บทที่ 452
เมื่อถังหยินนั่งลงในเต็นท์กองทัพหลวง หยวนยู่และมูฉิงก็พลันพากันแยกไปยังมุมของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานนักเจี๋ยนฟานจะเข้ามาพร้อมกับทหารเฟิงอีกสองนาย
เมื่อเห็นเจี๋ยนฟาน ใบหน้าเย็นชาของถังหยินก็พลันกลายเป็นรอยยิ้มทันที เขาโบกมือให้ทหารและพูดว่า “ปลดเชือกให้เขาซะ !”
“ขอรับ !” ทหารทั้งสองตอบกลับขณะที่พวกเขาปลดเชือกออกจากร่างของเจี๋ยนฟานอย่างชำนาญ
เจี๋ยนฟานดูจะตกใจ เขามองไปที่ถังหยินด้วยสีหน้างงงวย ในฐานะศัตรูแล้ว ทำไมกัน ทำไมถังหยินถึงสุภาพกับเขามากนัก ?
ถังหยินยิ้มแล้วบอกให้เจี๋ยนฟานนั่งลงก่อน จากนั้นเขาจึงถามอย่างสบาย ๆ ว่า “เจี๋ยนฟาน เจ้าอยู่ในกองทัพมานานแค่ไหน ?”
อีกฝ่ายยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม แต่เมื่อได้ฟังคำถาม เขายินยอมตอบกลับแต่โดยดี “3 ปีแล้ว”
ดูเหมือนว่าจะยังมีความหวังอยู่ ! ถังหยินพูดอย่างแผ่วเบา “เจี๋ยนฟาน ข้ารู้ดีถึงแผนการที่พวกเจ้าใช้ ทว่ามาตอนนี้ทั้งจ้านอู่ตี้และฮ่าวจ้าวก็ได้ตายไปแล้ว เช่นเดียวทหารทั้งหมดของเจ้าก็ด้วย …พูดตามตรง เจ้าเองก็ควรที่จะต้องถูกกำจัดด้วยเหมือนกัน แต่ข้าเห็นแก่ความสามารถของเจ้า ดังนั้นข้าจึงจะให้โอกาสเจ้าในการยอมจำนน !” หลังจากฟังคำพูดของถังหยิน การแสดงออกของเจี๋ยนฟานกลับไม่เปลี่ยนไปเลย เขายังคงสงบและเฉยเมย ก่อนที่เจี๋ยนฟานจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า “ข้าติดหนี้บุญคุณเสี่ยวชาง”
ถังหยินที่ฟังดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อว่า “แล้วไง ?”
คำถามนั้นทำให้เจี๋ยนฟานเงยหน้าขึ้นมองเงียบ ๆ ก่อนที่จะพูด “สิ่งที่เจ้าเสนอมาไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เสี่ยวชางมอบให้ข้าเลยแม้แต่น้อย !”
สำหรับคนที่เห็นคุณค่าของความเมตตามากกว่ามิตรภาพแล้วคงเป็นเช่นนั้น ด้วยเพราะเสี่ยวชางไม่สนใจที่มาและคิดยอมรับเขา หรือแม้แต่กระทั่งหาเหตุผลที่เจี๋ยนฟานควรจะมีชีวิตต่อไปให้ ผู้ใช้ศาสตร์มืดคนนี้ก็คงจะตายไปนานแล้ว ดังนั้นนี่จึงถือเป็นหนี้บุญคุณที่ยากทดแทน !
ถังหยินและเฉิงจินต่างก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจสิ่งที่เจี๋ยนฟานพูด และเพราะแบบนี้ พวกเขาสองคนจึงพากันขมวดคิ้วในเวลาเดียวกัน
ในทางกลับกัน หยวนยู่กลับคิดว่าเจี๋ยนฟานเป็นคนไม่มีเหตุผลและการชดใช้หนี้บุญคุณที่ว่าก็เป็นเพียงข้ออ้างงี้เง่า ! ดังนั้นแล้วเขาจึงก้าวไปข้างหน้าก่อนโค้งคำนับให้ผู้เป็นนายเหนือหัวอย่างถังหยิน “นายท่านขอรับ เห็นกับตาแล้วนะขอรับว่าไอ้หมดนี่ไม่คิดที่จะภักดีกับเฟิงเลยแม้แต่น้อย ให้ข้าฆ่าเขาทิ้งเสียเลยดีกว่าขอรับ”
หลังได้ยินคำนั้น เจี๋ยนฟานพลันหันมองไปที่หยวนยู่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพียงก้มศีรษะลงและวางมือไว้ข้างหลังเป็นเชิงว่า ‘จะฆ่าก็ฆ่าเลย’
ถ้าชายหนุ่มต้องการที่จะฆ่าเจี๋ยนฟาน มันก็ถือเป็นเรื่องง่ายยิ่ง แต่ในอนาคตมันจะเป็นเรื่องยากมากที่จะหาอัจฉริยะอายุยังน้อยเช่นอีกฝ่ายได้อีก อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ !!
