มู่เฉียนซีกล่าว “พวกมันต้องการจะดึงตำหนักตงจี๋ให้ลงมือด้วย หรือว่าพวกมันร่วมมือกันตั้งแต่แรกอยู่แล้วกันแน่!”
“แต่ไม่ว่ายังไงก็จับตาดูพวกมันให้ดี”
“นายน้อย!” ซวนอีก็มารายงานเฟิงอวิ๋นซิวแล้วเช่นกัน
สำหรับสหาย มู่เฉียนซีใช้ยาอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเลย
ยาที่ดีที่สุดนางก็ได้เอามารักษาให้กับเซียวโม่ หลังจากที่เซียวโม่รู้ราคาแล้วก็รู้สึกว่าเงินที่เก็บมาสามปีไม่เหลือแม้แต่แดงเดียว
เซียวโม่กล่าว “ที่แท้นักปรุงยาอย่างพวกเจ้าก็เก็บเงินได้มากมายด้วยวิธีนี้นี่เอง เฉียนซี เจ้าต้องการให้ข้าตีแผ่นเหล็กให้อีกสักแผ่นหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าก็พอจะเข้าใจเรื่องการหลอมอาวุธอยู่บ้าง ฉะนั้นไม่จำเป็น”
โม่จิ่นเดินมารายงานว่า “นายท่าน สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เย่เฉินเตรียมตัวกลับทุ่งรกร้างใหญ่ ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงเดินทางไปตำหนักเซียวอวิ๋นกับเขาคนเดียว
จวินโม่ซีก็กล่าวบ่นว่า “สาวน้อย เจ้ามันช่างเป็นแม่ค้าหน้าเลือดที่แท้จริงเชียว เจ้าคนหลอกลวง!”
จวินโม่ซีรู้สึกว่าอาหารอันโอชะของตนเองนั้นกำลังจะหนีไปแล้ว!
มู่เฉียนซีกล่าว “รอข้ากลับมา ข้าจะเตรียมอาหารอันโอชะมื้อใหญ่ให้เจ้า”
จวินโม่ซียังคงรู้สึกโกรธมากอยู่ดี และได้จดจำความแค้นนี้ไว้กับเซียวโม่แล้ว
เมื่อมู่เฉียนซีกับเซียวโม่ออกจากเมืองก็ได้เห็นร่างในชุดสีดำแดงร่างหนึ่งยืนรอนางอยู่ที่ประตูเมือง
มู่เฉียนซีตะโกนเรียก “เฟิงอวิ๋นซิว!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนซีจะไปส่งนายน้อยเซียวที่ตำหนักเซียวอวิ๋นเหรอ พอดีว่าข้าก็จะไปที่ตำหนักเซียวอวิ๋นเช่นกัน ดังนั้นพอจะร่วมทางไปด้วยกันได้หรือไม่?”
“เอ่อ…ข้าว่าอย่าเลย! ร่วมทางไปกับผู้แข็งแกร่งผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้า ขะ ข้า…ข้ารู้สึกกดดันน่ะ”
ถึงแม้ว่าเซียวโม่จะเป็นคนที่ไม่สนใจใยดีต่อสิ่งใด แต่เขากลับไม่ได้โง่เขลา!
นายน้อยอวิ๋นซิว นายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ผู้สง่าผ่าเผย อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออกไม่มีทางเดินทางไปตำหนักเซียวอวิ๋นโดยที่ไม่มีเรื่องสำคัญอันใดแน่นอน
สำนักต้าเหยี่ยนต้องการจับตัวเขาเพื่อเอาไปต่อรองยื่นข้อเสนอกับท่านพ่อ เกรงว่าจุดประสงค์ของนายน้อยอวิ๋นซิวก็คงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
เฟิงอวิ๋นซิวกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเซียวโม่เลย เขาเพียงแค่มองไปที่มู่เฉียนซีเท่านั้น
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “มีเจ้าร่วมทางไปด้วยก็รู้สึกปลอดภัยไม่น้อย เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!”
เมื่อมู่เฉียนซีตอบตกลงเช่นนี้เซียวโม่ก็ตกตะลึงขึ้น หรือว่าแม้แต่เฉียนซีก็ไม่อาจจะหนีเสน่ห์ของอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออกผู้นี้ได้
เขากล่าวเสียงเบาว่า “เฉียนซี นายน้อยอวิ๋นซิวผู้นี้ไม่ธรรมดานะ!”
