เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “มันยังเป็นราชาแห่งการเข่นฆ่าอีกด้วย! ไม่ว่ามันจะย่างกรายไปที่ใด ที่นั่นก็จะกลายเป็นสายธารแห่งเลือด ศพกระดูกกองเป็นภูเขา”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเจ้าเองก็รู้ดีอยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถควบคุมได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าควบคุมไม่ได้ แต่นางสามารถควบคุมมันได้ ขอเพียงแค่ข้านำมันไปถึงมือนาง”
“แต่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จะยอมให้ใครเอาไปได้อย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถของข้า!” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ข้ารู้ว่าต่อให้ข้าพูดอันใดไปมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ในเมื่อเจ้าบอกลาเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปเสียเถอะ! อาหารเหล่านี้ข้าก็ไม่แบ่งให้เจ้ากินหรอกนะ” มู่เฉียนซีกล่าวขับไล่ด้วยสีหน้าที่เย็นชา
จวินโม่ซีกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ใช่! ไม่แบ่งให้คนอย่างเจ้าหรอก”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนซี ก่อนข้าจะจากไป ข้าอยากจะถามเจ้าว่าเจ้าจะไปที่นั่นหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “หากข้าไม่ไป พวกเจ้าก็ค่อย ๆ แย่งชิงกันไปเถอะ หากเจ้าตายข้าก็จะไม่ไปเก็บศพเจ้าหรอกนะ แต่หากข้าไป ข้าก็คงจะเหมือนกันกับเจ้า ไม่ยอมปล่อยให้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หลุดมือไปได้แน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะกลายเป็นศัตรูกันแล้ว”
“เฉียนซียังตัดสินใจไม่ได้ใช่หรือไม่!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เฟิงอวิ๋นซิว ข้ากับเจ้าเราต่างกัน! ชีวิตของเจ้าเป็นของคนผู้นั้นที่อยู่ในใจเจ้า แต่ชีวิตของข้า สำหรับญาติสนิทมิตรสหาย ลูกน้องของข้า คนของข้า และคนที่ข้ารักมันสำคัญมาก ข้าไม่มีทางเป็นเหมือนคนอย่างเจ้าหรอกที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ”
เฟิงอวิ๋นซิวตกใจสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย คนที่นางรัก!
เป็นหมอปีศาจหรือว่าเป็นองค์ชายจิ่วเยี่ยกันนะ
ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวที่ยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อคนคนเดียวเช่นนี้ มู่เฉียนซีรู้สึกเศร้าและโกรธเคืองเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแดนมังกรแล้ว นางก็เกือบจะ……
ความรู้สึกมันยากที่จะบังคับได้ ตอนนี้นางเข้าใจความรู้สึกของสุ่ยจิงอิ๋งได้อย่างลึกซึ้งแล้ว และเข้าใจดีว่าไม่สามารถห้ามได้
เฟิงอวิ๋นซิวก้มหน้ากล่าวเสียงขรึมว่า “ข้าทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”
“ข้าจะแนะนำเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย แผนที่ที่ท่านปรมาจารย์เหยียนทิ้งไว้ให้นั้นอาจจะไม่ได้ไร้ประโยชน์ก็ได้ ไปถึงที่นั่นแล้วบางทีอาจจะใช้แผนที่นั้นหาเบาะแสเจอก็ได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “อืม! ข้าเข้าใจแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เด็ก ๆ ส่งแขกหน่อย!”
เฟิงอวิ๋นซิวมองมู่เฉียนซีด้วยความว่างเปล่าก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เฉียนซี ล่าก่อน!”
หลังจากที่เฟิงอวิ๋นซิวออกไปแล้วมู่เฉียนซีก็ยังคงโกรธอยู่
จวินโม่ซีกล่าว “สาวน้อย จนตอนนี้แล้ว ข้าว่าเจ้าควรจะระบายความโกรธด้วยการกินเถอะ เริ่มกินกันเถอะนะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นเหมือนเจ้าหรือไง!”
