ชั่วครู่หนึ่ง กลิ่นอายอันหนาวเหน็บพัดกระโชกเข้ามา ทุกคนอดที่จะหนาวสั่นไม่ได้
พลังขั้นสูงสุดพุ่งออกมา
“ยอดฝีมือขั้นสูงสุด!”
“พระเจ้าช่วย นึกไม่ถึงเลยว่านอกจากหอหมอปีศาจจะมีหมอปีศาจโผล่ออกมาแล้ว ยังจะมียอดฝีมือขั้นสูงสุดอีก!”
“รีบหนีเร็วเข้า พวกเราถูกกับดักแล้ว!”
พวกเขาไม่ใช่กองกำลังระดับสาม แน่นอนว่าไม่มียอดฝีมือขั้นสูงสุดเช่นนี้
ถึงแม้ว่าพวกเขามีจำนวนคนเยอะ แต่ก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะต้านทานยอดฝีมือขั้นสูงสุดได้
พลังระหว่างขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้ากับระดับสูงสุดดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต่างกันมาก แต่ความจริงแล้วมันต่างกันมาก
เหลิ่งหนิงจือไม่ได้ปิดบังกลิ่นอายของตัวเองแต่อย่างใด จึงทำให้ยอดฝีมือขั้นสูงสุดแห่งตำหนักเป่ยหานรับรู้ได้
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวเสียงต่ำว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าจะมียอดฝีมือขั้นสูงสุดปรากฏขึ้นในเมืองเป่ยหาน ต้องไม่ใช่คนของตำหนักเป่ยหานเป็นแน่ รีบไปสืบเร็วเข้า!”
“ขอรับ!”
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียง ตูม! ก็ดังสนั่นขึ้น ดูเหมือนว่ามีบางอย่างระเบิดขึ้นในตำหนักเป่ยหาน
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดพลันเปลี่ยนไป และรีบวิ่งออกไปดู
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกถึงกระดูกดังขึ้น “ผู้อาวุโสสูงสุด เจ้าบังอาจยิ่งนักถึงได้กล้าลงมือกับข้า!”
ผู้อาวุโสสูงสุดรีบคุกเข่าลงและกล่าวว่า “ข้าแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
คำอธิบายนี้ไม่สามารถระงับความโกรธเกรี้ยวนั้นได้
กระบี่อันเย็นยะเยือกอย่างไร้ปรานีและเต็มไปด้วยอันตรายโจมตีไปที่ผู้อาวุโสสูงสุด “เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า?”
ฉึก! ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะใช้ของจำนวนมากมาปกป้องชีวิต แต่เขาก็ยังคงบาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดออกมา จากนั้นร่างในชุดขาวตรงหน้าก็อันตรธานหายไปทันที
ทางด้านของหอหมอปีศาจ คนเหล่านั้นคิดจะหนี แต่ทันใดนั้นกำแพงน้ำแข็งก็ได้ปรากฏขึ้นขวางทางพวกเขาไว้
ยอดฝีมือขั้นสูงสุด แถมยังเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุดที่มีพลังธาตุวารีอีกด้วย ตายแน่!
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ วันนี้พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ท่านต้องขุ่นเคืองจริง ๆ ได้โปรดท่านผู้ยิ่งใหญ่ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!”
สุดท้ายเหลิ่งหนิงจือก็ทำหน้าเย็นชาอย่างไร้ความปรานีขึ้น ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอร้อง
ครั้นแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่หันไปขอร้องอ้อนวอนเยวี่ยเจ๋อแล้ว
“ท่านรองหัวหน้าเยวี่ย พวกข้ารู้แล้วว่าสิ่งที่พวกข้าทำในวันนี้มันผิด ได้โปรดรองหัวหน้าเยวี่ยไว้ชีวิตพวกข้าด้วยเถอะนะ!”
เยวี่ยเจ๋อกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หอหมอปีศาจของพวกข้า ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป ในเมื่อพวกเจ้ามาแล้ว ก็ต้องชดใช้มาสักหน่อย”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เยวี่ยเจ๋อพูดดี พวกเจ้าคิดจะหนี มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
เข็มยาเข็มหนึ่งพุ่งออกไป “อีกอย่าง ข้าก็อยากจะมอบของขวัญแรกพบหน้าให้พวกเจ้าด้วย!”
