ในขณะที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันหันหลังไปเพราะทนเห็นเลือดของมู่หรงเฉียนเยี่ยไม่ได้ แต่จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงกระอักเลือดดังขึ้น
พรวด!
บริเวณโดยรอบตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอย่างรุนแรง
เมื่อพวกเขาหันกลับมามองก็ตกตะลึงอย่างรุนแรง
คนที่ได้รับบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมานั้นไม่ใช่มู่หรงเฉียนเยี่ย แต่กลับเป็นนายน้อยห้า!
ตอนนี้ ร่างของนายน้อยห้าจมอยู่ในกองเลือด เลือดท่วมตัวแล้ว
เส้นเลือดทั่วทั้งร่างแตกออกทั้งหมด ดู ๆ แล้วช่างโหดร้ายน่ากลัวมาก
อ๊า! ความร้อนที่แผดเผาของเลือดทำให้นายน้อยห้าทรมานอย่างเหลือทนจนเขาต้องร้องตะโกนลั่นออกมา
ตอนนี้ผู้อาวุโสห้ากับอวี้ปิงชิงก็ดึงสติกลับมาแล้ว
“เจ้าห้า!”
“ศิษย์พี่ห้า!”
ผู้อาวุโสห้ารีบพรวดออกไปบนลานประลอง สีหน้าเคร่งขรึมน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ไร้ประโยชน์แล้ว กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปโดยสมบูรณ์แล้ว!
ศิษย์ที่ตนเองตั้งใจอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกเจ้าเด็กหัวขนผู้นี้ทำให้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปได้
สายตาของผู้อาวุโสห้ามองมู่เฉียนซีราวกับจะฆ่านางให้ตายไปเสียตอนนี้
“เจ้าหนุ่ม นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะลงมืออย่างใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้”
มู่เฉียนซีกล่าว “บนลานประลอง ความบาดเจ็บความตายเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้! อีกอย่างข้าลงมือโจมตีแล้วเหรอ?”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างบุคคลที่ไร้ความผิดว่า “ทุกคนที่อยู่ที่ลานประลองล้วนแต่เป็นพยานได้ เมื่อครู่ข้าไม่มีพลังวิญญาณใด ๆ ที่จะไปตอบโต้เขาแม้แต่น้อย ข้าเห็นนายน้อยห้าใช้อุบายผิด ๆ เพิ่มพลังวิญญาณ ผลลัพธ์มันจึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้”
เขาเป็นคนมอบยาน้ำพุโลหิตให้ศิษย์ด้วยตัวเอง จะไม่รู้ผลกระทบของยาลูกกลอนนั่นได้อย่างไรกันเล่า
ถึงแม้ว่ายาลูกกลอนนั่นจะอันตรายไปสักหน่อย แต่ก็ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้แน่นอน
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าคิดมาเถียงข้าง ๆ คู ๆ กับข้านะ เด็ก ๆ! มาจับตัวเจ้านี่ไปส่งที่ห้องลงทัณฑ์เดี๋ยวนี้”
ผู้อาวุโสห้าอยากจะตบเจ้าหนุ่มคนนี้ให้ตายคามือเสียตั้งแต่ตอนนี้จริง ๆ แต่ในเวลานี้มีผู้คนมากมายกำลังจับจ้องมองอยู่
หากทำเช่นนั้นลงไป เมื่อถึงตอนนั้นจะเป็นข่าวเสีย ๆ หาย ๆ แน่ อย่างไรเสียจับตัวมันไปห้องลงทัณฑ์ก่อน อย่างไรมันก็ต้องตายอยู่ดี
“นายท่าน ให้พวกเราออกไปฆ่ามันเลยดีหรือไม่!” อู๋ตี้กับเสี่ยวหงร้อนรนใจขึ้นแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ผู้อาวุโสห้า ที่ศิษย์ของท่านต้องกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขามาท้าประลองยุทธ์กับข้า ท่านต้องการแก้แค้นให้ศิษย์ตัวเอง ข้าเข้าใจได้ แต่ที่นี่เป็นถึงตำหนักเป่ยหาน ท่านก็เป็นแค่ผู้อาวุโสคนเดียวเท่านั้น ทุกอย่างไม่ใช่ขึ้นอยู่กับท่าน”
“แต่หากท่านกล้าแตะต้องข้าก็ลองดู”
ผู้อาวุโสห้ากล่าว “เจ้าหนุ่ม ความตายกำลังจะมาเยือนเจ้าอยู่แล้วเจ้ายังมีหน้ามากำเริบเสิบสานอีก เจ้ามีอะไรน่ากลัวรึ ข้าถึงจะไม่กล้าแตะต้องเจ้า?”
เขาเป็นถึงผู้อาวุโสห้าแห่งตำหนักเป่ยหาน จะบีบเด็กใหม่ให้ตายไปคนหนึ่งมันก็เป็นเรื่องง่ายดายนิดเดียว!
