บทที่ 464
แม่ทัพวัยกลางคนที่ถูกนำมาโดยทหารเฟิงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจ้านอู่ฉาง และเมื่อได้เห็นถังหยิน มันก็เหมือนกับว่าจ้านอู่ฉางจะเปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาทั้งสองของเขาส่องประกายด้วยแสงที่น่ากลัวจ้องมองไปที่ถังหยินอย่างดุร้าย ขณะเดียวกัน จ้านอู่ฉางก็พลันส่งเสียงคำรามต่ำที่คล้ายกับสัตว์ร้ายออกมา
อาจกล่าวได้ว่าถังหยินเป็นตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการตายของจ้านอู่ตี้ ทำให้จ้านอู่ฉางเกลียดชายหนุ่มเข้ากระดูกดำ น่าเสียดายที่ตอนนี้มือและเท้าของเขาถูกจำกัด มิฉะนั้นเขาคงจะพุ่งเข้าหาถังหยินและกัดอีกฝ่ายสองสามครั้งอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเลไปแล้ว !
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของจ้านอู่ฉาง ทหารเฟิงทั้งซ้ายและขวาก็พลันยกมือขึ้นฟาดไปที่ใบหน้าของจ้านอู่ฉาง “นี่เจ้ารู้ตัวไหมว่าถูกจับอยู่ !”
ด้วยจ้านอู่ฉางไม่มีพลังปราณ เขาจึงไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่ง และถ้าหากถูกทุบตีมาก ๆ เข้า ก็อาจเป็นไปได้ที่เขาจะตายเสียก่อน ดังนั้นถังหยินจึงโบกมือไปทางพวกเขาและพูดว่า “หยุด !”
ทหารยามทั้งหมดหยุดและโค้งคำนับให้ถังหยิน ก่อนที่พวกเขาจะถอยออกมา ปล่อยให้จ้านอู่ฉางล้มลงกับพื้นทั้งแบบนั้น
ถังหยินไม่กลัวจ้านอู่ตี้ ไม่ต้องพูดถึง ซ่งเทียน เสี่ยวชางและคนอื่น ๆ คนเดียวที่ทำให้เขาปวดหัวได้คือจ้านอู่ฉาง !! และตอนนี้คู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามคนนี้ก็ได้มาอยู่แทบเท้าแล้ว ชายหนุ่มแทบรอไม่ไหวที่จะฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น ๆ!
ถ้าจ้านอู่ฉางเป็นคนธรรมดา และถ้าน้องชายของเขาไม่ตายด้วยน้ำมือของตน ถังหยินคงจะพยายามเอาอีกฝ่ายมาเป็นพวกด้วย แต่น่าเสียดาย… ที่โลกนี้ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ !!
ถังหยินเดินไปข้างหน้า ก่อนที่เขาจะก้มลงมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของจ้านอู่ฉาง จากนั้นจึงพูดเบา ๆ ว่า “แม่ทัพจ้านอู่ฉาง แม้ว่าเราสองคนจะมีตำแหน่งและเจ้านายคนละคนกัน แต่ข้าก็ยังคงชื่นชมเจ้านัก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงปล่อยเจ้าไปไม่ได้ …เจ้าเข้าใจความหมายของข้าสินะ ?”
ฝ่ายหลังที่รู้ดีถึงชะตากรรมของตัวเองก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะเงียบไปและใช้สายตาจับจ้องไปยังถังหยิน จากนั้นจ้านอู่ฉางจึงพูดพร้อมด้วยฟันที่กัดแน่น “ถังหยิน เจ้าไม่ต้องทำเป็นเมตตา ข้าคนนี้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวข้าเองเท่านั้น อยากจะฆ่าก็ฆ่าซะ !!”
หลังได้ยินคำนั้น ถังหยินพลันผงกศีรษะไม่พูดอีกต่อไป แต่เลือกที่จะหันไปถามคนใกล้ตัวแทน “มูฉิง ในความคิดของเจ้า คิดว่าควรจัดการกับจ้านอู่ฉางยังไงดี ?”
มูฉิงแทบไม่ได้คิดเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาตอบกลับในพลันว่า “นายท่าน มือของจ้านอู่ฉางเปื้อนเลือดชาวเฟิงไปมากมาย โทษตายถือว่าสมควรกับเขาแล้ว !”
“นั่นก็ใช่ !” ถังหยินเหล่ตาของเขา ก่อนหัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า “น่าสนใจดีนี่ เอาตามนั้นก็แล้วกัน !”
“สมแล้วที่เป็นนายท่าน ชาญฉลาดยิ่งนัก !” มูฉิงยกมือขึ้น จากนั้นจึงหันกลับไปมองทหารที่อยู่ด้านล่างและโบกมือไปทางจ้านอู่ฉาง ทำให้ทหารทุกคนเข้าใจและรีบก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อลากจ้านอู่ฉางที่โดนตัดสินโทษตายออกไป
“ถังหยิน ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ที่ปรภพก่อนก็แล้วกัน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า !” ถึงจ้านอู่ฉางจะถูกลากไปไกลแล้ว หากแต่เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของเขาก็ยังคงดังก้องเป็นระยะ ๆ!
