บทที่ 485
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เสี่ยวมินไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อเจอถังหยินตามที่นัดเอาไว้ ในขณะเดียวกันนางก็นำกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวไปด้วย
เสี่ยวมินพูดกับถังหยิน “ลองดูว่าใส่ได้รึไม่…”
ถังหยินหยิบหมวกเกราะขึ้นมาตรวจสอบ ชุดเกราะของทหารองครักษ์ในวังไม่ได้สวยหรูเหมือนกับชุดเกราะที่ทหารแคว้นอันสวมใส่
แต่เมื่อเทียบกับเกราะหนังของแคว้นเฟิงแล้วมันแข็งแกร่งกว่ามาก เขาพยักหน้าให้ขณะมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“จ้องข้าทำไมเล่า” เมื่อเห็นถังหยินมองมา เสี่ยวมินก็ส่งเสียงไม่พอใจทันที แต่แล้วนางก็ตระหนักได้ว่าถังหยินกำลังรอให้นางหันหน้าไปทางอื่น ดังนั้นจึงรีบเดินออกจากห้องของถังหยินไปทันทีที่คิดได้
หลังจากเสี่ยวมินจากไป ถังหยินก็ถอดชุดลำลองแล้วเปลี่ยนเป็นชุดทหารองครักษ์แทน เครื่องแบบทหารส่วนใหญ่มักทำจากผ้าชั้นดี หลังจากที่ถังหยินแต่งตัวแล้วก็มองดูตัวเองอย่างเงียบ ๆ
สายตาของเสี่ยวมินไม่เลวเลย ชุดทหารที่นางนำมาก็เข้ากับเขาได้ดีมาก หลังจากนั้นแล้ว หลีเทียนและเจี๋ยงฟานต่างก็รอที่จะติดตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน หลีเทียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ “นายท่าน เสี่ยวมินนำชุดเกราะและชุดทหารมาเพียงชุดเดียวหรือขอรับ?”
ถังหยินยิ้มอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “คราวนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตามข้าไป พระราชวังถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากมากคนย่อมทำให้ผู้อื่นสงสัยได้”
“แต่ว่า…?”
เมื่อเห็นทั้งสองยังคงกังวล ถังหยินก็ยักไหล่และพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่ต้องกังวลไป หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันจริง ๆ ถ้าข้าสู้ไม่ไหว ข้าจะหนี”
ได้ยินนายท่านพูดเช่นนั้น หลีเทียนและเจี๋ยงฟานหันมองหน้ากัน คิ้วของพวกเขายังคงขมวดแน่น แต่ไม่ได้พูดอันใดอีกต่อไป ทั้งสองคนมั่นใจในความสามารถของถังหยินมาก แต่วังหลวงนับว่าเป็นแดนเสือหมอบมังกรซ่อน ย่อมไม่สามารถมองข้ามไปได้อยู่ดี
หลังจากแต่งชุดเรียบร้อยแล้ว ถังหยินก็หยิบดาบของตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะและเก็บเข้าที่เอว จากนั้นเขาก็ยืดตัวและยิ้มให้กับผู้ติดตามทั้งสาม “ดูเหมือนพวกนั้นแล้วรึยัง?”
ก่อนที่หลีเทียนและเจี๋ยงฟานจะพูด เจียงหลูก็ยิ้มกล่าวนำแล้วว่า “ดูสง่างามยิ่งกว่าเจ้าของชุดอีกขอรับ!”
“หึ ๆ! “ถังหยินหัวเราะเสียงเบา แล้วหันเดินไปที่ประตู พูดกับเสี่ยวมินที่รออยู่ข้างนอก “ขออภัยที่ต้องให้รอนาน”
เมื่อได้ยินเสียงถังหยิน เสี่ยวมินที่ยืนหันหลังให้ก็หันกลับไป เห็นถังหยินที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารเดินออกมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตัวสูงใหญ่หรือร่างกายกำยำมากนัก แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาภายใต้ชุดทหารที่สง่างามเช่นนี้ กลิ่นอายน่ากลัวของถังหยินก็ดูเหมือนจะอ่อนลงมาก และยังทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่สง่างามมากขึ้นอีกด้วย
ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหญิงไม่อาจลืมถังหยินได้ เขาเป็นผู้ชายที่สามารถทำให้ผู้หญิงใจเต้นแรงได้แม้เพียงแรกพบ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเจ้าหญิงเองก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายมากนัก
เสี่ยวมินถอนหายใจ นางมีความประทับใจที่ดีต่อถังหยินก็จริง แต่นี่เป็นเพียงความประทับใจที่ดีในฐานะเพื่อน หาใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้ถังหยินและชมอีกฝ่าย “ชุด… เหมาะกับเจ้ามาก!”
