บทที่ 303 เรื่องไร้สาระร้ายแรง
“จังเฟิงหลิง บาดแผลนายหายแล้วเหรอ” ฉู่ชวิ๋นเล่นหูเล่นตาใส่เขา
จังเฟิงหลิงแทบคลั่ง คน ๆ นี้นี่พูดแต่เรื่องที่ไม่ควรพูดจริง ๆ อีกอย่าง เขากำลังคุยกับหยานหวูซวงอยู่ ใครคุยกับแกหะ
เขาเมินคำพูดของฉู่ขวิ้น แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ฉู่ชวิ๋นก็ไม่กระอักกระอ่วน พูดกับคนอื่น ๆ ข้างกายจังเฟิงหลิง “พวกนายนี่จริง ๆ เลยนะ คุณชายจังบาดเจ็บอยู่พวกนายยังจะให้เขาฝ่าหิมะออกมา ไม่จงรักภักดีเอาซะเลย ถ้าเขาบาดเจ็บหนักตายอยู่กลางทางดูซิว่าพวกนายจะทำยังไงตอนทางตระกูลยังไง”
เอิ่ม
ลูกน้องของจังเฟิงหลิงงุนงงไปหมด ไอ้นี่ปากร้ายจริงๆ
“แกไม่ต้องห่วงหรอก บาดแผลของฉันหายดีแล้ว” จังเฟิงหลิงพูดทั้งที่กัดฟันกรอด
ฉู่ชวิ๋นตะลึงสุด ๆ “ร่างกายคุณชายจังนี่แข็งแกร่งดุจควายเผือกจริง ๆ มิน่าล่ะไปไหนก็ต้องพกผู้หญิงไปด้วย 2 คน”
ประโยคเดียวแทบทำจังเฟิงหลิงบาดเจ็บภายใน เขาเรียกว่าแข็งแกร่งดุจกระทิงโว้ย มีความรู้บ้างไหมเนี่ย อีกอย่าง 2 คนนั้นเป็นสาวใช้ของเขา ถูกแล้วที่จะหลับนอนด้วย มีปัญหาตรงไหนกัน
เขาสาบานว่าต้องเมินฉู่ชวิ๋นจริง ๆ ไม่งั้นอาจโมโหจนกระอักเลือดตายได้
“พี่หยาน พวกเราจับกลุ่มไปด้วยกัน พี่ว่าไง” จังเฟิงหลิงเอ่ยปากอีกครั้ง
ในใจหยานหวูซวงไม่อยากให้อีกฝ่ายไปด้วยเลย จังเฟิงหลิงมาขอร่วมทางต้องไม่หวังดีแน่ ๆ เขามองฉู่ชวิ๋นด้วยสัญชาตญาณ
“ยังไงก็ได้ คุณชายจังมีอารมณ์สุนทรีย์อยากจะเที่ยวเล่นกับเรา ฉันเต็มใจสุดๆ” ฉู่ชวิ๋นเอ่ย
“ในเมื่อพี่จังอยากไปด้วย ก็มาด้วยกันเถอะ” หยานหวูซวงกล่าวเมื่อเห็น
ฉู่ชวิ๋นไม่ว่าอะไร
จังเฟิงหลิงดูหมิ่นหยานหวูซวงในใจ เป็นถึงนายน้อยตระกูลหยาน ยอดฝีมือที่ชื่อเสียงเทียบเคียงกับฉัน แต่จะทำอะไรกลับขอความเห็นจากไอ้คนบ้านนอก น่าขายหน้าจริงๆ
คน 2 ฝ่ายที่คิดต่างกันในใจรวมตัวกัน เริ่มการเดินทางที่แสนมหัศจรรย์
จังเฟิงหลิงกลับไม่รู้สึกถึงความมหัศจรรย์ รู้สึกโมโหมากกว่า
เดินไปได้เป็นเวลา 1 ก้านธูป จู่ ๆ ก็มีหมูป่าตัวหนึ่งพุ่งออกมา ตัวใหญ่เท่าหัวรถไฟ เขี้ยวคมขนแข็ง
หมูป่าตัวนี้ก็คงคิดไม่ถึงว่าจะพุ่งออกมาเจอคนมากมายขนาดนี้ ตกใจจนหันหลังหนีไปทันที
สุดท้ายฉู่ชวิ๋นไล่ตามไปฟาดฝ่ามือใส่จนหัวมันกระจุย ดูเหมือนหมูป่าตัวนี้จะเพิ่งเป็นขั้นจักรพรรดิได้ไม่นาน ถูกซากโบราณสถานดึงดูดมาถึงที่นี่ ตั้งใจจะมาหาโอกาศวาสนาทะลวงระดับพลัง แต่ไม่ทันจะได้สร้างชื่อก็ดันมาตายซะก่อน เพราะฉู่ชวิ๋น
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิตระกูลหยานทั้ง 4 คนเคยกินของดีมา คราวนี้รู้ว่าจะมีลาภปากอีกแล้ว จึงออกตัวผ่าฟืนก่อไฟ ตัดขา 4 ข้างของหมูป่า ถอนขน ลอกหนัง ล้างทำความสะอาด ทุกอย่างดำเนินการอย่างเป็นระเบียบ
