“หึ!” นักหลอมอาวุธผู้นั้นของสำนักต้าเหยี่ยนเหลือบมองมู่เฉียนซีและทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“การปรุงยาเป็นสนามประลองของเจ้า แต่การหลอมอาวุธนั้นมันไม่ใช่! เมื่อถึงตอนนั้นแล้วอย่าได้พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถจนทนดูไม่ได้ล่ะ ประเดี๋ยวจะเสียชื่ออัจฉริยะของเจ้าไปเสียหมด”
สำหรับอัจฉริยะนักปรุงยาผู้ที่น่าเกรงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ของดินแดนสี่ทิศตรงหน้าผู้นี้ เขาทั้งรู้สึกอิจฉาและริษยานางเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าจะเสียชื่อหรือไม่นั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนอย่างเจ้า! เจ้าสนใจเรื่องของคนอื่นมากเกินไปแล้วกระมัง!”
“รีบประลองรีบจบเถอะ เริ่มกันได้หรือยังล่ะ!” มู่เฉียนซีเหลือบมองเขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“หยิ่งยโสยิ่งนัก!”
มู่เฉียนซีเตรียมพร้อมที่จะหลอมอาวุธแล้ว การประลองหลอมอาวุธในครั้งนี้ประลองอย่างสบาย ๆ ดูแค่ว่าผู้ใดหลอมอาวุธออกมาได้ในระดับที่สูงกว่า
เนื่องจากเป็นการประลองหลอมอาวุธ มู่เฉียนซีจึงไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ดังนั้นวัสดุในการใช้หลอมอาวุธจึงใช้วัสดุระดับสูงที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะได้มากขึ้น
เมื่อทุกคนเห็นวัสดุหลอมอาวุธที่มู่เฉียนซีเอาออกมาแล้วต่างก็ตกตะลึงจนตาค้างไป
“โอ้โห! สมกับเป็นหอหมอปีศาจจริง ๆ ร่ำรวยมั่งคั่งเกินไปแล้ว!”
“ของดีเช่นนี้เอามาให้มือใหม่หลอมอาวุธ ช่างน่าเสียดายของดีเสียจริง!”
“หอหมอปีศาจร่ำรวยมั่งคั่งจนไม่รู้จะเอาเงินไปใช้จ่ายอะไรแล้วกระมัง!”
“คนเขาร่ำรวยมั่งคั่ง จะเอาเงินไปใช้อะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราสักหน่อย!”
แม้แต่เซียวโม่เองในตอนนี้มุมปากก็กระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่งแล้วเช่นกัน “ของเหล่านี้…เหลือเอาไว้ให้ข้าบ้างสิ!”
คู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซีถูกนางกดดันด้วยวัสดุระดับสูงเหล่านี้จนตอนนี้โกรธเกรี้ยวจนหน้าดำคล้ำเขียวไปหมดแล้ว
เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ต่อให้วัสดุดีแค่ไหน แต่หากคนหลอมไร้ฝีมือมันก็เท่ากับเสียของไปโดยเปล่าประโยชน์ก็เท่านั้น สิ้นเปลืองสิ้นดี”
มู่เฉียนซีกล่าว “จะสิ้นเปลืองหรือไม่นั้น เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
พรึ่บ! เปลวไฟของเตาหลอมลุกโชกขึ้น และการประลองในครั้งนี้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
และแล้วฝ่ายตรงข้ามก็สงบจิตสงบใจลงและเริ่มหลอมอาวุธแล้ว การประลองอาวุธในครั้งนี้เขาต้องเอาชนะให้ได้
ทว่า เมื่อเขาได้เห็นมู่เฉียนซีได้ใส่แร่และวัสดุหลอมด้วยความชำนาญเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ…
“มู่เฉียนซี นี่เจ้าหลอมอาวุธเป็นจริง ๆ ด้วย!”
“ฝีมือนั่น ไม่ใช่การหลอมอาวุธครั้งแรกแน่นอน”
“เป็นนักปรุงยาไปด้วยและเป็นนักหลอมอาวุธไปด้วย มันช่างวิปริตเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ต่อให้หลอมอาวุธเป็นแล้วยังไง ก็แค่เข้าใจเพียงแค่งู ๆ ปลา ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญแต่อย่างใดเลย แค่เอาใจผู้คนก็เท่านั้น คิดว่าจะมีความสามารถในสองด้านได้เป็นอย่างดีอย่างนั้นเหรอ?”