เข็มยานี้ต้องมีพิษแน่นอน คนผู้นั้นรีบหลบ
“เจ้าหนู อย่าคิดว่าพวกเจ้ามียอดฝีมือขั้นสูงสุดคอยปกป้องอยู่แล้วเจ้าจะวางยาพิษพวกข้าตามใจชอบได้นะ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกข้าไปดี ๆ ข้าก็จะสู้จนสุดชีวิตกับพวกเจ้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าจะกล้าฆ่าจริง ๆ”
หากฆ่าพวกเขา คาดว่าจะต้องกลายเป็นศัตรูกับกองกำลังระดับสองขึ้นไปหลายกองกำลังในแดนเหนือเป็นแน่
แต่หากปล่อยพวกเขาไป คนทั้งดินแดนสี่ทิศต้องรู้เรื่องที่นางครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แน่นอน แล้วพวกเขาก็คงจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ
ในขณะที่พวกเขาจะลงมือ ทันใดนั้นเองเปลวไฟนับไม่ถ้วนก็ได้ห้อมล้อมพวกเขาขึ้น คมศรน้ำแข็งนับไม่ถ้วนทิ้งรอยบาดแผลเอาไว้บนร่างกายของพวกเขา
“ไฟ! ไฟ มีเปลวไฟด้วยหรือนี่!”
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุคู่ ธาตุวารีและธาตุอัคคี เจ้าวิปริตนี่โผล่มาจากไหนกันแน่”
“……”
เดิมทีคิดจะต่อสู้อย่างสุดชีวิตสักตั้ง แต่ตอนนี้ต้องสู้กับสิ่งนี้ก่อน!
ร่างกายมีบาดแผลเป็นรูนับไม่ถ้วนทีนึงแล้ว นี่เสื้อผ้ายังมาถูกแผดเผาจนไหม้เช่นนี้อีก
มู่เฉียนซีเหลือบไปมองเหลิ่งหนิงจือและกล่าวว่า “เสี่ยวเหลิ่งเอ๋อร์ นี่เจ้าชอบเช่นนี้เหรอ คนพวกนี้ไม่น่ามองเลยสักนิด เจ้าไม่ขยะแขยงสายตาบ้างรึไง?”
เหลิ่งหนิงจือกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าก็แค่อยากให้พวกมันรู้สึกเย็น ๆ สักหน่อย”
เยวี่ยเจ๋อได้ยินเหตุผลอันแปลกประหลาดนี้แล้ว มุมปากก็กระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ พลางรีบไปขวางหน้ามู่เฉียนซีเอาไว้ “พี่ใหญ่ อย่าดูเด็ดขาดเชียวนะ ข้าจะให้คนไปจัดการพวกมันซะ”
มู่เฉียนซีกล่าว “เอาของขวัญแรกพบหน้าให้พวกมันกินด้วยล่ะ แล้วก็ค่อยส่งพวกมันกลับสำนัก บอกพวกมันว่าหอหมอปีศาจของพวกเราเสียหายไปไม่น้อย หากกองกำลังในแดนเหนือต้องการดูแลการค้าของพวกเรา หอหมอปีศาจก็จะต้อนรับเป็นอย่างดีอย่างแน่นอน”
เยวี่ยเจ๋อกล่าว “อืม! ข้าเข้าใจแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “งั้นข้าไปพักผ่อนก่อนนะ! การหาเงินทองนั้นมันไม่ง่ายเลย ข้าต้องพักผ่อนให้มาก ๆ”
เหลิ่งหนิงจืองุนงงเล็กน้อย นางหาเงินทองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็น ๆ กันอยู่ว่านางก็แค่ใช้ปากพูดก็แค่นั้น
เช้าวันต่อมา เหลิ่งหนิงจือก็ได้เห็นรองเจ้าสำนักและรองหัวหน้าตำหนักของกองกำลังต่าง ๆ มาที่หอหมอปีศาจ
พวกเขาขอพบเยวี่ยเจ๋อด้วยความร้อนอกร้อนใจและกล่าวถามว่า “พวกเจ้าจะเอายังไงกันแน่ถึงจะยอมให้ยาแก้พิษกับพวกข้า”
เดิมทีอยากจะทำตามตำหนักตงจี๋ ด้วยการจับลูกน้องของมู่เฉียนซีเพื่อขู่บังคับให้มู่เฉียนซีโผล่หัวออกมา แต่กลับทำไม่สำเร็จ แถมยังต้องเสียประโยชน์อีก
พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าหอหมอปีศาจจะมียอดฝีมือขั้นสูงสุดเฝ้าอยู่ พวกเขาไม่มีกำลังต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
ช่างเถอะ แต่หอหมอปีศาจก็ใจดำเกินไปแล้ว!