“ตามสบายเจ้าเถอะ !” เมื่อถังหยินพูดอย่างนั้น จากนั้นจึงหันมองไปที่จวนผู้ว่าและถามว่า “กองกำลังของเราทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งแล้วใช่ไหม ?”
“ขอรับ นายท่าน !” เหล่าแม่ทัพและคนอื่น ๆ ตอบพร้อมกัน
ถังหยินที่ได้ยินดังนั้นจึงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงยกมือขึ้นชี้ไปที่จวนพร้อมพูดอย่างเย็นชา “ฆ่าทุกอย่างที่อยู่ในนั้น ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ !”
“รับทราบ !” ใบหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง พวกเขาพร้อมใจกันออกคำสั่งให้กองทัพทั้งหมดโจมตีในทันที
ด้วยเมืองจางหยูไม่มีกองกำลังคุ้มกันอีกแล้ว จึงไม่มีทางที่จะต้านทานพลังของกองทัพเฟิงได้เลย ทหารเฟิงมากมายพากันพุ่งเข้าไปในจวนผู้ว่า ทำให้ทหารเปิงที่น่าสมเพชและสมาชิกในครอบครัวกับคนรับใช้ของเสี่ยวชางถูกต้อนให้จนมุมโดย กองทัพเฟิง !!
…ในไม่ช้าจวนผู้ว่าก็พลันกลายเป็นนรกบนดิน
พวกเขาหลายคนถูกบังคับให้ต้องจนมุม และเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีที่ให้หนีอีก พวกเขาทั้งหมดก็พากันโยนอาวุธทิ้งและยอมจำนนทีละคน อย่างไรก็ตามหลังได้รับคำส่ง พวกทหารเฟิงจึงไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายยอมจำนนจริงหรือไม่ และพากันพุ่งไปข้างหน้าเพื่อฟาดฟันเหล่าศัตรู
ดังนั้นแล้ว การทิ้งอาวุธก็แค่ทำให้การสังหารของพวกเขาราบรื่นขึ้นเท่านั้น !!
ใช้เวลาไม่นานนัก ลานด้านนอกจวนผู้ว่าก็ได้ถูกกองทัพเฟิงครอบครอง และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็จะพบว่าพื้นดินเต็มไปด้วยซากศพแขนขาหักเต็มไปหมด เช่นเดียวกับเลือดที่ย้อมพื้นเป็นสีแดงและกลิ่นของหยาดโลหิตที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้
ภายในที่แห่งนี้ มีทหารและคนรับใช้ในบ้านไม่มากเท่าใด ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้หญิง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ทหารเฟิงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย พวกเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นชาย หญิง คนชราหรือว่าเด็ก !!
นี่เป็นการสังหารหมู่เพียงฝ่ายเดียว !!!
รอจนกระทั่งกองทัพเฟิงสังหารผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาจึงเริ่มค้นหาห้องทีละห้อง ซึ่งก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะพวกเฟิงต่างก็พากันขโมยทุกสิ่งที่พวกเขาเห็น และตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่มีค่าหรือสะดวกในการพกพา พวกเขาจะไม่ปล่อยไป !!!
ย้อนกลับไป นานมาแล้วถังหยินได้ออกกฎไว้ว่าสำหรับวัสดุและของมีค่าทั้งหมดที่พวกทหารยึดมาได้ ให้ตกเป็นของพวกเขาเหล่านั้นครึ่งหนึ่ง ส่วนครึ่งหนึ่งจะถูกส่งมอบให้กับกองทัพ และด้วยกฎดังกล่าว ทหารเฟิงจึงไม่เกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อย เพราะยิ่งพวกเขาคว้าได้เยอะเท่าใด งั้นแล้วพวกเขาก็จะได้ผลตอบแทนกลับมามากขึ้นเท่านั้น !!
กองทัพเฟิงภายใต้คำสั่งของถังหยิน ถ้าให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือกองทัพปกติกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่มีกำลังต่อสู้อย่างท่วมท้น แต่ถ้าให้มองจากอีกมุมหนึ่ง พวกเขาเหล่านั้นก็ดูไม่ต่างจากกลุ่มโจรที่มีการจัดระเบียบอันกระหายเลือดและโหดร้ายเลย !!!
ถังหยินและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังคงไม่เข้าไปในจวนผู้ว่า และตราบใดที่พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้อง มันก็ไม่ยากที่จะจินตนาการถึงสถานการณ์ข้างใน แน่นอนพวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพเลือดเหล็กที่ผ่านศึกมามากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แสดงอารมณ์ออกมาแม้แต่น้อย !!
สายตาของมูฉิงหันมามองถังหยิน “นายท่าน แม้ว่ากองทัพกบฏควรจะถูกฆ่า และเสี่ยวชางควรจะถูกกำจัดแบบล้างโคตร แต่การฆ่าพวกเขาแบบนี้ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ด้วยมันอาจทำลายชื่อเสียงของเราได้ ! และเพราะงั้นแล้ว เราจึงควรเผาจวนของมันเสีย คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น !!” ความตั้งใจของมูฉิงชัดเจนนัก ว่าหากพวกเขาทำลายศพและหลักฐานทั้งหมด มันก็จะไม่มีใครมาตรวจสอบได้อีก !!
ถังหยินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมการมองการณ์ไกลของมูฉิง เขาพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าพูดถูก ! ชื่อเสียง ?! ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นแล้วจงเผาให้หมด !”
“ตัดสินใจได้ดียิ่งขอรับนายท่าน !” มูฉิงว่าพลางหัวเราะ
ในเวลานั้นหลีเทียนและอัยเจียก็ได้วิ่งออกมาจากจวนผู้ว่า พวกเขาโค้งคำนับและกล่าวว่า “นายท่าน ซ่งเทียนและเสี่ยวชางไม่ได้อยู่ในนั้นขอรับ !”
“… ?” ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ในนั้น งั้นแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้กัน ? ชายหนุ่มถามว่า “มีห้องลับซ่อนอยู่อีกหรือไม่ ?”
หลีเทียนส่ายหัวและกล่าวว่า “นายท่าน เราได้ตรวจสอบแล้วและแม้กระทั่งพบศพของภรรยากับลูกสาวของเสี่ยวชาง แต่เรากลับหาตัวเสี่ยวชางไม่พบเลย !”
ถังหยินขมวดคิ้วแน่น เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการจับกุมซ่งเทียนผู้ทรยศ และตอนนี้เมืองจางหยูก็ถูกยึดไปแล้ว แต่แล้วซ่งเทียนหายตัวไปที่ใดกัน ?
มูฉิงเห็นว่าสีหน้าของถังหยินดูไม่ดีนัก เขาจึงกล่าวอย่างกังวลว่า “นายท่าน โปรดอย่ากังวลเลย เมืองจางหยูถูกกองทัพของเราปิดล้อมไว้แล้ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ซ่งเทียนและเสี่ยวชางจะหลบหนีไป พวกเขาจะต้องอยู่ในเมืองอย่างแน่นอน ตราบใดที่เรายังคงค้นหา เราจะสามารถหาที่ซ่อนได้อย่างแน่นอน !”
ถังหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดกับแม่ทัพทางซ้ายและขวาว่า “ตรวจสอบให้ทั่ว ! ต่อให้ต้องพลิกเมืองก็ต้องลากคอซ่งเทียนออกมาให้จงได้ !”
“ขอรับ !” เหล่าแม่ทัพต่างขานรับคำ
ถึงจะฟังดูพูดง่าย ๆ แต่มันกลับยากยิ่งที่จะทำเช่นนั้น เพราะเมืองจางหยูมีพื้นที่กว้างขวางนัก เช่นเดียวกับพลเมืองที่มีอย่างน้อย 2 ถึง 3 แสนคน มันจึงกลายเป็นเรื่องยากมากที่จะหาเบาะแสของซ่งเทียนและเสี่ยวชางได้ !!
เพื่อเพิ่มกำลังในการค้นหา ถังหยินถึงกับสั่งให้ติดประกาศอันมีประเด็นด้วยกัน 2 หัวข้อ ประการแรกคือการเอาใจชาวเมือง และประการที่สองกล่าวถึงซ่งเทียนกับเสี่ยวชาง !!
กองทัพเฟิงทำการปล้นสะดมจวนผู้ว่าเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เข้าไปก่อกวนชาวเมืองแม้แต่น้อย ด้วยนี่คือสิ่งที่ถังหยินและแม่ทัพคนอื่น ๆ กำชับเอาไว้อย่างชัดเจน
และเนื่องจากกองทัพเฟิงไม่รบกวนชาวบ้านทั้งหลายนี่เอง หลังจากทำความสะอาดสนามรบแล้ว ชาวเมืองจึงค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นบนท้องถนน และแม้ว่าจะไม่ได้มีการสั่งห้ามอะไร หากแต่เมืองก็ยังคงถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนา
…เมื่อชาวเมืองเห็นประกาศจากกองทัพเฟิง พวกเขาก็สงบลงเล็กน้อย ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พากันสงสัยว่าซ่งเทียนและเสี่ยวชางซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่ ?
หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพเฟิงก็ได้จุดไฟขนาดใหญ่เผาทั้งจวนผู้ว่าไปพร้อมกับซากศพทั้งหมดที่อยู่ในนั้น โชคดีที่จวนตั้งอยู่ใจกลางเมืองและไม่มีอาคารอื่น ๆ อยู่รอบ ๆ มิฉะนั้นพวกเขาคงได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
ในคืนนั้น การค้นหาของกองทัพเฟิงยังคงดำเนินต่อไปและมีการห้ามไม่ให้ออกไปไหนในเมืองช่วงค่ำเป็นต้นไป นอกจากนี้กองทัพเฟิงยังได้จับทหารทั้งหมดในเมืองมาสอบปากคำพวกเขาทีละคนเพื่อหาที่อยู่ของซ่งเทียนและเสี่ยวชางอีกด้วย