ดังนั้นถึงแม้ใบหน้าของถังหยินยังคงยิ้มอย่างสนุกสนาน หากแต่ความจริงในใจเขากำลังคิดอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้น ถังหยินจะพลันยกมือขึ้นและพูดเอ่ยเสียงเบาออกไป “ขังเขาไว้”
“นายท่าน… ?” หยวนยู่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้นและต้องการที่จะพูดต่อ ทว่าถังหยินกลับโบกมือขัดจังหวะเขาไว้ “ข้าตัดสินใจไปแล้วหยวนหยู เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอีก”
คำพูดนั้นทำให้หยวนยู่ได้แต่ถอนหายใจและยกมือขึ้นคำนับ“ข..ขอรับ !” เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเจี๋ยนฟานแตกต่างกับฮ่าวจ้าวอย่างไร และทำไมท่านนายท่านของเขาถึงได้ไว้ชีวิตอีกฝ่าย !!
หลังจากเจี๋ยนฟานถูกทหารนำตัวออกไป ถังหยินก็พลันเรียกหาหลีเทียนและอัยเจีย “พวกเจ้าได้ตรวจสอบภูมิหลังของเจี๋ยนฟานแล้วหรือยัง ?” หลังจากที่อีกฝ่ายแสดงฝีมือออกมา สายลับของเนตรเวหาและเครือค่ายใยพิภพก็ได้เริ่มทำการสืบหาข้อมูลเจี๋ยนฟานแล้ว และเมื่อถังหยินถามคำถามดังกล่าว อัยเจียก็พลันรีบรายงานในทันที “เราได้ทำการสอบสวนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ว่ามา !” ถังหยินเงยหน้าขึ้น
“เจี๋ยนฟานเป็นชาวเมืองฉางหนิง เกิดจากครอบครัวที่ยากจนไร้บิดามีมารดาเพียงคนเดียว เขาได้รับการฝึกฝนศาสตร์แห่งเงาและความมืดมาตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่ออายุ 23 ปี เขาก็ได้เข้าร่วมกองทัพและอยู่มาตั้งแต่นั้น…” กล่าวได้ว่าพวกเขาสามารถสาวลึกไปได้ถึงต้นกำเนิดของเจี๋ยนฟานอย่างละเอียดยิบ และเมื่อเห็นว่าถังหยินกำลังฟังอย่างตั้งใจ อัยเจียก็จึงยิ่งทำการอธิบายอย่างละเอียด
หลังจากที่อ้ายเจียพูดจบ ถังหยินก็ถามขึ้นว่า “มารดาของ เจี๋ยนฟานอยู่ที่เมืองใดกัน ใช่ยังอยู่ที่ฉางหนิงหรือไม่ ?” เมืองฉางหนิงถือเป็นหนึ่งในเมืองของมณฑลเกาฉวน แม้ว่ามันจะอยู่ไม่ไกลจากจางหยู แต่การเดินทางก็ถือว่ายากลำบากยิ่ง อาจจะใช้เวลาหนึ่งหรือสองวันในการเดินทางเลยทีเดียว
อัยเจียตอบว่า “ยังอยู่ในเมืองฉางหนิง”
“ฮึ !” เมื่อหยวนยู่ได้ยินเช่นนี้ เขาก็พลันตะคอกออกมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจและกล่าวว่า “ไอ้ยอดคนนั่นช่างไม่รู้คุณเอาซะเลย ตัวเองได้รับโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าแท้ ๆ แต่กลับทิ้งผู้ให้กำเนิดของตัวเองเอาไว้ให้เดียวดายเช่นนั้นได้ลงคอ !”
อัยเจียที่เห็นท่าทีแบบนั้นของถังหยินจึงยิ้มและกล่าวว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจากการสอบสวนแล้ว มันก็ทำให้พวกเราทราบมาว่าอีกฝ่ายนั้นมักกลับไปเยี่ยมมารดาทุกเดือน และนอกจากนี้ เงินทั้งหมดที่ได้รับมา เขาก็มักจะส่งกลับไปให้มารดาของเขาจนหมดอีกด้วยขอรับ !”
หยวนยู่ดูไม่อยากจะเชื่อ เขาถามกลับในทันที “เจ้าจะไปรู้ได้ยั… ?”
ทว่ายังเอ่ยไม่ทันจบ อัยเจียก็ได้หัวเราะและชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “ข้าได้ข้อมูลจากเมืองฉางหนิงผ่านคนรับใช้ของจวนตระกูลเจี๋ยนและเพื่อนบ้านของเขา”
หลังจากฟังคำอธิบาย หยวนหยูก็ไม่มีอะไรจะแย้งอีก เขาเพียงพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ๆ ว่า “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ความภักดีของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเชื่อถือได้ ตอนนี้มันถือเป็นคนทรยศ ในสายตาของข้ามันก็เป็นได้เพียงคนทรยศเท่านั้น !”
