บทที่ 213 แลกกับสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ
เนี่ยเฟิ่งหลินเห็นของกำนัลแล้วก็มีดวงตาเป็นประกาย พร้อมเอ่ยยิ้ม ๆ “ชอบสิชอบ ยังมีชีวิตอยู่ด้วย เลี้ยงไว้ก่อนก็ได้”
เข้าฤดูหนาวแล้วขนของตัวจื่อเตียวจะนุ่มฟูเป็นพิเศษ
“ข้าชอบของกำนัลนี่มาก ขอรับไว้แล้วกัน” เนี่ยเฟิ่งหลินพอใจกับของขวัญที่เขาให้มามาก
“มีตัวเดียวที่เป็นของกำนัลขอรับ” เนี่ยหย่วนเฉียวพูดด้วยท่าทางจริงจัง
เนี่ยเฟิ่งหลินเหลือบมอง “แล้วอีกตัวหนึ่งเจ้าเอามาทำอะไรล่ะ?”
ถ้าไม่ใช่ว่ารู้จักนิสัยทึ่มทื่อของหลานชายคนนี้ดี นางก็อยากจะโยนเนี่ยหย่วนเฉียวออกไปจริง ๆ
“อีกตัวหนึ่ง ข้าอยากเอามาแลกของบางสิ่งกับท่านอา” เนี่ยหย่วนเฉียวกล่าว
“ในจวนข้ามีอะไรที่เจ้าไม่หยิบไปเองบ้าง เหตุใดตอนนี้ถึงอยากเอาของมาแลกล่ะ?” เนี่ยเฟิ่งหลินแปลกใจนิดหน่อย
“ข้าอยากแลกกับจานฝนหมึกชิงโม่ของท่านอา กระดาษ แล้วก็พู่กันขนหมาป่าขอรับ” เนี่ยหย่วนเฉียวบอก
ของเหล่านี้ไม่ใช่ของล้ำค่าแต่อย่างใด ทว่าหายากมาก ที่สำคัญคือหาซื้อในพื้นที่เล็ก ๆ แบบนี้ไม่ได้เลย ต้องไปซื้อถึงเมืองหลวงที่มีบรรดาบัณฑิตอาศัยอยู่
โดยเฉพาะกระดาษ เป็นกระดาษฟางข้าวชั้นดี จรดพู่กันแล้วหมึกไม่เปรอะเปื้อนหรือว่าซีดจาง
ปกติมีแต่ลูกหลานคนมีเงินเท่านั้นถึงจะใช้ของแบบนี้
เนี่ยเฟิ่งหลินหัวเราะ “ข้าก็นึกว่าของอะไร เจ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ แต่เจ้าต้องบอกข้ามาว่าทำไมถึงต้องนำสิ่งของมาแลก?”
“ข้าจะยกให้คนอื่นขอรับ” เนี่ยหย่วนเฉียวพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
เนี่ยหย่วนเฉียวเป็นคนมีหลักการมาก หากเขาเป็นคนใช้ของของท่านอา จะใช้ไปเท่าใดก็ใช้ได้ อีกหน่อยค่อยตอบแทนบุญคุณก็ไม่สาย
แต่หากจะนำไปให้คนอื่น เขาไม่มีทางเอาของของผู้อื่นไปให้หรอก
เวลานี้จึงเลือกใช้วิธีแลกเปลี่ยน
เห็นได้ชัดว่าเนี่ยเฟิ่งหลินรู้จักหลานชายคนนี้ของตัวเองดีมาก ไม่ได้งุนงงอะไรกับการกระทำนี้ แต่นางก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “กระดาษ หมึก พู่กัน จานฝนหมึกพวกนี้ เจ้าจะนำไปให้ใครรึ?”
ตอนนี้เถี่ยเสวียนเดาได้แล้วว่าเนี่ยหย่วนเฉียวจะนำไปให้ใคร
เขาอยากจะเงยหน้าถอนหายใจใส่สวรรค์ด้วยความเหนื่อยใจเหลือเกิน!
ตัวเองตามเจ้านายออกมาด้วยความตื่นเต้น คิดว่าจะได้ช่วยเจ้านายทำการใหญ่เสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าเจ้านายเหนื่อยมาตั้งเยอะ แค่เพราะต้องการมอบสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือให้จางซิ่วเอ๋อเท่านั้นหรือนี่!
