บทที่ 191 แม่เฒ่าจางฟ้องร้อง
นายทวารได้ยินเข้าก็รู้ฐานะของแม่เฒ่าจางแล้ว
เมื่อครู่นี้เขาเข้าใจผิดว่าแม่เฒ่าจางเป็นญาติของฮูหยินน้อยเนี่ย เวลานี้พอรู้ฐานะที่แท้จริงของแม่เฒ่าจางแล้ว ยิ่งดูถูกแม่เฒ่าจางขึ้นไปอีก
คนนอกอาจไม่รู้ว่าเนี่ยหย่วนเฉียวแต่งงานแล้ว แต่คนในจวนรู้หมด
แม้นายทวารจะไม่คิดว่านางบ้านนอกนั่นมีความเกี่ยวข้องกับบ้านตัวเอง แต่เวลานี้กลับลำบากใจขึ้นมาจริง ๆ
เขาคิดไปคิดมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ารออยู่นี่แหละ!”
พูดเสร็จนายทวารก็เดินไปด้านใน เขาต้องไปถามความเห็นของฮูหยินและนายท่านเสียก่อน
นายทวารบอกให้แม่เฒ่าจางรออยู่ที่นี่จริง แต่แม่เฒ่าจางจะยอมรออยู่ตรงนี้เฉย ๆ ได้อย่างไร?
เวลานี้นางกังวลว่าฮูหยินเนี่ยและนายท่านเนี่ยจะไม่อยากพบนาง จึงลอบตามหลังนายทวารไปด้วย
มีคนเห็นแม่เฒ่าจางเดินมา แต่เห็นนายทวารเดินนำอยู่ก็คิดว่าคงเป็นคนที่นายท่านและฮูหยินต้องการพบ จึงไม่มีใครสนใจแม่เฒ่าจาง เป็นผลให้แม่เฒ่าจางฉวยโอกาสได้
นายทวารบอกให้สาวใช้ไปแจ้งข่าว แล้วจึงเข้าไปในห้อง
ส่วนแม่เฒ่าจางไม่กล้าเข้าไป จึงยืนแอบฟังอยู่หน้าประตู
บรรดาสาวใช้เหลือบมองแม่เฒ่าจาง แต่ช่วยไม่ได้ที่แม่เฒ่าจางหน้าด้าน นางคิดว่าอย่างไรเสียตัวเองก็เป็นย่าของจางซิ่วเอ๋อ ฐานะต่างจากผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องสนใจสายตาของสาวใช้ไม่กี่คนหรอก
จึงยืนแอบฟังอย่างสง่าผ่าเผย
แม่เฒ่าจางไม่ปกปิดอะไรเช่นนี้ เหล่าสาวใช้ก็ยุ่งมากไม่ได้
เวลานี้นายท่านเนี่ยอยู่กับฮูหยินเนี่ย
นายท่านเนี่ยเป็นชายอายุราวสี่สิบ ดูจากโหงวเฮ้งแล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ไม่มีท่าทีใจดำเหมือนเจ้าของที่
ส่วนฮูหยินเนี่ยเป็นสตรีอายุแค่สามสิบต้น ๆ หน้าตางดงามเปล่งปลั่ง
นายท่านเนี่ยขมวดคิ้วมองนายทวาร
ฮูหยินเนี่ยมองสีหน้าของนายท่านเนี่ยก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่รู้จักดูหน่อยหรืออย่างไร? คนแบบไหนเข้ามาก็มาแจ้งเสียหมดแบบนี้!”