แต่สุดท้ายมู่เฉียนซีก็ติดมาจากจวินโม่ซีจนได้ กินมากกว่าเดิม และเพลิดเพลินกับการกินนี้มาก
หลังจากที่กินอิ่มหนำสำราญแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้มู่เฉียนซีจึงทำได้เพียงแค่ปรึกษากับผู้ที่ยังคงอยู่กับนางอย่างสุ่ยจิงอิ๋ง
“สุ่ยจิงอิ๋ง เจ้าว่าจะใช่เจ้าพิฆาตวิญญาณหรือไม่”
“เกิดการเคลื่อนไหวอันรุนแรงเช่นนี้ หากไม่ใช่จิตวิญญาณกระบี่ก็คงต้องเป็นวิญญาณกระบี่ ส่วนฝักกระบี่นั้นสงบมาก หากเป็นวิญญาณกระบี่แล้วละก็ เจ้ามีตัวกระบี่กับผลึกราชาอัคคีอยู่ การที่จะทำให้มันยอมจำนนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากเป็นจิตวิญญาณกระบี่อย่างเจ้าพิฆาตวิญญาณนั่น ต่อให้ข้ามีพลังทั้งหมดก็ยากที่จะรอดพ้นมาจากเงื้อมมือของมัน” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวเสียงขรึม
“ซีเอ๋อร์ ข้าไม่แนะนำให้เจ้าเอาตัวเองไปติดร่างแหจริง ๆ แต่ข้าเองก็จะไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจของซีเอ๋อร์เหมือนกัน”
ต้องการเอาจิตวิญญาณกระบี่ให้ได้มานั้น รออาถิงกับมังกรวารีตื่นขึ้นมาจะมีหนทางมากกว่า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
สิ่งที่ต้องทำในตอนที่พวกเขายังไม่ตื่นขึ้นมาก็คือต้องแอบซ่อนตัวเองไม่ให้เจ้าพิฆาตวิญญาณค้นพบ นั่นจึงจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
หากไปก็เป็นการเปิดเผยตัวเอง อีกทั้งก็จะเป็นการตัดอายุตัวเองให้สั้นลงอีกด้วย
แต่ว่า…
เฟิงอวิ๋นซิว!
มู่เฉียนกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งทุก ๆ การเคลื่อนไหวนั้นนางล้วนแต่ได้รับการรายงานทั้งสิ้น
มู่เอ้อร์มารายงานว่า “ท่านผู้นำตระกูลขอรับ อินรั่วเฉินแห่งแคว้นเทพฟ้าอินในแดนตะวันตกผู้นั้นก็มากันแล้วขอรับ”
มู่เฉียนซีได้ยินชื่อนี้ก็ตกใจสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย “อินรั่วเฉิน!”
เสี่ยวไป๋เคยบอกกับนางว่าคนผู้นี้อันตรายมาก
“คนอื่นล่ะ ตำหนักเป่ยหานมีความเคลื่อนไหวใดหรือไม่ ?”
“ตำหนักเป่ยหานได้ส่งยอดฝีมือมาเกือบทั้งหมด ดูเหมือนว่าปรารถนาจะเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้ได้ หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ผู้อาวุโสสูงสุด องครักษ์ฝ่ายซ้าย…”
“เจ้าว่าอะไรนะ องครักษ์หลิงก็ไปด้วยเหรอ” มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ
“ขอรับ!”