“ขอบคุณสำหรับคำชม” ถังหยินพยักหน้า นอกจากขอบคุณคำชมของเสี่ยวมินก็มีเรื่องที่นางยอมเสี่ยงช่วยเขาในครั้งนี้ด้วย
เสี่ยวมินเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร รอยยิ้มของนางพลันหายไปและพึมพำเสียงเบา “ช่วยเจ้างั้นรึ? เปล่าเลย อันที่จริงแล้ว เหตุผลหลักคือเพื่อช่วยองค์หญิง…”
นางหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ ให้กำลังใจตัวเองและพูดว่า “นี่ก็ช้ามากแล้ว เราไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” ถังหยินห้ามเอาไว้ ก่อนที่จะหันกลับไปบอกผู้ติดตามทั้งสามของเขา “ตอนที่ข้าไม่อยู่ อย่าไปที่อื่นเสียล่ะ มันไม่ค่อยปลอดภัย”
ทั้งสามเข้าใจทันทีว่าถังหยินหมายถึงอะไร เมื่อวานนี้พวกเขาถูกผู้ใช้ศาสตร์มืดไล่ตามและดักฟังการสนทนา
ทั้งสามคนโค้งคำนับ จากนั้นกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า “นายท่าน ระวังตัวด้วยขอรับ”
“เข้าใจแล้ว” ถังหยินตอบกลับและไม่รอช้าอีกต่อไป เขาให้คำแนะนำง่าย ๆ อีกสองสามข้อ และเดินตามเสี่ยวมินออกจากโรงเตี๊ยมไป
เสี่ยวมินมาที่นี่พร้อมกับม้า ถังหยินก็มีม้าของตัวเอง ทั้งสองคนขี่ม้าตรงไปใจกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาเทียนจี้
พระราชวังของจักรวรรดิเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์แห่งจักรวรรดิเฮาเทียน และยังเป็นใจกลางที่แท้จริงของทั้งจักรวรรดิ อำนาจของจักรวรรดิที่อ่อนแอลงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสง่างามของมันเลยแม้แต่น้อย ยิ่งอยู่ใกล้พระราชหลวงมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะพระราชวังถูกสร้างขึ้นรอบขุนเขาสูงใหญ่และมีด้วยกันทั้งหมดห้าชั้น!
เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นว่ามีหอคอยและศาลาเก๋งทรงสูงจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งเรียงราย แม้ว่าจะเรียกว่าพระราชวังแต่จริง ๆ แล้วกลับดูเหมือนปราสาทเสียมากกว่า เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่าโครงสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ ต้องใช้กำลังคนและเงินไปเท่าใด ทั้งยังยากที่จะจินตนาการได้ว่านี่เป็นผลงานผู้สร้างจากเมื่อหลายพันปีที่แล้ว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าจักรวรรดิเฮาเทียนรุ่งเรืองและมั่งคั่งเพียงใดในยุคทองของมัน
เสี่ยวมินพาถังหยินไปที่พระราชวัง เขตตะวันตกผ่านทางเข้าหลัก แต่ถึงอย่างนั้น ทางเข้าที่ทั้งใหญ่โตและกว้างขวางก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนพูดไม่ออก ถังหยินเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ เขาประเมินว่าประตูพระราชวังมีความสูงอย่างน้อยหนึ่งจั้ง และกว้างอย่างน้อยสองจั้งเศษ ทั้งสองด้านของประตูพระราชวังมีเสาหินสูงตระหง่านเทียมเมฆได้ มันมีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับหยก และบนนั้นยังมีรูปแกะสลักที่สวยงามของนกเฟิ่งหวงกำลังบิน มังกรกำลังขดตัว กิเลนและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เต็มไปหมด ทางซ้ายและขวาของพวกเขาคือทหารรักษาพระองค์ ถังหยินไม่รู้แน่ชัดว่ามีองครักษ์กี่นายที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าวัง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็สามารถเห็นทิวทัศน์ที่คลาคล่ำไปด้วยฝูงคน
ความยิ่งใหญ่ของพระราชวังนี้นั้นหาใครเทียบได้จริง ๆ! ถังหยินตามเสี่ยวมินเข้าไป
เมื่อพวกเขามาถึงทางเข้า ทหารทั้งสองข้างฝั่งก็ก้าวไปข้างหน้าทันที พวกเขามองไปที่เสี่ยวมินกับถังหยินตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นพวกเขาโค้งคำนับพร้อมเพรียงกัน กล่าวทำความเคารพ “แม่ทัพเสี่ยว!”
