรค์ก็ยิ่งมีมากขึ้น”
“ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด! แต่กฎเกณฑ์ของเผ่ามังกร…” มู่เฉียนซีไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของอาถิง
“ข้ากับเจ้าคือผู้เป็นพันธสัญญาต่อกัน พวกเราสองคนผ่านด่านไปด้วยกัน พวกมดปลวกเหล่านั้นจะกล้าว่าอะไรได้”
มู่เฉียนซีพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ตกลง เช่นนั้นก็รีบต่อสู้รีบปิดศึกเถอะ!”
มู่เฉียนซีมีอาถิงคอยช่วย จากนั้นก็ผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่นราวกับได้ปลดล็อกก็มิปาน
ในตอนนี้เอง พวกเขาก็มาถึงตำหนักสุดท้ายแล้ว
เมื่อประตูถูกเปิดออก ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นม้วนตำราโบราณสีดำม้วนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ
มู่เฉียนซีเห็นม้วนตำราโบราณสีดำนี้ก็ตกใจผงะไป “นี่มันคือคัมภีร์หมื่นคำสาป!”
กลิ่นอายอันตรายโบราณนั้น ไม่มีทางผิดแน่ ๆ!
คัมภีร์หมื่นคำสาปนี้รับรู้ได้ถึงสายตาของมู่เฉียนซี ทันใดนั้นก็ถูกหมอกควันสีดำห่อหุ้มขึ้น และพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดก็มิปาน
สีหน้าของอาถิงพลันเปลี่ยนไป เขารีบดึงมู่เฉียนซีเอาไว้ และม่านแสงสีเขียวอ่อนก็ได้ขวางตำราโบราณสีดำนี้เอาไว้ได้
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังสนั่นขึ้น
“พลังแห่งกาลเวลา ศาลาเรือนรางเก้าชั้น นี่เจ้ามาทำลายเรื่องดี ๆ ของข้าอย่างนั้นเหรอ!” น้ำเสียงอันแหลมคมนี้ดังออกมาจากตำราโบราณสีดำนั้น
สีหน้าของมู่เฉียนซีเผยความประหลาดใจออกมา นี่ไม่ใช่คัมภีร์หมื่นคำสาปหรอกเหรอ พูดได้ด้วย? ตกลงแล้วมันเป็นสิ่งใดกันแน่
อาถิงกล่าว “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าคัมภีร์หมื่นคำสาปถูกแบ่งแยกออกเป็นสามส่วนและถูกระงับเอาไว้ในเผ่ามังกรเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีจิตใต้สำนึกของตัวเอง อีกทั้งยังลงมือกับผู้เป็นพันธสัญญาของข้าเช่นนี้อีก เจ้ามันช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
“คนที่มีดวงจิตที่น่ากลืนกินเช่นนี้ ต่อให้เป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าก็สามารถปู้ยี้ปู้ยำได้ตามอำเภอใจได้นะ!” คัมภีร์หมื่นคำสาปกล่าวด้วยความจงเกลียดจงชัง
สีหน้าของอาถิงเคร่งขรึมขึ้น “จิตใต้สำนึกที่ก่อตัวมาเป็นเจ้าจงรีบสลายหายไปอย่างเชื่อฟังเสียเถอะ มิเช่นนั้นอย่ามาหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
คัมภีร์หมื่นคำสาปนั้นกล่าวว่า “เจ้ามนุษย์ เจ้าอยากได้ข้าไปครอบครองหรือไม่ ตราบใดที่เจ้าได้ข้าไปครอบครอง เจ้าก็จะได้รู้ว่าวิชาของคัมภีร์หมื่นคำสาปทั้งสิบสามชนิดมันน่ากลัวเพียงใด เมื่อถึงตอนนั้น หากเจ้าอยากทำลายเทพก็สามารถทำลายได้ พลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ ต่อให้เป็นศาลาเรือนรางเก้าชั้นก็ไม่สามารถมอบให้เจ้าได้ แต่ข้า ให้เจ้าได้!”
น้ำเสียงของคัมภีร์หมื่นคำสาปนั้นชั่วร้ายมาก แต่กลับแฝงไปด้วยเจตนาอันชวนให้หลงใหล
อาถิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารนหาที่ตาย!”
คัมภีร์หมื่นคำสาปกล่าว “เจ้าไม่มีสิทธิ์พูด! ข้ากับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์อย่างพวกเจ้าเกิดขึ้นมาจากความโกลาหล แต่พวกเจ้ากลับมีพลังอันแข็งแกร่ง มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบอีกทั้งยังมีตำแหน่งที่สูงส่งไร้ผู้ใดเทียบได้อีก แต่ข้า…แต่ข้ากลับไม่ได้เป็นเช่นพวกเจ้า!”
“ข้าอิจฉาพวกเจ้าจริง ๆ ดังนั้นข้าจึงสร้างคำสาปที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาสิบสามชนิด และได้กลายเป็นข้า คัมภีร์หมื่นคำสาป แต่กลับถูกคนพวกนั้นยับยั้งเอาไว้ ตอนนี้ข้ามีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดมาขวางทางข้า” น้ำเสียงของมันโกรธแค้นอย่างบ้าคลั่ง และอาถิงก็ได้ยืนขวางด้านหน้ามู่เฉียนซีเอาไว้