มู่เฉียนซีสบถด่าว่า “ตำหนักเป่ยหานเป็นบ้าอะไร! พวกเขาสนใจในหม้อเทพนิรันดร์มาโดยตลอดไม่ใช่หรอกเหรอ เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้มาสนใจกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้ แถมยังลากอารองไปที่ที่อันตรายเช่นนั้นอีก”
“นายท่านรองเขา…”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ากลัวพวกเจ้าจะเป็นห่วงก็เลยไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพวกเจ้า ตอนนี้อารองถูกตำหนักเป่ยหานควบคุมอยู่ เขาได้กลายเป็นผู้อาวุโสรองแห่งตำหนักเป่ยหาน ตระกูลมู่เป็นสิ่งที่ข้าเชื่อใจที่สุด ข่าวนี้อย่าให้ใครรู้ได้เป็นอันขาด ห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“ขอรับ!” มู่เอ้อร์ตอบรับเสียงขรึม
พวกเขาล้วนแต่ไปในสถานที่ที่อันตรายเช่นนั้นหมดแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิว ท่านอารอง…
ตำหนักเป่ยหานได้พายอดฝีมือไปมากมายถึงเพียงนั้น คาดว่าเสี่ยวไป๋ก็คง…
จะไปหรือไม่ไป! อันที่จริงนางได้ตัดสินใจอยู่ในใจแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “สุ่ยจิงอิ๋ง หากข้าไม่ใช้กระบี่มังกรเพลิง โอกาสที่จะถูกจับได้มีมากน้อยแค่ไหน”
“เอากระบี่มังกรเพลิงปิดผนึกเอาไว้ในแหวนมังกรเทพวารี ตราบใดที่พลังของพิฆาตวิญญาณยังฟื้นคืนกลับมาได้ไม่ถึงครึ่ง ก็น่าจะรับรู้ไม่ได้”
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงขรึมว่า “กองกำลังหลายกองกำลังต่างก็แข่งขันกัน เกรงว่าหอหมอปีศาจของข้าก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว”
นางไม่ได้ร้องขอจะเอามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แต่อย่างใด เพียงแค่อยากให้สหายกับญาติของนางไม่เอาชีวิตไปทิ้งเพียงเพราะกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็เท่านั้น
“หอปี้ลั่วของพวกข้าก็ต้องเข้าร่วมด้วยแล้ว คนงาม เจ้าคงจะอนุญาตใช่หรือไม่?” น้ำเสียงอันมีเสน่ห์น่าหลงใหลเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตูม! ร่างในชุดสีเขียวนั้นถูกกระแทกจนกระเด็นลอยไป และแสงสีทองอร่ามแสงหนึ่งก็ได้ปรากฏกายอยู่ตรงหน้ามู่เฉียนซี
“ซิงเฉินจะช่วยนายหญิงแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาให้ได้”
แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวว่า “จิ่วเยี่ยคงจะไม่รู้ใช่หรือไม่!”
ซิงเฉินกล่าว “ฝ่าบาทกำลังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ขอรับ!”
ถึงแม้ว่าคำสาปที่กำเริบนั้นจะถูกมังกรวารีปิดผนึกเอาไว้แล้ว ตอนที่จิ่วเยี่ยมาหานางก็ปลอดภัยดี แต่สุขภาพของเขานั้นแย่มาก
สิ่งเหล่านี้เขาล้วนแต่ปกปิดได้ดีมาก ไม่อยากเผยมันออกมา แม้ว่ามู่เฉียนซีจะเป็นหมอปีศาจก็ยากที่จะจับได้
จื่อโยววิ่งกลับมาและกล่าวว่า “กองกำลังมดปลวกพวกเจ้า มีข้ากับซิงเฉินก็เพียงพอที่จะรับมือแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยลงมือหรอก”
มู่เฉียนซีกล่าว “ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายมาก หอหมอปีศาจของข้าต้องการกองกำลังช่วย ดังนั้นข้าไม่ปฏิเสธการขอเข้าร่วมของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าต้องจดจำเรื่องหลัก ๆ เอาไว้สักหน่อย”
“เป้าหมายแรกของเราไม่ใช่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์”
สิ่งนี้ทำให้จื่อโยวไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เพราะเหตุใดล่ะ คนงาม ตราบใดที่เจ้าได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา เจ้าก็มีพลังธาตุคู่ ฝีมือการปรุงยาของเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้น และนี่ก็สามารถทำให้เจ้ามีมหาวัตถุเทพที่มีพลังธาตุอัคคีแข็งแกร่งที่สุดนะ”
“ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลานั้น!”
ปัง! ซิงเฉินตีจื่อโยวอีกครั้ง
“นายหญิงว่าอย่างไรก็ทำไปตามนั้น เจ้าไม่ต้องพูดไร้สาระให้มันมากนัก” ซิงเฉินกล่าวด้วยความหยาบคาย
จากนั้นเขาก็หันไปกล่าวถามมู่เฉียนซีด้วยความเคารพว่า “นายหญิง ได้โปรดบอกซิงเฉินมาเถอะว่าภารกิจแรกคือสิ่งใด?”
“ทำให้คนสามคนปลอดภัย คนแรกก็คือองครักษ์ฝ่ายซ้ายหลิงแห่งตำหนักเป่ยหาน คนที่สองกู้ไป๋อีแห่งตำหนักเป่ยหาน ส่วนคนที่สามนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ เฟิงอวิ๋นซิว”
จื่อโยวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแย่มาก! สามคนนี้ล้วนแต่เป็นบุรุษทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลามากอีกด้วย