แม้เนี่ยหย่วนเฉียวจะไม่ตอบ แต่เถี่ยเสวียนมั่นใจแล้วว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นทำไมเจ้านายตัวเองเพิ่งพูดเรื่องฝึกเขียนหนังสือบนกระดาษกับจางซิ่วเอ๋อไปก็รีบร้อนออกมาล่าจื่อเตียวเพื่อมาทำการแลกเปลี่ยนกับคุณหนูเฟิ่งหลินกันเล่า?
เจ้านายของเขามือไวไปหน่อยกระมัง?
เนี่ยหย่วนเฉียวไม่ตอบเนี่ยเฟิ่งหลิน แต่เห็นได้ชัดว่าเนี่ยเฟิ่งหลินไม่พอใจนิดหน่อย “เจ้านี่นะ ยิ่งโตความลับยิ่งเยอะ ตอนนี้คบสหายแบบไหนอยู่ก็ไม่ให้อารู้เลยหรือ?”
พูดไป เนี่ยเฟิ่งหลินก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงตรงขอบตา
เนี่ยหย่วนเฉียวชินกับท่าทางแบบนี้ของเนี่ยเฟิ่งหลินแล้ว ขณะนี้เขามีสีหน้าไร้ความรู้สึกและไม่สะทกสะท้าน
เถี่ยเสวียนกลับเป็นคนที่ร้อนใจเมื่อได้เห็น “คุณหนูรอง….”
เนี่ยเฟิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เถี่ยเสวียน เจ้าพูดซิ…..”
เถี่ยเสวียนวู่วามขึ้นมาและปริปาก “เอาไปให้จางซิ่วเอ๋อขอรับ”
เนี่ยเฟิ่งหลินได้ฟังแล้ววางแขนเสื้อลงทันที สายตายิ้มแย้ม ไม่เหลือเค้าความเสียใจเมื่อครู่แม้แต่น้อย
เนี่ยหย่วนเฉียวมองเถี่ยเสวียนด้วยสายตาอันตรายจนเถี่ยเสวียนเสียวสันหลังวาบ เมื่อครู่นี้เขาพูดอะไรผิดไปเหรอ?
เนี่ยเฟิ่งหลินตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที “ข้าว่าแล้วว่าเจ้าปฏิบัติต่อเด็กคนนั้นแตกต่างออกไป ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ดั้นด้นมาตามข้าไปช่วยนางหรอก ที่เอาของไปให้คราวนี้ก็เพื่อเอาใจสาวงามรึ?”
“ถึงแม้แม่หนูนั่นจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อยไปหน่อย แต่ข้าพอใจในตัวนางมาก ถ้าเจ้าชอบแม่หนูคนนั้นข้าก็ไม่ขัดขวางหรอก ส่วนบิดาเจ้า…..อย่างไรเสียเขาก็คิดว่าเจ้าตายไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไร” เนี่ยเฟิ่งหลินในตอนนี้เริ่มช่วยเนี่ยหย่วนเฉียววิเคราะห์สถานการณ์แล้ว
เถี่ยเสวียนเห็นท่าทางแบบนี้ของเนี่ยเฟิ่งหลินก็รู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางเสียแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นเนี่ยเฟิ่งหลินเสียใจ เขาก็ต้องตกหลุมพรางครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอดไม่ได้….