“ดูสิ่งนี้ก่อน ท่านยังจะกล้าแตะต้องข้าอยู่หรือไม่?”
การอวดดีกับอัจฉริยะของตำหนักเป่ยหานเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่อันตรายมากหากไม่มีคนคอยอยู่หนุนหลังให้
ดังนั้น มู่เฉียนซีจึงเอาป้ายคำสั่งของกู้ไป๋อีออกมา! อย่างไรเสียเขาก็เคยบอกเอาไว้ว่าหากพบเรื่องลำบากก็ให้เอามันออกมาใช้ มันมีประโยชน์ต่อนางมาก
นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะได้ผลดีสักแค่ไหน ให้เสี่ยวไป๋รู้ก็ไม่เป็นไร
เมื่อมู่เฉียนซีเอาป้ายคำสั่งนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสห้าที่ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉียนซี หรือว่าจะเป็นอวี้ปิงชิง หรือแม้แต่เหล่าบรรดาผู้อาวุโสที่แอบดูอยู่เหล่านั้น พวกเขาทั้งหมดต่างก็รีบออกมาและพากันคุกเข่าลงตรงหน้ามู่เฉียนซี ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “คารวะท่านหัวหน้าตำหนัก!”
คนอื่นที่เห็นและได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตกใจผงะไป ท่านหัวหน้าตำหนัก!
อะไรนะ! เจ้าหนุ่มผู้นี้คือหัวหน้าตำหนักอย่างนั้นเหรอ!
ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ เหล่าบรรดาผู้อาวุโสและธิดาศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่คุกเข่าลงไปแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่คุกเข่าตาม
มู่เฉียนซีเห็นทุกคนคุกเข่าลงตรงหน้าเช่นนี้ก็รู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก ก่อนจะบีบป้ายคำสั่งอันเย็นยะเยือกในมือเอาไว้แน่น มู่เฉียนซีเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
ท่านหัวหน้าตำหนัก!
นางกลายเป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหานตั้งแต่เมื่อไหร่กันแล้ว
ไม่ใช่สิ หัวหน้าตำหนักไม่ใช่นาง แต่เป็นป้ายคำสั่งป้ายนี้ต่างหากที่แสดงถึงตัวตน!
เสี่ยวไป๋ คือหัวหน้าตำหนักแห่งตำหนักเป่ยหาน!
ยอดฝีมือขั้นสูงสุดที่นางเก็บมาในตอนนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ หัวหน้าตำหนักแห่งตำหนักเป่ยหาน
ตอนนี้มู่เฉียนซีรู้สึกสับสนอลหม่านเป็นอย่างมาก และเหล่าบรรดาผู้อาวุโสตรงหน้าเหล่านี้ก็สับสนไม่ต่างไปจากนางเช่นกัน
นี่เป็นถึงป้ายคำสั่งที่บ่งบอกถึงตัวตนของท่านหัวหน้าตำหนัก ไม่ว่าผู้ที่ถือป้ายคำสั่งนี้คือผู้ใด แต่เมื่อเห็นป้ายคำสั่งนี้ก็เปรียบเสมือนเห็นหัวหน้าตำหนัก
และเมื่อครู่นี้ ผู้อาวุโสห้าต้องการจะฆ่าเขา!
ใบหน้าของอวี้ปิงชิงเรียบนิ่ง ภายในแววตาคู่นั้นเกิดคลื่นที่ทำให้คนตกใจกลัวขึ้น ป้ายของท่านหัวหน้าตำหนักมาอยู่ในมือของเจ้านี่ได้อย่างไรกัน?
หรือว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะรับศิษย์อย่างลับ ๆ ไปแล้ว แต่ต่อให้เป็นศิษย์ ท่านหัวหน้าตำหนักก็ไม่มีทางมอบป้ายที่สำคัญเช่นนี้ให้เขาแน่ หรือว่า…
อวี้ปิงชิงพยายามยับยั้งใจตัวเองให้สงบ นางค่อย ๆ เงยหน้ามองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย ป้ายคำสั่งที่เจ้าถืออยู่เป็นป้ายคำสั่งของท่านหัวหน้าตำหนัก แต่เพื่อเป็นการยืนยันให้แน่ใจ ขอข้าตรวจสอบดูสักหน่อยได้หรือไม่?”