จับคนของพวกเขา แถมยังวางยาพิษอีก ทำให้พวกเขาต้องแบกหน้ามาเช่นนี้
พิษของหอหมอปีศาจนั้น นักปรุงยาของพวกเขาก็ไม่สามารถแก้ได้
และพวกเขาก็ไม่สามารถเห็นยอดฝีมือของกองกำลังของพวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้ ดังนั้นจึงแบกหน้ากันมาขอยาแก้พิษ
เยวี่ยเจ๋อกล่าว “ทุกท่านก็คงรู้กันดีอยู่แล้วว่ายาของหอหมอปีศาจล้วนแต่เป็นยาชั้นเลิศ และราคาก็สูงมากด้วย อยากได้ยาแก้พิษ ไม่ทราบว่าพวกท่านเอาหยกวิญญาณมาเพียงพอหรือไม่?”
ครั้งนี้ เยวี่ยเจ๋อขูดเลือดขูดเนื้อพวกเขาจนสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว
“โหดเหี้ยม! หอหมอปีศาจโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”
“นี่มันผีดูดเลือดชัด ๆ!”
“……”
มีคนไม่อยากซื้อยาแก้พิษแล้ว เป็นผลให้เยวี่ยเจ๋อเรียกยอดฝีมือขั้นสูงสุดอย่างเหลิ่งหนิงจือมาลงมือ “ในเมื่อไม่ได้มาซื้อยาแก้พิษ ข้าก็ไม่อยากให้พวกท่านมาเสียเปล่าโดยไม่ได้อะไรกลับไปเลย งั้นข้าจะมอบของขวัญให้พวกท่านสักหน่อยก็แล้วกันนะ”
นั่นมันของขวัญที่ไหนกันเล่า มันคือยาพิษชัด ๆ และในไม่ช้าพวกเขาก็ได้เจอจุดจบเดียวกัน
นี่มันเป็นการบีบบังคับการซื้อขายชัด ๆ พวกเขาไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้เลย
พวกเขากล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า “อย่า ๆ ๆ…พวกข้าซื้อ พวกข้ายอมซื้อแล้ว…”
หลังจากการขูดรีดอันใจดำนี้จบลง หอหมอปีศาจก็ได้ทรัพย์สินมาไม่น้อย ก็ใครใช้ให้คนพวกนี้กล้าดีกันล่ะ
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเยวี่ยเจ๋อที่เป็นคนจัดการ ส่วนผู้คิดริเริ่มกระทำเรื่องนี้ได้แยกตัวไปปรุงยาในห้องปรุงยาตั้งนานแล้ว
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ นางเชื่อว่าเยวี่ยเจ๋อจัดการได้แน่นอน
ในที่สุดเหลิ่งหนิงจือก็ได้เข้าใจแล้ว มุมปากของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อย เจ้าคนผู้นี้ต้องใจดำขนาดไหนกันนะถึงได้ทำเช่นนี้ได้!
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้พวกเขาสูญเสียไปไม่น้อย และกองกำลังในแดนเหนือเหล่านี้ก็ไม่กล้าลงมือกระทำสิ่งใดแล้ว
ไม่มียอดฝีมือขั้นสูงสุดต่อต้านกับหอหมอปีศาจ หากกระทำอีกก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!
ส่วนตำหนักตงจี๋แห่งแดนตะวันออกในตอนนี้มีศัตรูย่างกรายเข้ามาแล้ว กลิ่นอายของกระบี่อันเย็นยะเยือกนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักตงจี๋
องครักษ์ของตำหนักตงจี๋เหล่านั้นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวจนเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นเต็มหน้า ตำหนักตงจี๋ของพวกเขาเพิ่งจะซ่อมแซมเสร็จไปได้ไม่นาน จะถูกทำลายอีกครั้งไม่ได้!
ไม่ต้องออกไปดู ไป๋อู๋ห่ายก็รู้แล้วว่าเป็นใคร ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปก็เห็นร่างของชายผู้เย็นชาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศราวกับเป็นเทพเซียน เขากล่าว “กู้ไป๋อี ทำเช่นนี้หมายความว่ายังไง?”
.
.