เนื่องจากมารดาของเจี๋ยนฟานไม่ได้อยู่ในเมืองจางหยู ดังนั้นหากพวกเขาต้องการจับตัวอีกฝ่าย มันก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก อีกทั้งอัยเจียยังมองว่าชีวิตมารดาของเจี๋ยนฟานนั้น สามารถเอามาใช้ข่มขู่คนกตัญญูอย่างนั้นได้แน่นอน !!
ทว่าจังหวะนั้นเอง ถังหยินพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยถามออกไป “มารดาของเจี๋ยนฟานมองว่าตัวเองเป็นชาวเฟิงหรือไม่… ?”
พวกเขาไม่คาดมาก่อนว่าจะถูกถามเรื่องนี้ อัยเจียจึงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเป็นหลีเทียนที่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เรียนนายท่าน ตามที่คนรับใช้ในจวนพูด มารดาของเจี๋ยนฟานเคยทำการร้องเรียนเกี่ยวกับการกบฏของซ่งเทียน รวมถึงนางยังไม่เห็นด้วยที่เจี๋ยนฟานเข้าร่วมกับกองทัพเปิง !”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดี…” ถังหยินยิ้มและพยักหน้าหลังได้ยินคำนั้น ก่อนที่เขาจะหันไปกล่าวกับหลีเทียนและอัยเจียว่า “คราวนี้พวกเจ้าสองคนจงเดินทางไปยังเมืองฉางหนิงเป็นการส่วนตัว ทำการเชิญนางมายังกองทัพของเรา และให้นางเกลี้ยกล่อมลูกของนางให้เข้าร่วมกับเราให้ได้ …แล้วก็จงรักษามารยาทให้ดีเข้าไว้ เข้าใจหรือไม่ ?”
“รับทราบขอรับ นายท่าน !” ทั้งสองพยักหน้า
ในขณะนั้นเอง ก็ได้มีเสียงฝีเท้าจากด้านนอกดังขึ้น ก่อนเป็นทหารนายหนึ่งที่เดิมเข้ามาหาถังหยิน อีกฝ่ายถือลูกศรคำสั่งไว้ในมือทั้งสองข้างและส่งมอบให้ชายหนุ่ม
ถังหยินก้มลงมองอีกฝ่าย ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจและพูดว่า “ท่านแม่ทัพจีหยิง ขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก”
แผนการของจีหยิงถือว่าประสบความสำเร็จยิ่ง เพราะนั่นทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่ากองทัพอินทรีสวรรค์เป็นกองกำลังหลักของกองทัพเฟิง พวกเขาจึงส่งเจี๋ยนฟานและแม่ทัพอีกสองสามคนเข้าลอบโจมตีค่ายหลักของกองทัพเทียนหยวนทันที
โดยในทางกลับกันนั้น พวกทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างก็ล้วนแต่เป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอ พวกเขามีทักษะการยิงธนูที่อ่อนด้อยนัก ทำให้ถึงจะดูได้เปรียบ ทว่าลูกศรจากกองทัพเปิงก็ไม่ถือเป็นอันตรายต่อกองทัพอินทรีสวรรค์นอกเมืองแม้แต่น้อย !!
และเนื่องจากกองทัพอินทรีสวรรค์ไม่ได้เข้าใกล้เมือง ไม้กลิ้ง หินไฟและสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดจึงล้วนแต่ไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา !!
เมื่อหลีเทียนเข้ามาสั่งให้ถอยทัพ กองทัพอินทรีสวรรค์ยังไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพเปิงบนกำแพงเมืองอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ และหลังจากหลีเทียนจากไป จีหยิงก็ไม่รีรอแม้แต่น้อย เขาส่งคำสั่งให้ถอยทัพในทันทีทันใด !!
เมื่อเห็นว่าพวกเขาตัดสินใจที่จะล่าถอยก่อนที่จะเข้าโจมตีเมือง จ้านอู่ฉางก็พลันตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนที่เขาจะทำการส่งสายลับออกไปสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทางฝั่งจ้านอู่ตี้อย่างกระวนกระวาย
ทว่าสายที่ส่งไปกลับนำข่าวที่น่าตกใจและไม่น่าเชื่อกลับมา ว่ากลุ่มของจ้านอู่ตี้ถูกซุ่มโจมตีโดยกองทัพเทียนหยวนและถูกขังอยู่ในค่ายหลักของศัตรู !!
ซึ่งหลังจากที่จ้านอู่ฉางได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็ถึงกับเกือบจะเป็นลมในพลัน
ด้วยที่แท้ก็เป็นฝ่ายตนที่ตกหลุมพราง และที่แท้กองทัพเฟิงด้านนอกก็เป็นเพียงตัวล่อเท่านั้น !!
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น จ้านอู่ฉางก็เริ่มร้อนรน เขาเร่งส่งคำสั่งออกไปทันที ว่าให้ขัดขวางการหลบหนีของกองทหารศัตรูนอกเมือง ทว่าเมื่อพวกเขาออกไป อีกฝ่ายก็ได้ถอยทัพกลับไปที่ค่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว !!!