เสี่ยวมินเป็นองครักษ์ของหยินโหรว นางเป็นผู้ช่วยที่ไว้วางใจได้และดำรงตำแหน่งสำคัญ ทำให้แม้นางจะมักเข้าและออกจากพระราชวังของจักรพรรดิ ทว่าพวกองครักษ์ของจักรวรรดิที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูทุกคนต่างจำก็นางได้ จึงไม่ต้องทำการตรวจสอบให้เสียเวลา
เสี่ยวมินเคยชินกับท่าทีเคารพของพวกเขามานานแล้ว นางนั่งบนหลังม้าและโบกมือเพียงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรมาก ทั้งไม่ได้แนะนำถังหยินให้กับองครักษ์ด้วย นางรีบเร่งม้าให้ผ่านฝูงชนและเข้าไปในวังทันที
ถังหยินตามหลังเสี่ยวมินอย่างใกล้ชิด และเข้าไปในพระราชวัง
ในขณะที่เขาสวมชุดเกราะของทหารองครักษ์และติดตามเสี่ยวมินมาที่นี่ แม้ว่าทหารที่เฝ้าประตูวังจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็ไม่มีใครตรวจสอบ พวกเขาทั้งหมดเพียงย้ายไปยืนด้านข้างเพื่อเปิดทางให้
ถังหยินตามเสี่ยวมินไป สถานที่แห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยผู้คุมกฏและยังมีทหารลาดตระเวนอีกมากมาย สามารถเห็นกลุ่มทหารรักษาการณ์เดินผ่านลานหน้าวังเป็นครั้งคราว
ทั้งสองข้ามจัตุรัสและผ่านทางเดินกว้างยาว จนไปถึงเบื้องหน้า นั่นก็คือบันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุด!
เสี่ยวมินหันไปมองถังหยิน จากนั้นนางก็กระโดดลงจากหลังม้า ในเวลานี้มีทหารยามสองคนเดินเข้ามาดึงบังเหียนของม้าไปด้านข้าง เพื่อพาม้าไปพัก
เสี่ยวมินเดินนำถังหยินขึ้นบันได ขณะที่นางพูดเบา ๆ “พระราชวังมีห้าชั้น เราเพิ่งเดินผ่านเขตชั้นแรกและมีหอสมบัติไท่อันอยู่ทางทิศใต้ นั่นคือที่ซึ่งโอรสแห่งสวรรค์และบรรดาขุนนางมาพบกัน”
ถังหยินพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เขาเพิ่งผ่านชั้นแรกของวังจักรพรรดิและเมื่อเดินมาสักพักแล้ว ถังหยินจึงถามคำถามง่าย ๆ ว่า “ที่นี่มีทั้งหมดกี่ตำหนัก?”
…เพราะดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่แค่ไม่กี่คน
“มีทั้งหมดห้าร้อย และอาจมีคนอยู่ในนั้นราว ๆ พันคนได้!” เสี่ยวมินตอบอย่างลวก ๆ
ถังหยินพูดไม่ออก มีตำหนักห้าร้อยแห่งและศาลาเก๋งหลายพันแห่ง พวกเขาอยู่กันกี่คน? ที่แห่งนี้สามารถจุคนได้หลายแสนคนแล้วนะ! …ไม่แปลกใจเลยที่อำนาจของจักรวรรดิเฮาเทียนตกอยู่ในมือของขุนนางต่าง ๆ แล้ว
เขาไม่ถามเกี่ยวกับแผนผังของพระราชวังอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเรื่องแทน “เจ้าบอกนางไปแล้วใช่ไหมว่าข้าจะเข้าวังวันนี้?”
เสี่ยวมินมองเขาด้วยความตกใจและหัวเราะออกมา “รู้ได้อย่างไร?”
“ข้าคิดว่าหากองค์หญิงไม่ยินยอมให้พบ แม้ว่าเจ้าบอกว่าจะไป เจ้าก็คงไม่ได้เข้าพบอยู่ดี ดังนั้นจึงได้แจ้งให้ทราบไป”
“ฉลาดมากนี่! ฮ่า ๆ!” ถังหยินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางกล่าว
เสี่ยวมินที่ได้ยินแบบนั้นเงียบกริบ นางไมได้ตอบโต้
ในที่สุด ทั้งสองก็มาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผ่านทั้งลานกว้างและทางเดินยาว ทว่าบัดนี้บันไดปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนบันไดนี้จะไม่สั้นกว่าบันไดก่อนหน้านี้มากนัก ถังหยินหัวเราะอย่างขมขื่นและถอนหายใจออกมา “พวกเรากำลังจะไปที่ชั้นสามของพระราชวังใช่ไหม?”
“ถูกต้อง”
“เดี๋ยวนะ…แล้วจริง ๆ เราต้องไปที่ชั้นไหน?”
“แน่นอนว่าชั้นบนสุด!” ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายก็หันกลับมาและกลอกตาให้ถังหยิน ราวกับตำหนิว่าทำไมถึงถามคำถามที่ไร้สาระเช่นนี้
ถังหยินส่ายหน้าและหัวเราะอย่างจนปัญญา “คนตำแหน่งสูงเช่นเจ้า กลับเข้าออกวังลำบากขนาดนี้เลย?”
“หากองค์หญิงเข้าวังก็คงมีรถม้ามารับนั่นแล แต่พอดีว่าท่านเองก็ไม่ค่อยได้ออกจากวังสักเท่าไหร่”