เนื่องจากพลังจิตแข็งแกร่งมากพอ มู่เฉียนซีจึงสามารถควบคุมแร่และวัสดุในเตาหลอมได้อย่างสบาย
มู่เฉียนซีเริ่มหลอมอาวุธแล้ว อย่างน้อยก็ต้องหลอมอาวุธระดับแปดขั้นสูงสุดออกมาชิ้นหนึ่งถึงจะรับประกันในชัยชนะได้
มู่เฉียนซีต้องการหลอมอาวุธระดับสูง อีกทั้งนานแล้วที่นางไม่ได้หลอมอาวุธ ผลลัพธ์ก็คือ…
ตูม!
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
เตาหลอมตรงหน้าได้ระเบิดขึ้น
“เฉียนซี!” เฟิงอวิ๋นซิวและพวกตะโกนขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ชั้นกำแพงน้ำแข็งได้ปกป้องมู่เฉียนซีไว้ มู่เฉียนซีจึงไม่ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดของเตาหลอมนี้
“นางทำไม่ได้จริง ๆ ด้วย!”
“ฝีมือการปรุงยาสามารถถึงขั้นนั้นได้ พลังจิตของนางล้วนแต่ถูกใช้ไปกับของพวกนั้น นางจะหลอมอาวุธได้อย่างไรกันเล่า”
“……”
เผชิญหน้ากับความฉงนสงสัยของผู้คนเช่นนี้ แต่มู่เฉียนซีก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด
นางต้องซ้อมมือหลาย ๆ ครั้ง อีกทั้งยังต้องเอาชนะให้ได้อย่างสวยงามอีกด้วย
ยังมีเวลาเหลืออยู่ มู่เฉียนซีเอาวัสดุออกมาอีกชุด
เมื่อครู่เป็นเพราะนางไม่ได้หลอมอาวุธมานานแล้ว ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ครั้งนี้นางจะไม่ยอมผิดพลาดเหมือนครั้งที่แล้วเป็นอันขาด
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีเอาวัสดุอันล้ำค่าเหล่านั้นออกมาอีก ทุกคนต่างก็พากันช้ำใจเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซียังคงลงมือต่อไป ของล้ำค่ากองนี้คาดว่าจะกลายเป็นเหล็กไร้ค่าอีกเช่นเดิม
ต่อมามู่เฉียนซีก็เริ่มหลอมอาวุธด้วยจิตใจที่แน่วแน่
สมุนไพรวิญญาณเปราะบางยิ่งกว่าแร่เสียอีก แต่นางก็สามารถควบคุมได้ ดังนั้นแร่แข็ง ๆ เหล่านี้นางก็มั่นใจว่าจะต้องสามารถควบคุมมันได้
เอาเหล็กร้อนชุบน้ำ หลอมรวมเข้าด้วยกัน หล่อขึ้นมาให้เป็นรูปลักษณ์ และมู่เฉียนซีก็ตกไปอยู่ในโลกของการหลอมอาวุธแล้ว
การประลองสนามนี้กำลังจะหมดเวลาลง และอีกทางด้านหนึ่งก็ส่งเสียงดีอกดีใจขึ้น
“ข้าหลอมสำเร็จแล้ว!”
“สำเร็จแล้ว อีกทั้งยังเป็นอาวุธระดับแปดขั้นสูงสุดอีกด้วย ยอดเยี่ยม!”
สีหน้าของผู้อาวุโสจ้าวเผยความดีใจออกมา อาวุธระดับแปดขั้นสูงสุด นั่นมันเป็นระดับเดียวกันกับที่นายน้อยเซียวผู้นั้นหลอมออกมาเชียวนะ!
ถึงแม้ว่าศิษย์ผู้นี้จะมีอายุมากกว่านายน้อยเซียวสักหน่อย พรสวรรค์ไม่อาจเทียบเขาได้ แต่เขาก็เป็นอัจฉริยะที่ฝากความหวังได้ผู้หนึ่ง
ระดับสูงเช่นนี้ ไม่ว่ายังไงมู่เฉียนซีก็ไม่สามารถหลอมออกมาได้แน่นอน
กลับมาทางด้านนี้ มู่เฉียนซีเองก็หยุดลงด้วย
นางยิ้มพลางกล่าว “เจ้าหลอมอาวุธระดับแปดขั้นสูงสุดออกมาอย่างนั้นเหรอ! โชคดีจังที่ข้าหลอมอาวุธระดับเก้าออกมา มิเช่นนั้นคะแนนต้องเสมอกันอีก”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ของมู่เฉียนซีเข้า ต่างก็คิดกันไปว่าตนเองนั้นหูฝาด
“ระดับเก้า มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
“ข้าต้องหูฝาดไปแน่นอน!”
“……”
มู่เฉียนซีเอาดาบวงพระจันทร์สีเงินเล่มหนึ่งออกมา แสงสีเงินเปล่งประกายระยิบระยับขึ้น
“ระดับเก้า! ระดับเก้าจริง ๆ ด้วย!”
