ผู้ที่มานั้นดูน่าเกลียดมาก และเมื่อเห็นไม่มีใครก็ทำอากัปกิริยาถ่อยออกมา ทำให้ใบหน้าของเหลิ่งหนิงจือเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างหาที่เปรียบมิได้
มู่เฉียนซีกลับมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาที่แฝงรอยยิ้ม “ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้! ไม่คิดว่าจะได้พบทุกท่านที่นี่”
“การได้พบสองสาวงาม นี่ต้องเป็นพรหมลิขิตจากสวรรค์อย่างแน่นอน! สวยงาม…”
ขณะที่กล่าวเขาก็พลางเดินไปตรงหน้าของเหลิ่งหนิงจือ และมือของชายที่ไม่ค่อยมีมารยาทนี้ก็ได้เอื้อมไปจับใบหน้าที่เหมือนดั่งหยกขาวของเหลิ่งหนิงจือ
“อ๊า!” แต่ก่อนที่เขาจะได้รู้สึกถึงความละเอียดอ่อน เขาก็ต้องเปล่งเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวออกมา
มือของเขาถูกเหลิ่งหนิงจือบิดจนเป็นเกลียว และใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวไม่เป็นรูป
“สตรีที่ไม่รู้จักเจียมตัว กลับกล้าทำร้ายน้องชายของข้า”
“ดูเหมือนว่าพวกนางจะชอบความรุนแรง พวกน้องชายของข้าจะช่วยตอบสนองความต้องการพวกเจ้าให้เอง”
“……”
พวกเขาโจมตีมู่เฉียนซีและพวกอย่างโกรธแค้น แต่ด้วยจิตสำนึกในการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหลิ่งหนิงจือ ไม่ต้องให้มู่เฉียนซีลงมือ ก็จัดการเจ้าพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
“อ๊า!”
“ไว้ชีวิตเราด้วย!”
“พวกเราผิดไปแล้ว!”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาและโหดเหี้ยม พวกเขาแต่ละคนก็หวาดกลัวจนตัวสั่น
พวกเขารู้สึกขมขื่นในหัวใจเป็นอย่างมาก พรหมลิขิตที่ไหนกัน! นี่มันเป็นคราวเคราะห์ของพวกเขาต่างหากล่ะ
มู่เฉียนซียิ้มตาหยีแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นใครกันแน่ ที่ไม่รู้จักเจียมตัว?”
“พวกข้า! เพียะ! แน่นอนว่าเป็นพวกข้าเอง…”
ในขณะที่พวกเขาพูด พวกเขาก็ตบหน้าตัวเองไปด้วยอย่างดุเดือด
มู่เฉียนซีโบกมือและกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าจงตอบคำถามข้าสักสองสามข้อ ถ้าน่าพอใจ ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไป!”
“พวกเราจะตอบทุกอย่างที่รู้อย่างหมดเปลือกแน่นอน!”
“ที่นี่ มันคือที่ไหนกัน”
เมื่อพวกเขาได้ยินคำถามนี้ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงตาค้างเพราะคาดไม่ถึงว่าคำถามจะง่ายเช่นนี้
“ที่นี่คือเทือกเขาว่านหานเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของแดนเหนือ อย่าได้มองว่าสัตว์วิญญาณที่อยู่รอบนอกไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก ข้าได้ยินมาว่าด้านในแม้แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของระดับหกก็ยังมี”
มู่เฉียนซีจึงถามว่า “สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองเป่ยหาน ไกลแค่ไหน?”
“หากไปที่เมืองว่านหานและใช้มิติส่งตัวระยะไกลนอกเทือกเขาว่านหานละก็ คงจะใช้เวลาไม่นานนัก”
ในเมื่อใช้เวลาไม่นาน เช่นนั้นหลังจากฝึกบำเพ็ญที่เทือกเขาว่านหานเสร็จสมบูรณ์ นางก็จะไปที่เมืองเป่ยหานทันที
ร่างของมู่เฉียนซีพุ่งไปพิงต้นไม้อย่างเกียจคร้านและกล่าวว่า “บอกเกี่ยวกับเรื่องสำคัญที่พวกเจ้ารู้ในช่วงนี้มาหน่อยสิ! ถ้าพูดได้ดี พวกเจ้าก็ไปได้”
“ถ้าต้องการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ของแดนตะวันออกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และกองกำลังใหญ่ในดินแดนโลกสี่ทิศต่างได้มุ่งหน้าไปกันแล้ว นั่นมันมีอานุภาพมาก! และแม้ว่าพวกเราจะไม่มีความกล้าที่จะไป แต่กลับได้ยินข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับมัน…”
“คาดไม่ถึงว่าเส้นทางจะคดเคี้ยววกวน เดิมทีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ในมือของผู้นำตระกูลมู่นานแล้ว จนถึงตอนนี้ตำหนักเป่ยหานก็กำลังมองหาที่อยู่ของผู้นำตระกูลมู่และหอหมอปีศาจอยู่!”