เนี่ยหย่วนเฉียวเอ่ยเสียงเข้ม “ท่านอา ข้าไม่ได้คิดเป็นอื่นกับนาง แต่เป็นเพราะข้าติดหนี้นางอยู่ หากไม่ใช่เพราะข้า นางก็จะคงเลือกสามีที่ดีได้และใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ไม่ต้องมามีชีวิตที่ลำบากลำบนเช่นนี้”
พอคิดถึงเรื่องที่หญิงสาวบอบบางอย่างจางซิ่วเอ๋อต้องหลบไปอยู่ในบ้านผีสิงเพื่อหนีจากคำพูดนินทาว่าร้ายของผู้อื่น มิหนำซ้ำยังต้องดูแลเลี้ยงดูน้องสาวสองคนของตัวเองแล้ว เนี่ยหย่วนเฉียวก็ทรมานใจมาก
เนี่ยเฟิ่งหลินยิ้มจาง ๆ “ข้ารู้ ว่าเจ้าไม่ได้คิด ‘เป็นอื่น’ กับนาง”
พูดมาถึงตรงนี้ เนี่ยเฟิ่งหลินก็ตั้งใจย้ำคำว่า ‘เป็นอื่น’
เนี่ยหย่วนเฉียวรู้ดีว่าเนี่ยเฟิ่งหลินต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด เขาขยับปากอยากจะอธิบาย แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองพูดกับท่านอามากแค่ไหนก็อธิบายได้ไม่กระจ่างหรอก
เนี่ยเฟิ่งหลินเป็นคนที่ต่อกรด้วยได้ยากที่สุดในตระกูลเนี่ยแล้ว
เถี่ยเสวียนฟังไปฟังมาก็เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาเหมือนกัน
เขาจึงแสดงความคิดเห็นของตัวเองทันที “คุณหนูรอง ท่านอย่าได้จับคู่มั่วซั่วนะขอรับ ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ ว่าเจ้านายไม่ชอบคนที่ฮูหยินเนี่ยพามามากที่สุด”
เนี่ยเฟิ่งหลินยิ้มและมองเถี่ยเสวียน น้ำเสียงแฝงแววตักเตือน “เถี่ยเสวียน เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าเจ้ากล้าแทรกแซงเรื่องนี้จนหย่วนเฉียวต้องเสียภรรยาไป…..ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
เถี่ยเสวียนหัวเราะแห้ง ๆ “จะทำแบบนั้นได้อย่างไรเล่า ไม่มีทางหรอกขอรับ”
เวลานี้ก็มีคนนำของเข้ามาให้แล้ว
เนี่ยเฟิ่งหลินหัวเราะเบา ๆ “เอาเถอะ ถ้าพวกเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็รีบไปเสีย หย่วนเฉียว เจ้าอย่าทำให้ความหวังของข้าต้องเสียเปล่านะ มีเวลาก็พาภรรยากับบุตรกลับมาให้ข้าเจอบ้าง”
สีหน้าเนี่ยหย่วนเฉียวแข็งทื่อไปเล็กน้อย หยิบของและหันหลังจากไปทันที
เสียงหัวเราะสะใจของเนี่ยเฟิ่งหลินดังตามมาด้านหลัง
เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้ว เนี่ยเฟิ่งหลินจึงมองจื่อเตียวและคลี่ยิ้ม “น่าสนใจจริง ๆ เป็นครั้งแรกที่เห็นหย่วนเฉียวใส่ใจใครสักคนขนาดนี้”
ภาพพจน์ของจางซิ่วเอ๋อในใจนางดูไม่แย่ แต่คำพูดที่ยอมรับในตัวจางซิ่วเอ๋อเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้พูดด้วยความจริงจังแต่อย่างใด
นางแค่รู้สึกว่านาน ๆ จะได้เห็นเนี่ยหย่วนเฉียวลนลานเพราะคนนอก จึงตั้งใจหยอกเนี่ยหย่วนเฉียว
ส่วนจะให้เนี่ยหย่วนเฉียวยอมรับจางซิ่วเอ๋อเป็นภรรยาจริง ๆ หรือไม่นั้น ในใจของนางไม่ได้มั่นใจอย่างที่ปากนางว่า
ตอนที่จางซิ่วเอ๋อตื่นมาทำอาหารเช้า เนี่ยหย่วนเฉียวและเถี่ยเสวียนยังไม่กลับมา
จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมา จึงไม่ได้เตรียมอาหารเช้าให้ทั้งสอง
ถ้าอีกเดี๋ยวทั้งคู่กลับมา ค่อยอุ่นอาหารให้จะได้ไม่ยุ่งยากมาก อย่างไรเสียเนี่ยหย่วนเฉียวและเถี่ยเสวียนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เปล่า ๆ นางจะเหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร
พอคำนวณดูดี ๆ ตั้งแต่เนี่ยหย่วนเฉียวและเถี่ยเสวียนมาอยู่ที่นี่ นางประหยัดเงินค่าซื้อเนื้อไปได้ไม่น้อย และในทุก ๆ วันก็มีอาหารป่าสดใหม่ให้กินไม่ซ้ำอย่าง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทุ่มเทให้เขาขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคะว่าชอบเขา ขนาดท่านอามองยังรู้เลย
ไหหม่า(海馬)