นายทวารสะดุ้งและรีบบอก “เช่นนั้นข้าจะรีบไล่คนผู้นั้นออกไปขอรับ”
แม่เฒ่าจางได้ยินแล้วร้อนใจขึ้นมาทันใด นางผลักประตูพุ่งพรวดเข้าไป
“พวกท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้าอุตส่าห์มาตั้งไกล พวกท่านทำกับข้าแบบนี้ได้อย่างไร!” แม่เฒ่าจางพูดอย่างโมโห
สีหน้าฮูหยินเนี่ยไม่พอใจขึ้นมา นางชำเลืองมองนายทวาร
นายทวารเองก็ตกใจมาก พูดตะกุกตะกัก “ฮูหยิน ข้า….ข้าไม่รู้จริง ๆ ขอรับว่านางตามมา”
“ยังไม่รีบเชิญนางออกไปอีก” สีหน้าฮูหยินเนี่ยย่ำแย่มาก
ตอนที่ฮูหยินเนี่ยพูดคำว่าเชิญ นางเริ่มกัดฟันแล้ว
คนเฉกเช่นฮูหยินเนี่ย ต่อให้ไม่พอใจก็จะรักษามารยาทขั้นพื้นฐานเอาไว้ คำพูดคำจาจึงยังถือว่าสุภาพ
แต่แม่เฒ่าจางจะรู้ได้ที่ไหน นางคิดแค่ว่าฮูหยินเนี่ยไว้หน้าตัวเอง บัดนี้จึงอยู่ในอารมณ์ได้คืบจะเอาศอก
“เชิญอะไรกันเล่า ท่านฟังที่ข้าพูดให้จบก่อน ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะหวังดีกับท่าน เอาข่าวมาบอกพวกท่านหรอกนะ” แม่เฒ่าจางเอ่ยเสียงเย็น
ไม่รอให้ใครถาม แม่เฒ่าจางก็พูดต่อ “ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ถ้าไม่ฟังที่ข้าพูดให้จบ วิญญาณของคุณชายเนี่ยในภพหน้าก็ไม่สงบหรอก”
ฮูหยินเนี่ยยังอยากจะพูดอะไรอีกหน่อยเพื่อไล่นางออกไป
แต่นายท่านเนี่ยได้ยินคำว่าคุณชายเนี่ยก็ชะงักไป ก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่าเพิ่งใจร้อนไป ฟังที่นางพูดให้จบก่อน”
ฮูหยินเนี่ยได้ยินแล้วเผยยิ้ม “ในเมื่อนายท่านเนี่ยให้เจ้าพูดแล้ว เจ้าก็รีบพูดมาเถิด”
แม่เฒ่าจางมองชุดน้ำชาบนโต๊ะ ยกกาน้ำชารินให้ตัวเอง หลังจากดื่มแล้วกินขนมอีกชิ้นถึงปริปากพูด
“คุณชายเนี่ยแต่งงานกับจางซิ่วเอ๋อให้นางเป็นภรรยาแล้ว แม้ว่าคุณชายเนี่ยจะบุญน้อย แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นไม่อาจแย้งได้” แม่เฒ่าจางคิดคำพูดไว้อย่างดีก่อนจะค่อย ๆ เอ่ย
ฮูหยินเนี่ยพูดอย่างไม่พอใจ “ถ้าเจ้ามาเพื่ออ้างสิทธิ์ญาติก็ออกไปเสียเถิด นางนั่นข้าซื้อมาในราคา 10 ตำลึงเงิน บัดนี้ส่งตัวกลับไปให้เจ้าแล้ว ถือว่าพวกเจ้าได้ตำลึงเงินไปเปล่า ๆ”
ฮูหยินเนี่ยหมายความว่า ทั้งสองฝ่ายมีเพียงความสัมพันธ์ซื้อขาย ไม่มีสายใยอะไร
แม่เฒ่าจางไม่สนใจฮูหยินเนี่ย และกล่าวต่อไป “ตอนนี้นางนั่นปีกกล้าขาแข็ง ออกไปตั้งตัวอยู่เองแล้ว ข้าว่าตอนนี้นางยังอยากจะแต่งเข้าตระกูลใหญ่ไปเป็นอนุภรรยาให้เขา ข้าคิด ๆ ดูแล้วจึงมาบอกพวกท่านเสียหน่อย ต่อให้ตระกูลจางของเราทนขายหน้าเช่นนี้ได้ แต่พวกท่านมีชื่อเสียงใหญ่โต คงจะทนขายหน้าเช่นนี้ไม่ไหวหรอก”
ฮูหยินเนี่ยได้ยินมาถึงตรงนี้แล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน
นางไม่ได้แยแสอะไรจางซิ่วเอ๋อ เรียกได้ว่าจางซิ่วเอ๋อไม่อยู่ในสายตานางเลยด้วยซ้ำ
แต่แม่เฒ่าจางมาพูดขนาดนี้ต่อหน้าแล้ว จะให้นางไม่ทำอะไรเลยคงไม่ได้
“เจ้าเป็นย่าของจางซิ่วเอ๋อไม่ใช่รึ เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับพวกเราทำไมกัน” ฮูหยินเนี่ยถาม
แม่เฒ่าจางเอ่ย “ข้าเป็นย่าของนาง แต่ข้าทนดูนางทำตัวผิดธรรมเนียมเช่นนี้ไม่ได้ นางจะแย่แค่ไหนแต่ก็ยังเป็นคนของตระกูลเนี่ย จะไปแต่งงานใหม่นั้นน่าขายหน้าสิ้นดี มิหนำซ้ำจะแต่งเข้าตระกูลใหญ่ด้วย หากใครรู้เข้าว่าอดีตฮูหยินน้อยของตระกูลเนี่ยเป็นอนุภรรยาให้ผู้อื่น พวกท่านก็คงทนอับอายไม่ได้หรอกจริงไหม?”