“ผู้นำตระกูลมู่นั้นเก่งกาจมาก ไม่ต้องมีหมอปีศาจคอยช่วยเหลือ ก็สามารถช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาคนปัจจุบันที่ติดอยู่ในวงล้อมของตำหนักตงจี๋ออกมาได้”
“และยาพิษนั่นที่ซ่อนอยู่ในตำหนักตงจี๋ ซึ่งแน่นอนว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก”
พวกเขาพูดคุยกันอย่างไม่หยุดและเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างตื่นเต้น
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ยังมีอะไรอีก! เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว”
ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที แม้กระทั่งสิ่งนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้นางสนใจได้ เช่นนั้นพวกเขาจะทำอย่างไรดี?
“ใช่แล้ว!” เขาคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ในอีกเจ็ดวัน หุบเขาหานซินจะเปิด และเมื่อเร็ว ๆ นี้ตำหนักเป่ยหานและทุกกองกำลังใหญ่ก็ได้พาศิษย์ชั้นยอดของพวกเขามุ่งหน้าไปยังหุบเขาหานซินแล้ว ซึ่งจะต้องคึกคักมากอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีถามว่า “หุบเขาหานซินคือที่อย่างไร”
“หุบเขาหานซินเป็นหุบเขาหลักของเทือกเขาว่านหาน และในหุบเขานั้นมีสระน้ำหานซิน ผู้ที่ต่ำกว่าระดับมหาจักรพรรดิเพียงแช่ตัวลงไปก็จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้หนึ่งขั้นและถ้าหากมีพรสวรรค์ที่ดีก็จะสามารถเพิ่มได้ถึงสองขั้น”
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งแสงระยิบระยับ นางกำลังขาดวิธีที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วอยู่พอดี สระหานซินนี้เป็นสถานที่ที่ดีที่หนึ่งเลยทีเดียว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ที่ตั้งของหุบเขาหานซินอยู่ที่ไหน?”
“พวกเจ้าจะไปที่หุบเขาหานซินรึ?”
“ก็เป็นพวกเจ้าเองที่บอกประโยชน์ของมันมามากเช่นนั้น ทำไมจะไม่ไปล่ะ?”
พวกเขาอธิบาย “จำนวนคนที่เพิ่มระดับความแข็งแกร่งจากสระหานซินในทุกครั้งนั้นมีจำกัด ดังนั้นในทุกครั้งจึงสามารถเข้าไปได้เพียงไม่เกินเก้าคนเท่านั้น พวกอัจฉริยะของกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตำหนักเป่ยหานหรือกองกำลังสำนักนิกายระดับสองดาวสองดาวครึ่งและอื่น ๆ ต่างต้องกลับไป เพราะการแข่งขันที่ดุเดือดนี้”
“ถ้าเพราะการแข่งขันที่ดุเดือด แค่พยายามต่อสู้เพื่อแย่งชิงก็ได้แล้ว บอกตำแหน่งข้ามา”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซียืนกรานที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวาง และชี้ไปในทิศทางหนึ่งพลางกล่าวว่า “ตรงไปที่ด้านนั้น ก็ได้แล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เสี่ยวเหลิ่ง พวกเราไปกันเถอะ!”
