บทที่ 495
อู่เหมยสวมชุดเกราะยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าของลานจวนพร้อมกับหอกในมือ ขณะที่อู่หยูและบ่าวรับใช้หลายคนหลบซ่อนตัวอยู่ภายใน
กองทัพชานซุยไม่พบอู่หยูในที่พำนัก พวกเขาจึงรีบออกค้นหาว่าอู่เหมยอยู่ที่ไหน ทว่าเช่นเดียวกับที่คาดไว้ เมื่อเห็นอู่เหมยยืนตระหง่านอยู่ที่ทางเข้า ทหารหลายคนจึงได้แต่เฝ้ามองจากระยะไกล ไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าว
ในตอนที่เฟิงเฟยหยุนและหลิวกังมาถึง เห็นอู่เหมยแต่งกายด้วยชุดออกศึก แววตาที่กล้าหาญในดวงตาของนางเป็นประกายเด่นชัด ผู้ได้มองนัยน์ตาคู่นี้ล้วนแล้วแต่คิดว่า หากได้มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดผู้หญิงคนนี้ ชีวิตของพวกเขาคงคุ้มค่าแล้ว
หลิวกังจงใจทำหน้าบึ้งตึง ขณะที่พูดขึ้นว่า “ไอ้โจรเฒ่าอู่หยูต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่เป็นแน่ ท่านหัวหน้ากองรีบจับอู่เหมยก่อนซะ!”
อู่เหมยเห็นชัดแล้วว่าเฟิงเฟยหยุนถูกผู้อื่นควบคุม แต่อย่างไร นางก็เป็นถึงคู่หมั้นของถังหยิน การกระทำเช่นนี้นับว่าหยาบคายกับนางมาก! อู่เหมยขมวดคิ้วหันไปมองที่หลิวกังและพูดอย่างเย็นชาว่า “หลิวกัง เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพููดอันใดออกมา!”
หลิวกังตกตะลึงกับคำพูดของตัวเอง ไม่รู้ว่าเขาพูดผิดตรงไหน ทว่าเฟิงเฟยหยุนขัดขึ้นมาก่อน “คุณหนูอู่เหมยเป็นคู่หมั้นของนายท่าน หากเจ้ากล้าพูดอะไรที่ไม่สุภาพ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีตำแหน่งนำทัพ ข้าก็จะเด็ดหัวของเจ้าซะ!”
เขาคนนี้ยังคงภักดีต่อถังหยิน! หลิวกังกัดฟันด้วยความเกลียดชัง ทว่าไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา กล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านหัวหน้ากองเฟย ท่านแม่ทัพได้สั่งพวกเราไว้แล้ว ไม่เพียงแต่ต้องจับตัวอู่หยูเท่านั้น! แต่นั่นรวมไปถึงครอบครัวของเขาด้วย! ตอนนี้อู่เหมยยืนอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว ท่านจะรีรออันใดอยู่? ”
“ข้าขอปฎิเสธ และอย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี!” ในขณะที่พูดเขาก็ยกดาบในมือขึ้น
เขาเป็นถึงหัวหน้านายกองและเหล่าทหารก็ทำตามคำสั่งของเขา หากไม่มีสั่งให้โจมตี แม้หลิวกังจะมีศรคำสั่งในมือก็ย่อมไม่มีผู้ใดทำตามแน่นอน เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวกังที่ใกล้หมดความอดทนจึงถามด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ “นี่หมายความว่าท่านจงใจขัดคำสั่งอย่างนั้นสินะ?”
“แล้วเคยได้ยินเรื่อง ‘การต่อต้านคำสั่งของกองทัพ’ มาบ้างหรือไม่เล่า” เฟิงเฟยหยุนถามอย่างเย็นชา
หลิวกังตกใจในคราแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าจะนำคำพูดของเจ้าไปกล่าวกับท่านแม่ทัพเอง!”
“ตามแต่เจ้าต้องการ!” เฟิงเฟยหยุนตอบอย่างห้วน ๆ
“ฮึ่ม! ข้าก็หลงเชื่อว่าท่านยังรักชีวิตตัวเองอยู่บ้าง…!” หลิวกังขู่โดยไม่เต็มใจ
เฟิงเฟยหยุนหันหน้าหนีไม่ตอบรับ การฟังคำสั่งของเหลียงซิงไม่ว่าทางไหนก็นำพาไปหาความตายทั้งนั้น หากเขาเลือกไม่ทำตาม อย่างน้อยทิ้งชื่อไว้ก็ยังดี
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งแม่ทัพ หลิวกังก็อับจนหนทาง ราวกับว่าเขาเสียหน้าจึงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “เช่นนั้น เจ้าได้เจอดีแน่!”