“พระเจ้าช่วย! นาง…นางหลอมอาวุธระดับเก้าได้แล้ว”
“……”
อาวุธวิญญาณระดับเก้า ด้วยฐานะและตำแหน่งของพวกเขา พวกเขาได้เห็นมามากมายแล้ว
ทว่า หญิงสาวอายุสิบเจ็ดปีผู้หนึ่งสามารถหลอมอาวุธวิญญาณระดับเก้าออกมาได้ พรสวรรค์อันน่าทึ่งนี้ ต้องรู้เอาไว้เลยว่าแม้แต่นายน้อยแห่งตำหนักเซียวอวิ๋น สำนักหลอมอาวุธวิญญาณระดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออกแห่งนี้ก็สามารถหลอมออกมาได้แค่อาวุธระดับแปดขั้นสูงสุดเท่านั้น
แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นก็คือ สาวน้อยผู้นี้เป็นยอดปรมาจารย์นักปรุงยาที่สามารถหลอมยาลูกกลอนขั้นสวรรค์ได้ผู้หนึ่ง!
อายุน้อยเช่นนี้แต่มีความสามารถเป็นถึงขั้นยอดปรมาจารย์นักปรุงยา อีกทั้งยังมีสามารถเป็นนักหลอมอาวุธขั้นสูงได้อีกด้วย
หากว่าพวกเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วละก็ คงไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด
ทั้งสนามการประลองได้เงียบสงัดลง แทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
แม้แต่เซียวโม่ที่รู้ว่าฝีมือการหลอมอาวุธของมู่เฉียนซีไม่เลว ในตอนนี้ก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างขึ้นแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิวมองไปที่หญิงสาวชุดม่วงผู้นั้น พรสวรรค์อันน่าเกรงขามจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว ดึงดูดสายตาของทุกคนได้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตกตะลึงกับพรสวรรค์ของนางไม่หาย…
หากเขาไม่ได้เกิดในดินแดนสี่ทิศที่มีสถานะสูงส่งเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะต้องถูกความโดดเด่นของนางบดบังราศีไปจนหมดสิ้นแล้วแน่นอน
ดวงตาสีอำพันคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวเปล่งประกายขึ้น รูม่านตาหดตัวลง เหตุใดเขาถึงได้มีความคิดเช่นนี้ด้วย!
ไม่ว่าเฉียนซีจะโดดเด่นมากเพียงใด นางก็เป็นดวงดาราที่เจิดจรัสที่สุด ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธของเฉียนซีจะสูงส่ง แต่ด้วยสายเลือดและความแข็งแกร่ง ทั้งสองก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
ความคิดของเฟิงอวิ๋นซิวนั้นได้บินล่องลอยไปไกลมากแล้ว จนสุดท้ายก็ถูกเสียงแหลมคมเสียงหนึ่งดึงสติเขากลับมา
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน…”
เดิมทีเขามีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่าตนเองนั้นจะเป็นผู้ชนะ แต่สุดท้ายมู่เฉียนซีก็ไม่ให้เขาทำได้สำเร็จ ซึ่งมันก็กระตุ้นความโกรธแค้น ความอิจฉาริษยาของอัจฉริยะนักหลอมอาวุธผู้นี้ไม่น้อยเลย
“เจ้า…เจ้าปรุงยาได้วิปริตถึงเพียงนั้น เหตุใด…เหตุใดถึงต้องมาแย่งชิงความโดดเด่นในการหลอมอาวุธของข้าด้วย!” เขาจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยท่าทางที่โหดร้าย อิจฉาริษยาอย่างที่สุด!
มู่เฉียนซีกล่าว “คนที่เสนอการประลองหลอมอาวุธครั้งนี้ออกมาก็คือผู้อาวุโสจ้าวของพวกเจ้า หากเขายอมที่จะประลองการต่อสู้ความแข็งแกร่งตั้งแต่แรก เรื่องเช่นนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น หากเจ้าจะกล่าวโทษก็ไปเถอะเขาเถอะ!”
“นี่เจ้า…”
ผู้อาวุโสจ้าวไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไปแล้ว “กลับมา!”
เขามองไปที่มู่เฉียนซี และกล่าวว่า “แม่นางมู่ช่างเป็นคนที่คาดไม่ถึงจริง ๆ เจ้ามันยากที่จะหยั่งถึงเกินไปแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าก็แค่เรียนรู้มาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นึกไม่ถึงเหมือนกันว่ามันจะมีประโยชน์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้อาวุโสจ้าวก็ไม่ต้องทึ่งมากถึงเพียงนี้ไปหรอกนะ!”
.
.