นางไม่เชื่อ ไม่เชื่อ…
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็รบกวนธิดาศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบดูสักหน่อยก็แล้วกัน”
แววตาของผู้อาวุโสห้าเคร่งขรึมลง ต้องเป็นของปลอมแน่ ๆ ต้องเป็นของปลอม…
หากเป็นของจริง เช่นนั้นการที่เขาจะแก้แค้นให้ศิษย์ตัวเองก็ไม่สามารถทำได้แล้ว
และคนที่รอคอยการตรวจสอบอยู่เช่นกันนั่นก็คือมู่เฉียนซี หากเป็นของปลอม แสดงว่าเสี่ยวไป๋ไม่ใช่หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน
แต่หากว่าเสี่ยวไป๋เป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหานแล้วละก็ นางก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำเช่นไรต่อไป
นางได้เตรียมพร้อมที่จะเอาคืนตำหนักเป่ยหานเอาไว้แล้ว ต้องช่วยอารองออกมาให้ได้
ทันทีที่อวี้ปิงชิงตรวจสอบเสร็จ นางก็ตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย นางแทบจะอยากบีบป้ายในมือให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จริง ๆ แต่นางก็ทำไม่ได้
นางอดทนต่อความวู่วามของตัวเอง นางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นป้ายคำสั่งนี้คืนให้มู่เฉียนซี
“ป้ายคำสั่งนี้เป็นของจริง!”
มู่เฉียนซีรับป้ายคำสั่งกลับมา และรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังอันใหญ่หลวงที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้านางผู้นี้บดบังเอาไว้
เกลียดชังเสี่ยวไป๋ หรือว่าเกลียดชังนาง?
ของจริง มันเป็นของจริง! ตัวตนของเสี่ยวไป๋สามารถยืนยันได้แล้ว
“ต้องไม่ใช่ท่านหัวหน้าตำหนักแน่ ๆ ที่ให้ป้ายคำสั่งนี้กับเขา เจ้าหนุ่มนี่ต้องขโมยป้ายคำสั่งของท่านหัวหน้าตำหนักมาแน่ ๆ” ผู้อาวุโสห้ายังคงไม่เชื่อ
ทุกคนก็หมดคำจะพูดแล้ว หัวหน้าตำหนักเป็นคนเช่นไรอย่างนั้นรึ?
อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ หากหัวหน้าตำหนักไม่ยินยอม ต่อให้พรสวรรค์ของมู่หรงเฉียนเยี่ยจะดีเพียงใดก็ไม่มีทางขโมยป้ายคำสั่งของหัวหน้าตำหนักไปได้แน่
มิน่าล่ะว่าเหตุใดมู่หรงเฉียนเยี่ยถึงได้กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็มีหัวหน้าตำหนักคอยหนุนหลังอยู่นี่เอง แล้วใครจะกล้าแตะต้องเขาล่ะ!
ตัวตนของมู่หรงเฉียนเยี่ยยังต้องยืนยัน!
มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งได้ไปรายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสสูงสุดและหัวหน้าตำหนักแล้ว อวี้ปิงชิงพามู่หรงเฉียนเยี่ยไปที่ตำหนักใหญ่อันโอ่อ่าหรูหรา
อวี้ปิงชิงกล่าว “คุณชายมู่หรง รอท่านหัวหน้าตำหนักที่นี่เถอะ!”
“ข้าไม่อยากรอที่นี่ เตรียมห้องให้ข้าห้องนึง ข้าอยากพักผ่อน” มู่เฉียนซีกลับปฏิเสธ
ตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งที่พวกคนเหล่านี้สนใจก็คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหัวหน้าตำหนักของพวกเขา และเพิกเฉยต่ออาการบาดเจ็บของนางไปโดยสิ้นเชิง
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสได้ยินเช่นนี้ก็นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะปฏิเสธที่จะเจอกับท่านหัวหน้าตำหนัก
อวี้ปิงชิงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ “เด็ก ๆ! ไปส่งคุณชายมู่หรงพักผ่อนหน่อย”
เจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ท่านหัวหน้าตำหนักต้องไม่พอใจเป็นแน่
“อะไรนะ! ท่านหัวหน้าตำหนักมอบป้ายคำสั่งให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง และตอนนี้เขาคนนั้นก็อยู่ในตำหนักเป่ยหานแล้ว” ผู้อาวุโสสูงสุดได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ก็ตกตะลึงขึ้น
เขารู้จักท่านหัวหน้าตำหนักมานาน ไม่เคยเห็นท่านหัวหน้าตำหนักคบค้าสมาคมหรือไปมาหาสู่กับผู้ใดมาก่อนเลย และเรื่องที่จะมอบป้ายคำสั่งให้คนอื่นนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ในตอนนี้ อีกคนหนึ่งได้ไปในสถานที่ที่หัวหน้าตำหนักเป่ยหานกำลังเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ “ท่านหัวหน้าตำหนักขอรับ มีเด็กหนุ่มคนนึงถือป้ายคำสั่งของท่านหัวหน้าตำหนักเข้ามาในตำหนักเป่ยหาน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ข้าน้อยจึงมาเรียนให้ท่านหัวหน้าตำหนักทราบเป็นพิเศษขอรับ”
.