มู่เฉียนซีตอบ “เซียวโม่ อวิ๋นซิวเป็นสหายข้า!”
สหาย! คำสองคำนี้เพียงพอที่จะทำให้เซียวโม่หุบปากได้
คำสองคำนี้แสดงให้เห็นว่าเฉียนซีไว้ใจเขา ในเมื่อเฉียนซีไว้ใจ เขาก็ไว้ใจ
คำพูดของพวกเขาเฟิงอวิ๋นซิวก็ได้ยินแล้ว มุมปากของเฟิงอวิ๋นซิวยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เฉียนซีเชื่อใจเขา เห็นเขาเป็นสหาย เขาก็ไม่ขออะไรมาก ได้รับความรู้สึกเช่นนี้เขาก็พอใจมากแล้ว
ครั้นแล้ว มู่เฉียนซีก็ร่วมทางไปกับเฟิงอวิ๋นซิวมุ่งหน้าไปยังตำหนักเซียวอวิ๋น
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อบินมาได้ครึ่งทาง จู่ ๆ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาชนิดเดียวกันก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ฝ่ายตรงข้ามมาอย่างโหดร้ายมาก พวกนั้นได้ห้อมล้อมพวกเขาไว้กลางอากาศ
ผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเหลือง มีพลังความแข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า พลังขั้นนี้นับว่าเป็นพลังขึ้นสูงสุดในกองกำลังระดับสองครึ่งแล้ว
เขายืนอยู่กลางอากาศมองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “สาวน้อย สำนักต้าเหยี่ยนของข้าไม่ต้องการตั้งตนเป็นศัตรูกับหอหมอปีศาจ สำนักต้าเหยี่ยนของพวกเรามีข้อถกเถียงที่ยืดเยื้อยาวนานกับตำหนักเซียวอวิ๋น ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องจะดีกว่า แล้วพวกข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าเด็กนั่นที่เจ้าได้ช่วยเอาไว้”
“ส่วนนายน้อยอวิ๋นซิว เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ควรที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าอยากจะเกี่ยวข้องด้วยแล้วจะทำไม วันนี้พวกข้าจะไปตำหนักเซียวอวิ๋น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจขวางได้”
มู่เฉียนซีได้พาองครักษ์เงาของตระกูลมู่มาด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก แต่หุ่นเชิดที่พวกเขาควบคุมนั้นกลับไม่ได้อ่อนแอเลย
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าจะทำอันใดมันก็เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”
กล่าวจบ พวกเขาก็ลงมือทันที
ในกลุ่มของพวกเขายังมีมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าอีกสองคนแอบซ่อนอยู่ด้วย ความพร้อมของกำลังพลนี้ไม่ใช่สิ่งที่กองกำลังระดับสองครึ่งอย่างสำนักต้าเหยี่ยนจะมีได้
ไป๋อู๋ห่ายต้องเพิ่มกำลังคนให้กับพวกเขาเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าว “หากพวกเจ้าต้องการสู้รบ พวกข้าก็พร้อม!”
หลังจากที่กลับมาจากแดนมังกรนางก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับคัมภีร์หมื่นคำสาป นางไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว
ร่างในชุดม่วงกระโจนออกไป มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวหง อู๋ตี้!”
อู๋ตี้กับเสี่ยวหงก็อยู่ว่างมานานจนเบื่อแล้วเหมือนกัน ในเมื่อมีกระสอบทรายมาให้พวกมันได้ยืดเส้นยืดสายเช่นนี้ พวกมันจึงคึกคักขึ้นมาทันที
มู่อีและพวกเอาหุ่นเชิดออกมา ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวก็ออกคำสั่งให้เหล่าองครักษ์ซวนลงมือแล้วเช่นกัน
ตูม ปัง ปัง! ทั้งสองต่อสู้พัวพันกันอย่างไม่อาจสลัดหลุดออกจากกันได้
เซียวโม่ที่อาการบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดีมองดูจนอารมณ์เดือดพล่าน แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกมือได้!
“มังกรเพลิงสังหาร!”
“บัวแดงพิฆาต!”
