มุมปากของหลิงยกขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มและกล่าวว่า “นี่คือทักษะการสังหารหมู่ของตระกูลมู่ของเรา เมื่อครู่ซีเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตรายข้าจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ หากซีเอ๋อร์อยากเรียนรู้อารองสามารถสอนเจ้าได้ แต่จิตสังหารนี้รุนแรงมาก ไม่เหมาะสำหรับเด็กผู้หญิง”
มู่เฉียนซียิ้มและกล่าวว่า “ในเมื่อไม่เหมาะ เช่นนั้นก็ไม่รบกวนท่านอารองให้สอนข้าแล้ว ท่านอารองยังนึกทักษะวิญญาณที่ทรงพลังอื่น ๆ ออกอีกหรือไม่?”
“ยังไม่มี แต่มีซีเอ๋อร์อยู่เคียงข้างข้า อารองจะต้องจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แน่”
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักจื่อเหลยฟังอาหลานพูดคุยกัน ก็ทำได้เพียงเบิกตากว้างมองดูเท่านั้น
ตระกูลมู่ นี่มันคือตระกูลไหนกัน? หลิงไม่ใช่ว่าเป็นคนของตำหนักเป่ยหานหรอกเหรอ?
นอกจากนี้ยังมีอารอง แต่ไม่เคยได้ยินว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตำหนักเป่ยหานมีญาติหรือหลานสาว
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างตัวสั่นว่า “พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้ากับสำนักจื่อเหลยของพวกเจ้า ไม่เคยมีความเคียดแค้นต่อกันมาก่อน แต่พวกเจ้าเริ่มเข้ามาก่อความวุ่นวาย ทำให้นกบ้าตัวนั้นหนีไปก็แล้ว ต่อมายังสาดน้ำสกปรกใส่พวกเรา หมายจะแย่งชิงสิ่งของของพวกเรา ทั้งยังคิดฆ่าท่านอารองที่สนิทของข้า พวกเจ้าคิดว่าข้าจะใจดีปล่อยพวกเจ้าไปรึ?”
พวกเขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่น่าขนลุกขนพองจากเบื้องหลัง คิดอยากจะรอดชีวิตในวันนี้เกรงว่าคงไม่ง่าย
“ข้าคือผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักจื่อเหลย…”
เขายังไม่ทันพูดจบ มู่เฉียนซีก็กล่าวขัดจังหวะขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าพยายามจะบอกว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักจื่อเหลย และถ้าฆ่าเจ้าแล้วสำนักจื่อเหลยจะไม่ปล่อยพวกข้าไปแน่ใช่หรือไม่?”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อยและกล่าวถามขึ้นว่า “ท่านอารอง พวกเราจำเป็นต้องกลัวกองกำลังสำนักนิกายระดับสองครึ่งหรือไม่?”
หลิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไม่จำเป็นอย่างแน่นอน ก็เพียงแค่กองกำลังสำนักนิกายระดับสองครึ่งเท่านั้นเอง”
ในใจของพวกเขารู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังอย่างมาก หากเป็นกองกำลังสำนักนิกายระดับเดียวกันหรือระดับต่ำกว่าสำนักจื่อเหลย คงจะถูกเขาใช้อำนาจคุกคามได้ แต่การข่มขู่นี้มันไม่มีประโยชน์ต่อผู้ที่แข็งแกร่งอย่างกองกำลังสำนักนิกายระดับสามเลยสักนิด
“ข้า… ข้าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักจื่อเหลยและสองร้อยกว่าปีที่ข้าได้ฝึกบำเพ็ญถึงระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้า และมีความหวังว่าจะฝึกบำเพ็ญถึงจุดสูงสุดของระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้น ขอเพียงเจ้าไว้ชีวิตข้า ข้าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้าใช้…”
มู่เฉียนซียิ้มและกล่าวว่า “มียอดฝีมือในอนาคตยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ใช้ มันฟังดูเหมือนจะดี แต่! เจ้าได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินไปแล้ว ดังนั้นการหายสาบสูญไปคงดีกว่า…”
พรวด! เข็มยาได้ทิ่มแทงผ่านผิวหนังของเขาและสารพิษก็ได้กัดเซาะเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
รับคนเปลี่ยนสีเก่งเช่นนี้มาเป็นลูกน้อง คาดว่าต่อไปก็คงทำได้เพียงถ่วงรั้งไม่ก้าวหน้า
“เจ้า…ทำไมเจ้าถึง…” เขากล่าวหลอกล่อและยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตนถึงเพียงนี้แล้ว นางกลับยังลงมือฆ่าเขา
สำนักจื่อเหลย ไม่เหลือรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
นางจะไม่ยอมให้ใครที่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนางกับอารองมีชีวิตอยู่รอดและมาคุกคามชีวิตของอารองได้อย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ท่านอารอง เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะ…”
พรวด! ทันใดนั้น ร่างของหลิงก็ทรุดลงไป และกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
เขาทำได้เพียงใช้กระบี่ของเขาประคองตัวขึ้นมาถึงจะสามารถยืนได้อย่างมั่นคง
มู่เฉียนซีรีบวิ่งเข้าไปประคองเขาไว้ในทันที นางตรวจจับชีพจรให้เขา และมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“ท่านอารอง ท่าน…”
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง หาที่ที่ปลอดภัยเร็วเข้า!”
“ขอรับ นายท่าน!”
มู่เฉียนซีประคองหลิงไปในที่ที่สะอาดและปลอดภัย นางหยิบสมุนไพรวิญญาณแต่ละชนิดออกมาจากมิติและเริ่มปรุงยา
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! เข็มยาเจาะเข้าไปในแขนของหลิง
“อื้ออื้ออื้อ!” เม็ดยาถูกยัดเข้าไปในปากของหลิงอย่างน่าตกตะลึง การกระทำของมู่เฉียนซีนั้นป่าเถื่อนมาก
จากนั้นทั้งสองก็มองหน้ากัน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ท่านอารองร่างกายของท่านอันตรายมาก และการใช้ทักษะวิญญาณที่เกินกว่าร่างกายจะแบกรับได้ ท่าน…ท่านต้องการให้หลานสาวอย่างข้าเก็บศพให้หรือ?”
หลิงรู้ว่าตนเองผิด เขากล่าวว่า “อาเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ด้วยความรีบร้อน ดังนั้น…”
“ครั้งหน้า จะไม่ทำอย่างแน่นอน” หลิงกล่าวเสียงเบา
“ครั้งหน้า ท่านยังคิดว่าจะมีครั้งหน้าอีกรึ? จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวเต็มที่ ท่านจะไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อความวุ่นวายอีก” มู่เฉียนซีกล่าวเตือน
โชคดีที่ครั้งนี้นางอยู่เคียงข้างอารอง มิเช่นนั้นร่างกายนี้ของเขา หากปล่อยให้ฟื้นฟูด้วยตัวเอง เกรงว่าอารองคงจะถูกฝังอยู่ในพื้นดินอย่างสงบไปแล้ว
“อืม! อารองเชื่อฟังซีเอ๋อร์อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้น พวกเราพักทัพก่อนเถอะ! ให้ข้าได้รักษาบาดแผลท่านให้หายดีก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากซีเอ๋อร์ด้วย”
มู่เฉียนซีกำลังรักษาบาดแผลให้หลิง แต่ป่าแห่งนี้ ในเวลานี้ก็มีสงครามและการต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ยังไม่ทันเห็นเงาของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เลย! คนพวกนี้กลับต่อสู้กันเพื่อสมบัติธาตุไฟอื่นอย่างไม่สิ้นสุด
แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ สมบัติเหล่านี้ หาได้ยากนักในดินแดนโลกสี่ทิศ
มีคนจำนวนน้อยมากที่ไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ล่อลวง และผู้ที่มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวมาโดยตลอดคือคนของตำหนักเป่ยหาน
หลิงพักฟื้นได้เพียงสามวัน ก็ได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสสูงสุดให้เข้ารวมตัวกันกับพวกเขา
หลิงไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดได้ มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเฒ่าสารเลวนั่น ส่งข่าวช้าไปอีกไม่กี่วันจะตายไหม! อาการบาดเจ็บของอารองยังไม่ทันหายดีเลย”
มู่เฉียนซีจดบัญชีผู้อาวุโสสูงสุดไว้แล้ว!
“ซีเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวล อาการบาดเจ็บของอาไม่เป็นไรแล้ว!”
มู่เฉียนซีเหลือบมองเขา “ท่านหรือข้าที่เป็นนักปรุงยากันแน่! ข้าต้องพูดถึงจะถูก”
“ใช่! ที่ซีเอ๋อร์พูดก็ถูก” หลิงรีบกล่าวทันที
ถึงกระนั้น พวกเขาก็จำต้องไป
มิฉะนั้นหากผู้อาวุโสสูงสุดรู้ว่าอารองเริ่มหลุดพ้นจากการควบคุมของเขาแล้ว เขาอาจทำลายอารองได้
“ซีเอ๋อร์ ตอนนี้สถานการณ์เริ่มแปลกขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าไปจากที่นี่ก่อนดีไหม”
นับตั้งแต่ที่เห็นนกอัคคีตัวนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าการต่อสู้เพื่อกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในครั้งนี้ ไม่ได้ง่ายนัก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หากไม่เห็นท่านอารองออกจากที่นี่อย่างปลอดภัยด้วยตาของข้าเอง แม้ว่าข้าจะออกไปอย่างปลอดภัยแต่ก็จะไม่สามารถนอนหลับได้ และยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของท่านยังบาดเจ็บ หากจะให้ข้าจากไป ไม่มีทาง!”
“ซีเอ๋อร์…”
“ไปกันเถอะ! ไม่เช่นนั้นเจ้าเฒ่านั้นจะลงโทษท่าน และข้าจะต้องเจ็บปวด!” มู่เฉียนซีไม่พูดพร่ำทำเพลง และดึงเขาไปทันที
ระหว่างทางไปพบผู้อาวุโสสูงสุด มู่เฉียนซีเห็นศพเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นศพที่ถูกคนสังหารด้วย
นอกจากนี้ยังมีเสียงต่อสู้มากมายอยู่รอบ ๆ ต้องให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
“ส่งมันออกมา!“
“นี่คือของข้า”
“……”
ในที่ที่เสียงของการต่อสู้ดังออกมานั้น มู่เฉียนซีรู้สึกได้ถึงธาตุไฟที่แข็งแกร่งและเป็นสมบัติธาตุไฟที่ไม่ต่างกับผลึกอัคคีหมื่นปี
ดวงตาของเสี่ยวหงเปล่งประกาย แต่มันไม่ได้เปิดปากพูด
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ภายในเวลาอันสั้นมีสมบัติธาตุไฟโผล่ออกมาจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้คนเหล่านี้ต่อสู้กันอย่างไร้สติ ซึ่งนี่มันผิดปกติอย่างแน่นอน แม้ว่าเจ้าจะต้องการมัน แต่ตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง คงทำได้เพียงสงสารเจ้าแล้ว”
เสี่ยวหงกล่าวว่า “นายท่าน ข้ามิได้เป็นทุกข์ใจอะไร ข้าเองก็คิดว่าที่นี่มันแปลกมาก! มันยากมากที่สมบัติธาตุไฟสักอันหนึ่งจะโผล่ออกมาในดินแดนโลกสี่ทิศนี้ แต่ตอนนี้กลับโผล่ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก อย่างไม่น่าเชื่อ”