ที่จริงเรื่องนี้มองออกได้ง่ายมาก
พวกเขาตระกูลเนี่ยไม่เห็นจางซิ่วเอ๋ออยู่ในสายตาเลยสักนิด แต่แม่เฒ่าจางจะเกาะขึ้นไปให้ได้
ถ้าตระกูลเนี่ยไม่ทำอะไร ก็เหมือนจะต้องขายหน้าจริง ๆ
โดยเฉพาะนายท่านเนี่ยที่ได้ยินแล้วสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด
“เหลวไหลสิ้นดี! ผู้หญิงตระกูลเนี่ยของเราไม่เคยแต่งงานใหม่มาก่อน!” นายท่านเนี่ยไม่พอใจมาก ไม่พอใจสุด ๆ
เขาและฮูหยินเนี่ยคิดต่างกัน ตอนที่ฮูหยินเนี่ยตัดสินใจเลือกจางซิ่วเอ๋อเป็นสะใภ้ ก็เป็นเพราะจางซิ่วเอ๋อขึ้นชื่อเรื่องนิสัยอ่อนแอปวกเปียกในละแวกนี้ ควบคุมจัดการง่าย
เรียกใช้เวลาจำเป็นได้ ไม่จำเป็นแล้วจะเขี่ยทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ตอนที่คุณชายเนี่ยแต่งงาน นายท่านเนี่ยไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขาเห็นจางซิ่วเอ๋อเป็นลูกสะใภ้ของตัวเองจริง ๆ
ส่วนเรื่องที่ส่งตัวจางซิ่วเอ่อไปในภายหลังก็เพราะเขาเสียใจเกินไปจนไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ จึงปล่อยให้ฮูหยินเนี่ยตัดสินใจแทน
“นายท่านเนี่ยเจ้าคะ ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้” แม่เฒ่าจางก็ดูออกว่าหลังจากทราบเรื่อง นายท่านเนี่ยโมโหกว่าฮูหยินเนี่ยอย่างเห็นได้ชัด
นายท่านเนี่ยกล่าวเสียงเย็น “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องยุ่ง”
ฮูหยินเนี่ยเห็นสภาพของแม่เฒ่าจางในตอนนี้แล้วพะอืดพะอมจริง ๆ และไม่อยากพูดคุยกับคนหยาบคายเช่นนี้ จึงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ พวกเรารู้แล้ว อีกหน่อยจางซิ่วเอ๋อก่อเรื่องขึ้นมาเจ้าจะไม่ถูกดึงลงน้ำมาด้วย เจ้าสบายใจได้ กลับไปเถิด”
ฮูหยินเนี่ยคิดว่าที่แม่เฒ่าจางมานี่เพราะกังวลว่าตระกูลเนี่ยจะพาลโมโหนางเพราะเรื่องของจางซิ่วเอ๋อ จึงพูดแบบนั้นออกไป
แม่เฒ่าจางรู้ว่าตัวเองบรรลุเป้าหมายแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่ค่อยอยากไป
นางยังไม่ทันได้ดูดี ๆ เลยว่าบ้านคนรวยเป็นอย่างไร จะไปทั้งแบบนี้ได้อย่างไรกัน?