แจ๊บ
เนื้อหมูป่าสีทองมีน้ำมันไหลติ๋งออกมาไม่หยุด กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทำให้คนได้กลิ่นรู้สึกอยากอาหาร
พวกจังเฟิงหลิงมองด้วยท่าทางอึ้งๆ ทำไมรู้งานขนาดนี้ล่ะ ถ้าไม่รู้จักพวกนี้คงคิดว่าพวกมันมาปิ้งย่างกันจริง ๆ
พวกฉู่ชวิ๋นนั่งลงกับพื้น ขาหมูป่าทั้ง 4 ข้างที่ใหญ่ราวเสาหินโดนแบ่งเป็น 7 ส่วนอย่างไม่เป็นระเบียบ อันที่เล็กที่สุดหนัก 10 กว่ากิโลได้
ครั้งนี้แม้แต่ผู้หญิงผมม่วงก็ไม่ปฏิเสธ เข้าร่วมวงสวาปามด้วย
ทั้ง 7 คนกินกันอย่างมีความสุข จังเฟิงหลิงแค่มองก็รู้สึกหิวตามแล้ว
“คุณชายจัง พวกนายก็อย่าอยู่เฉยสิ หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้พวกเรากินไม่หมดหรอก” ฉู่ชวิ๋นบอกแบบพูดไม่ชัด
แต่พวกเขาทุกคนเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ฐานะสูงส่ง เคยทำอะไรแบบนี้ที่ไหน
ทุกคนจ้องหน้ากันไปมา
“บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ฉันอยากแต่งบทกวี” ฉู่ชวิ๋นทำปากจ๊อบแจ๊บก่อนจะพูดเสียงสูง “ว้าว ภูเขาเลากาแห่งนี้สวยงามราวภาพวาด จู่ ๆ มีหมูพุ่งออกมาเป็นฝูง ตีตายตัวหนึ่งนำมาย่างกิน ว้าว คนกิน หมามอง อยากกินจนตาเหลือก ว้าว”
“หุบปาก” ผู้หญิงผมม่วงทนไม่ไหวแล้ว ไม่น่าฟังสุด ๆ นี่มันทำลายหูชัด ๆ
“ตะโกนทำไม อารมณ์นักกวีโดนเธอทำลายหมดแล้ว” ฉู่ชวิ๋นไม่พอใจ เขามองหยานหวูซวง “พี่หยาน คิดว่าบทกวีของฉันเป็นยังไง”
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 ตระกูลหยาน 4 คนไหล่สั่นพั่บๆ นี่เรียกว่ากวีได้เหรอ ไม่มีอะไรสัมพันธ์สักอย่าง แต่การหลอกด่าจังเฟิงหลิงก็ทำให้พวกเขาสะใจอยู่มากโข
หยานหวูซวงมุมปากกระตุก นี่เรียกว่ากวีเหรอ เขาบอกยิ้มๆ “พี่หลิวช่างมีความสามารถ บทกวีสุดยอด”
“ธรรมดาๆ ฉันก็แค่เก่งกว่าหลี่ไป๋* ตู้ฝู่*นิดหน่อยเท่านั้น” ฉู่ชวิ๋นเอ่ย
(2 นักกวีในตำนานของประเทศจีน)
พวกจังเฟิงหลิงโกรธจนจมูกแทบเบี้ยว หลอกด่าพวกเขาว่าเป็นหมูเป็นหมา แล้วยังกล้าบอกว่าตัวเองเก่งกว่าหลี่ไป๋ ตู้ฝู่ พวกเขาตดยังเพราะกว่าบทกวีของแกอีก ไอ้บัดซบ
“คุณชายจัง คิดว่าบทกวีของฉันเป็นยังไง” ฉู่ชวิ๋นหันไปมองจังเฟิงหลิง “ตอนนี้ฉันมีรัศมีความเป็นนักปราชญ์กระจายออกจากตัวใช่ไหม”
จังเฟิงหลิงอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้าเขา หน้าด้านจริงๆ เขาหัวเราะเย็นๆ ก่อนจะสั่งลูกน้องไปหั่นเนื้อจากตัวหมูป่ามา