หลังจากพูดแบบนั้น หลิวกังก็หันกลับมาและเริ่มเดินหน้าต่อ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะได้ก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น ในขณะที่เขาอุทานด้วยความประหลาดใจและดีใจ“ ท่านแม่ทัพ! …เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?”
เมื่อได้ยินหลิวกังพูด ร่างของเฟิงเฟยหยุนก็สั่นสะท้าน เขาวางดาบลงทันทีและหันไปรอบ ๆ แต่เหลียงซิงอยู่ที่ไหนล่ะ?
หลิวกังโกหกเขาอย่างนั้นเหรอ! อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายที่เตรียมพร้อมมานานแล้วก็ไม่ได้ให้โอกาสเขาในการตอบโต้ โดยไม่รู้ตัว! มีดสั้นซ่อนประกายแสงได้พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้ว และแทงเข้าหาอกของเฟิงเฟยหยุนในฉับพลัน
พวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันมากเกินไป กริชเล่มนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว ความโหดเหี้ยมนี้แทงทะลุหัวใจของเฟิงเฟยหยุนไปถึงด้านหลัง ร่างของเขาอ่อนลงทันที ดาบหลุดมือ ดวงตาเบิกกว้าง ขณะมองไปที่หลิวกังก่อนจะล้มลงกับพื้นในที่สุด
เหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ทหารกองทัพชานซุย ทุกคนถึงกับตกตะลึง หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดพวกเขาก็ฟื้นคืนสติ ทหารหลายพันคนปรี่เข้ามาล้อมรอบหลิวกังไว้ พวกเขาทุกคนกัดฟันแน่น หวังคิดจะฉีกหลิวกังให้เป็นชิ้น ๆ
กลับกัน หลิวกังดูเหมือนจะไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เขายกลูกศรคำสั่งขึ้นสูงให้ทหารที่อยู่รอบ ๆ ได้เห็นมันอย่างชัดเจน จากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “เพราะตัวมันขัดขืนคำสั่งจึงได้จบชีวิตลงเช่นนี้! หากพวกเจ้าไม่อยากลงเอยอย่างมัน เช่นนั้นจงฟังที่ข้าสั่ง!”
ทุกคนถอยออกไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นลูกศรในมือของหลิวกัง เห็นได้ชัดว่าเขาข่มขู่ทหารได้สำเร็จ ใบหน้าจึงแสดงความตื่นเต้นและภาคภูมิใจออกมา จากนั้นหลิวกังก็หันมองไปยังอู่เหมย ชี้ลูกศรคำสั่งไปที่นางแล้วตะโกนว่า “จับอู่เหมยซะ!”
หลังจากตะโกนออกไปแล้ว ทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากทหารกองทัพโดยรอบแม้แต่น้อย เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ไปจับนางซะ! ไม่เช่นนั้นก็ตาย!”
ภายใต้คำสั่งซ้ำของหลิวกัง กองกำลังที่ไร้ผู้นำทำได้เพียงฟังคำสั่งของเขาอย่างหมดหนทาง เหล่าทหารคว้าอาวุธของตนและค่อย ๆ ก้าวไปหาอู่เหมย
หากเป็นผู้อื่น เมื่อเผชิญหน้ากับทหารที่มีลักษณะคล้ายหมาป่าและเสือจำนวนมาก พวกเขาย่อมต้องถอยกลับเข้าไปในลานอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม อู่เหมยเป็นพวกตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่นางไม่ถอย ทว่านางยังก้าวไปข้างหน้า เผชิญหน้ากับทหารจำนวนมากและโบกหอกยาวในมือ เปลี่ยนเป็นหอกปราณสีแดงเลือดในทันที
ยามมองไปยังทหารเบื้องหน้า นางก็ตะโกนอย่างไม่เกรงกลัวว่า “แน่จริงก็เข้ามา!”
เหล่าทหารถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าคนที่กองทัพชานซุยกลัวหาใช่นาง แต่เป็นถังหยินต่างหาก
ในฐานะเจ้านายของพวกเขา และคู่หมั้นของถังหยินที่พวกเขาจดจำได้ มาตอนนี้พวกเขาต้องจัดการกับนาง ถึงจะได้รับคำสั่งมาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าอยู่ดี
‘ไอ้พวกไร้ประโยชน์! ถ้าพวกเขาทั้งหมดไม่ยอมทำตามคำสั่ง การจะฆ่าพวกเขาตามที่ขู่เอาไว้คงไม่อาจทำได้ใช่หรือไม่?’ ดวงตาของหลิวกังกลิ้งกลอกอย่างใช้ความคิดทันที แต่ทันใดนั้น เขาก็ส่งเสียงร้องแปลก ๆ ออกมา และร่างกายก็เคลื่อนไหวราวกับอสนีบาตพุ่งเข้าหาอู่เหมยในฉับพลัน!