“……”
มู่เฉียนซีกวัดแกว่งกระบี่มังกรเพลิงไปมา แต่ละกระบวนท่าล้วนเต็มไปด้วยพลังการทำลายล้างทั้งสิ้น
เซียวโม่กล่าว “เฉียนซีวิปริตขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว”
เฟิงอวิ๋นซิวก็แข็งแกร่งพอ ๆ กัน ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะผู้มีพลังธาตุคู่ กำลังในการต่อสู้จึงน่าทึ่งมาก
กำลังคนที่ไป๋อู๋ห่ายได้เพิ่มให้กับพวกเขานั้นเพียงพอที่จะสามารถขวางคนของมู่เฉียนซีได้ แต่เมื่อมีเฟิงอวิ๋นซิวเพิ่มมาเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงแอบทรมาน
ครั้งนี้ เกรงว่าจะจับตัวเจ้าเด็กเซียวผู้นี้ไม่ได้เสียแล้ว
ผู้อาวุโสจ้าวหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้น เขาลงมืออย่างกะทันหันแต่กลับถูกหุ่นเชิดของมู่อีโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนพุ่งไปทางเซียวโม่
มู่อีรีบพาเซียวโม่หลบหลีกการโจมตีนี้ เพียงแต่ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาของพวกเขากลับทนรับการโจมตีของมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้านี้เอาไว้ไม่ไหว จึงถูกโจมตีจนร่วงลงไป
ผู้อาวุโสจ้าวตะโกนขึ้น “พวกเราถอย!”
สู้ไม่ได้ ขืนอยู่ต่อก็คงต้องสูญเสียกำลังคนไปเป็นแน่
คนพวกนั้นล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกเขาที่ไม่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาแล้วก็ทำได้เพียงแค่กลับลงไปบนพื้นดินก่อน
เซียวโม่กล่าว “เจ้าพวกสำนักต้าเหยี่ยนนี่บัดซบจริง ๆ เลย! ทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาของพวกเราบาดเจ็บสาหัสจนได้”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย ตอนนี้ไม่สามารถบินได้แล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเรารีบเดินทางกันต่อเถอะ!”
เซียวโม่กล่าว “ไม่ว่ายังไงก็ต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ข้าเป็นห่วงท่านพ่อข้า!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ด้วยความเร็วของพวกเราแล้ว ต่อให้ไม่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภา วันพรุ่งพวกเราก็ถึงตำหนักเซียวอวิ๋นแน่นอน เดินทางทางพื้นดินก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ตกเป็นเป้าง่าย ๆ เหมือนเดินทางกลางอากาศ”
“เช่นนั้นก็เอาตามนี้!”
“ท่านหัวหน้าตำหนักไป๋ มีนายน้อยอวิ๋นซิวอยู่ เราจับเจ้าเซียวโม่นั่นมาไม่ได้ ได้โปรดท่านเพิ่มกำลังคนให้ข้าด้วยเถอะ!” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวขอ
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “เพื่อจับไอ้เด็กหัวขนนั่นคนเดียว ข้าไม่อยากจะเอาเป็นเอาตายกับเฟิงอวิ๋นซิว สิ้นเปลืองกำลังคนเปล่า ๆ”
“แต่ว่า…ท่านหัวหน้าตำหนักไป๋ไม่อยากได้ของสิ่งนั้นแล้วหรือ?”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ข้าย่อมมีวิธีของข้าที่จะให้หัวหน้าตำหนักเซียวมอบของสิ่งนั้นให้ อีกอย่าง…”
“วิธีอันใด?” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวถามด้วยความสงสัย
การเดินทางผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งวัน ในที่สุดพวกเขาก็ใกล้เมืองของตำหนักเซียวอวิ๋นแล้ว
เมืองเซียวอวิ๋นเป็นที่ตั้งอยู่ของตำหนักเซียวอวิ๋น นี่เป็นเมืองการค้าอาวุธวิญญาณเมืองหนึ่ง
เซียวโม่คุ้นเคยกับเมืองเซียวอวิ๋นมาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าบรรยากาศในเมืองผิดปกติไป
“พวกเจ้ารู้กันหรือยังว่าตำหนักเซียวอวิ๋นมีความสัมพันธ์กับนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศผู้นั้นน่ะ?”
“จริงหรือ? ข้าได้ยินมาว่าพวกเขายังรู้เบาะแสของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ด้วยนะ”
“แผนที่ก็อยู่ที่ตำหนักเซียวอวิ๋นนั่นยังไงล่ะ ตอนนี้กองกำลังต่าง ๆ ก็แห่กันมามากแล้ว”