ใบหน้าของเหลิ่งหนิงจือนั้นตะลึงงันไปเล็กน้อย ‘เสี่ยวเหลิ่ง’ มู่เฉียนซีถึงกับตั้งชื่อเล่นให้นางตามอำเภอใจ
ทันทีที่มู่เฉียนซีและเหลิ่งหนิงจือจากไป คนเหล่านี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างที่สุด
“ต่อไปต้องดูให้ดีเสียหน่อย อย่าได้เห็นเพียงว่าเป็นสตรีงดงามแล้วจะเข้าไปยั่วยุเชียว
“วันนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ยังจะมีใครกล้าอีก!” คนผู้นั้นที่ถูกบิดมือกล่าวพลางร้องไห้
ยังอีกตั้งเจ็ดวัน ก่อนที่หุบเขาหานซินจะเปิด มู่เฉียนซีจึงไม่ได้รีบไปนัก และยังคงฝึกฝนกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง
ปัง ปัง ปัง! เหลิ่งหนิงจือเป็นเหมือนมนุษย์ล่องหนที่คอยตามติดมู่เฉียนซีก็มิปาน
หญิงสาวผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า นางมีไหวพริบ โหดเหี้ยม ความแข็งแกร่งของนางจึงเพิ่มระดับขึ้นได้ด้วยความรวดเร็ว
ปัง! มู่เฉียนซีล้มหมีแพนด้าตัวใหญ่และร่างกายก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังวิญญาณ
นางกล่าวเสียงเบาว่า “ระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่งเต็มขั้นเองหรือ? ความเร็วเช่นนี้ ยังไม่เพียงพอ”
แม้ว่าเสียงของมู่เฉียนซีจะเบา แต่เหลิ่งหนิงจือกลับได้ยินอย่างชัดเจนและมุมปากของนางก็ค่อย ๆ กระตุกเล็กน้อย
ในเวลาเจ็ดวันจากระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นต้นมาถึงเต็มขั้น ความรวดเร็วกลับยังไม่พอ?
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เวลาใกล้เข้ามาแล้ว พวกเรารีบไปที่หุบเขาหานซินกันเถอะ!”
เหลิ่งหนิงจือพยักหน้ากล่าว “อืม!”
หุบเขาหานซินเป็นหุบเขาปิดที่เปิดเพียงครั้งเดียวในทุกสามปีและเมื่อมู่เฉียนซีและพวกมาถึง หุบเขาหานซินก็ได้เปิดขึ้นแล้ว
นอกจากหุบเขาก็ไม่มีใครอื่น แต่กลับมีกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พวกเรามาสายไปหน่อย รีบตามไปเร็วเข้า”
เงาสีม่วงวิ่งเข้าไปในหุบเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เหลิ่งหนิงจือเองก็รีบไล่ตามไป จำเป็นต้องรีบไล่ตามคนเหล่านั้นเพื่อสอบถามสักหน่อยถึงจะได้
หุบเขาหานซินไม่ใช่ที่ที่สงบ เมื่อมู่เฉียนซีและพวกเข้ามาข้างในก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังมากจากทุกหนแห่ง
มู่เฉียนซีไม่เข้าใจกฎและกำลังรอให้ปลามาติดเบ็ด!
แน่นอนว่าเมื่อมีคนเห็นสตรีสองคนที่แยกตัวออกมาอย่างพวกนาง ก็ต้องเดินเข้ามาหา “ไม่ทราบว่าทั้งสองมาจากกองกำลังสำนักนิกายใด?”
เพื่อที่จะแย่งชิงเก้าอันดับนั้น มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องกำจัดกลุ่มคน
แต่เบื้องหลังสูงกว่าพวกนางและพวกนางไม่กล้าที่จะอะไรบุ่มบ่าม
ทันใดนั้นใบหน้าที่แข็งทื่อของเหลิ่งหนิงจือก็ระเบิดออกมาเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์
“ถ้าพี่สาวบอกว่า ข้ามาจากกองกำลังสำนักนิกายระดับสี่ เจ้าจะเชื่อข้าไหม?”
รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของเหลิ่งหนิงจือสั่นคลอนดวงตาของพวกเขาเช่นผู้หญิงที่มีเสน่ห์จนทำให้ลุ่มหลง
พวกเขาดึงสติและกล่าวว่า “สาวงามเจ้าอย่ามาล้อเล่น! ระดับสี่ จะมีกองกำลังสำนักนิกายระดับสี่ได้อย่างไร?”
ในอากาศมีกลิ่นที่ละเอียดอ่อนลอยผ่านมา คนอื่น ๆ ดมไม่รู้ แต่มู่เฉียนซีกลับสามารถแยกแยะได้ มันคือยาพิษ! และมันยัง…
.