เพราะไม่มีทหารใดกล้าโจมตี เขาจึงต้องลงมือเองเท่านั้น ไม่เช่นนั้น เขาก็จะโดนตราหน้าว่าขัดคำสั่งอย่างแน่นอน
อู่เหมยที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พลันเข้าใจในทันที กองทัพซานชุยไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายนาง และตัวการก็คือชายตรงหน้าผู้นี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้ามาหา อู่เหมยก็โกรธมาก นางขยับหอกพลังปราณแทงเข้าไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้รับมอบหมายจากเหลียงซิงให้มาจัดการเรื่องนี้ หลิวกังจึงมีความเชื่อมั่น และให้ความสำคัญกับความสามารถของอู่หยูอย่างมาก ในแง่ของพลัง หลิวกังนั้นแข็งแกร่งกว่านางมาก ส่วนในแง่ของทักษะและประสบการณ์การต่อสู้เขาก็แข็งแกร่งกว่าอู่เหมยเช่นกัน ทว่าหลังจากทั้งสองคนต่อกัน สู้หลิวกังจงใจหยั่งเชิงก่อนเท่านั้น และยังไม่คิดเผยความสามารถที่แท้จริง
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันไปมาอย่างดุเดือด ภายนอกดูเหมือนจะสูสีกันมากและมีหลายครั้งที่หลิวกังเกือบจะได้รับบาดเจ็บ จนเมื่ออู่เหมยเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีฝีมือเพียงเท่านี้ ความกังวลใจก็คล้ายจะลดลงเล็กน้อย
ทว่านั่นกลับเข้าทางของหลิวกังทันที! เมื่อหอกของอู่เหมยแทงเข้ามาที่หน้าอกของเขา หลิวกังก็ทรุดลง พยายามทำเป็นหลบหอกไป และขณะที่อู่เหมยกำลังจะดึงหอกของนางกลับไป ดาบของหลิวกังก็ฟันเข้าที่ขาของหญิงสาวแทบจะทันที
การเคลื่อนไหวครั้งนี้รวดเร็วเกินกว่าที่นางจะหลบได้
ดาบของหลิวกังเฉือนเข้าที่ข้อเท้าของนางทันที อู่เหมยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงกับพื้น ใบหน้างดงามของนางปรากฏหยาดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า
“ฮ่า ๆๆ” หลิวกังหัวเราะอย่างสาแก่ใจ เขาเดินไปข้างหน้าแล้วเตะหอกของนางทิ้งไป จากนั้นก็พาดดาบเข้าที่คอของอู่เหมย นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย ยามกล่าวว่า “โอ้ ดูท่าว่าจะยังเร็วเกินไปสินะ นี่ข้าทำเกินไปหรือเปล่าเนี่ย! ”
เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว เขาก็คว้าขาของอู่เหมยขึ้นมาข้างหนึ่ง
แต่ก่อนที่มือของเขาจะได้แตะขาของอู่เหมย เงาดำพลันปรากฏตัวขึ้นข้างกายหลิวกัง ร่างนั้นเคลื่อนไหวฉับไวและเกินกว่าที่เขาจะตอบสนองได้ทัน ร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้าก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว
“เฮ้ย!?” ไม่ต้องพูดถึงหลิวกังเลย แม้แต่ทหารที่อยู่รอบ ๆ ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าบุคคลนี้มาจากไหน ความแข็งแกร่งของร่างเงานั้นยอดเยี่ยมมาก สามารถพาอู่เหมยออกไปจากที่นี้ตรงได้ทันท่วงที
“จิ๊!” หลิวกังได้สติในบัดดล เขารีบยกดาบในมือขึ้นแทงไปยังร่างเงานั้นซึ่งอยู่ตรงหน้าเขา ในขณะเดียวกัน หนามล่าวิญญาณก็ถูกปลดปล่อยออกมา ด้วยระยะใกล้เช่นนี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังเพียงใด เขาก็ไม่สามารถหลบได้ ในตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าทันใดนั้น ร่าง ๆ นั้นก็ปลดปล่อยหมอกดำออกมาและหายไปในอากาศทันที
“ศาสตร์มืด!” หลิวกังตะโกนด้วยความตกใจ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตะโกนเสียงดัง “ไล่ตามไป! อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้!”
เมื่อเห็นทหารรอบข้างยังยืนนิ่ง หลิวกังก็ตะโกนสั่งด้วยความตื่นตระหนกทันที