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิตระกูลจังจัดการอย่างทุลักทุเล ใช้เวลาตั้งนานถึงเตรียมย่างได้ ในที่สุดก็คีบเนื้อไปย่างบนไฟ
“อิ่มแล้ว” ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
พวกหยานหวูซวงก็พากันลุกขึ้น
“คุณชายจัง นายค่อย ๆ กินไปนะ พวกเรากินจนจุก ขอไปเดินย่อยก่อน” ฉู่ชวิ๋นบอกยิ้มๆ
ใบหน้าของจังเฟิงหลิงดำคร่ำเครียดอย่างกับก้นหม้อ เนื้อของพวกเขาเพิ่งจะได้ย่าง อีกอย่าง พวกนายเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิต้องเดินย่อยด้วยเหรอ
ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็เดินเข้าหุบเขาด้วยท่าทางสบายๆ
“พี่จัง พวกเราไปก่อนนะ พวกนายค่อยๆกิน เนื้อหมูป่านี่รสชาติไม่เลวจริงๆ”
มองพวกฉู่ชวิ๋นที่เริ่มเดินไปไกลแล้ว จังเฟิงหลิงโมโหจนเตะเนื้อหมูป่าที่เพิ่งย่างออกไปไกลหลายร้อยเมตร
“นายน้อย พวกเราเอายังไงดี”
“ตามพวกเขาไป หยานหวูซวงรู้จักซากโบราณสถานมากกว่าฉัน”
ทั้งกลุ่มคอตามหลังพวกหยานหวูซวง
เดินทางมาเรื่อยๆมีจักรพรรดิอสูรบุกมาโจมตีตลอด และก็มีศพคนโดนทิ้งไว้กลางป่ากลางเขา
สงสัยอิทธิพลด้านหน้านี้จะอ่วมน่าดู
“พี่หยาน วันนี้อารมณ์นักกวีฉันมาเต็ม อยากจะท่องอีกสักบท” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
“พี่หลิว ฉันขอร้องล่ะ ปล่อยหูของพวกเราไปเถอะ อย่าโกรธที่คำพูดฉันไม่เข้าหูเลยนะ แต่พี่ไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ ฉันกลัวว่าพี่จะล่อหมาป่าตัวเมียเข้ามา” ได้ยินว่าฉู่ชวิ๋นจะท่องกวีอีกบท หยานหวูซวงหัวแทบระเบิด
ฉู่ชวิ๋นเหล่มองเขาด้วยความเซ็ง “นายไม่รู้จักชื่นชมเอาซะเลย เมื่อกี้นายยังชมว่าบทกวีของฉันสุดยอดอยู่เลย อีกอย่าง ฉันรู้สึกว่าปากนายนี่ร้ายใช้ได้”
“ฉันก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น” หยานหวูซวงบอก “ไม่เชื่อพี่ถามพวกเขาสิ พี่ขาดความสามารถด้านนี้จริงๆ”
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอีก 4 คนพยักหน้าจากใจจริง พวกเขาก็ไม่อยากให้หูโดนทำร้าย
“ไป๊ๆ ทำร้ายจิตใจคนอื่นชะมัด แถวบ้านฉันนี่นับว่าเป็นคนมีความสามารถและมีชื่อเสียงเลยนะ พวกเขาบอกว่าฉันถือปากกาเป็นราชา
นักปราชญ์ ขึ้นหลังม้าเป็นราชานักรบ ขึ้นเตียงจำเมียได้ ลงเตียงจำรองเท้าได้”
หยานหวูซวงหัวเราะพรืด “ฉันมันว่าไม่เท่าไหร่จริง ๆ นะ แถวบ้านนายคงจะมีนายคนเดียว”
ฉู่ชวิ๋นทำท่าจะตี หยานหวูซวงรีบกระโดดไปข้างๆ “หยานหวูซวง ฉันรู้สึกว่านายนี่นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ”
“พี่หลิว เทียบกับพี่ไม่ได้หรอก” หยานหวูซวงเอ่ย
ทั้ง 2 ทะเลาะกันไม่หยุด แต่มิตรภาพแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ
ความจริงหยานหวูซวงอยากจะคบฉู่ชวิ๋นเป็นเพื่อนจริงๆ จึงพยายามร่วมมือกับเขา ส่วนฉู่ชวิ๋นตอนนี้ยังเป็นหลิวเทียนเหอ จีงต้องรักษาภาพลักษณ์ปากเสียเอาไว้
“ด้านหน้ามีคน” น้อยครั้งที่ผู้หญิงผมม่วงจะพูด ทุกครั้งก็พูดเพื่อเตือนทุกคน
ฉู่ชวิ๋นแกล้งแซว “ท่าทางทุกคนฉลาดขึ้นกันหมดแล้ว ไม่มีใครอยากเป็นไอ้โง่นำทาง”
“พวกเราก็เป็นไอ้โง่ไปครั้งนึงนี่” หยานหวูซวงพูดถึงตอนแรกที่สังหารวานรหิมะ แย่งชิงผลพิเศษ
“นั่นมันนาย ถ้าไม่ใช่ฉันห้ามเอาไว้ นายได้เป็นไอ้โคตรโง่แน่ ๆ ดีนะที่ฉันฉลาด” ฉู่ชวิ๋นถากถางเขา
“…..” หยานหวูซวงหมดคำพูดสุดๆ
“สหายด้านหน้า พวกนายเตรียมลอบโจมตีพวกเราอยู่เหรอ” ฉู่ชวิ๋นแหกปากตะโกน
หยานหวูซวงหมดคำพูดอีกครั้ง สร้างเรื่องสร้างราวให้ตัวเองแบบนี้ก็ได้เหรอ
เงาของ 10 กว่าคนโผล่ออกมาจากหลังหิน คนของหอคอยอาภรณ์ม่วง ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ฝึกวิชาอะไรมา สีหน้าซีดเผือด แต่ปากเป็นสีม่วงเข้ม ดูแล้วน่าพิศวงมาก
“คุณชายหยาน” คนที่ดูแล้วเป็นหัวหน้าพูดขึ้น พลังภายในที่ออกจากร่างไม่ด้อยไปกว่าหยานหวูซวง
ก็จริง จะมาชิงโอกาสวาสนาไม่มีฝีมือได้ยังไง
“หอคอยอาภรณ์ม่วง” หยานหวูซวงเอ่ย
“คุณชายหยานมาถึงที่นี่ก่อน ทำไมไปอยู่ด้านหลังได้ซะล่ะ” เขาเองก็เพิ่งคิดได้ไม่นาน แต่ราคาที่ทำให้คิดได้ออกจะแพงไปหน่อย ชีวิตของเหล่ายอดฝีมือหลายคนถูกสังเวยไปเพราะแผนของหยานหวูซวง?
ใบหน้าของหยานหวูซวงเย็นยะเยือกลง “คำพูดสหายนี่แปลกนะ หรือว่านายส่งคนมาจับตาดูฉันตลอด”
“คุณชายหยานพูดเป็นเล่น แค่ลูกน้องฉันเห็นคุณชายหยานฝ่าหิมะออกมาโดยบังเอิญ และทางเดียวกับพวกเราพอดีจึงแปลกใจเท่านั้น” อีกฝ่ายบอกเรียบๆ
“อย่างนี้นี่เอง” หยานหวูซวงมองหน้าพวกเขา “พวกนายก็มาเที่ยวเล่นที่นี่เหรอ”
“เที่ยวเล่น?” อีกฝ่ายงุนงงนิดหน่อย
“ใช่ ได้ข่าวว่าที่นี่ทิวทัศน์สวยราวภาพวาด ดูแล้วต้องตาต้องใจ พวกเราจึงมาเที่ยวเล่นแกมปื้งย่าง เริ่มการเดินทางอันปุบปับ ผ่อนคลายอารมณ์ หลอมรวมกับธรรมชาติให้จิตใจสบาย”
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ 4 คนของตระกูลหยานอ้าปากค้างด้วยความตะลึง แย่แล้ว นายน้อยตัวเองโดนหลิวเทียนเหอพาเสียคนซะแล้ว ไอ้การพูดเหลวไหลด้วยท่าทีจริงจัง แบบนี้มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำกัน!!
คนของหอคอยอาภรณ์ม่วงมีสีหน้างุนงง ก่อนจะมีท่าทีไม่พอใจ
“คุณชายหยานหลอกพวกเราเล่นเหรอ” คนชุดม่วงที่เป็นหัวหน้าสายตาอึมครึม
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง” หยานหวูซวงโบกมือ “จังเฟิงหลิงแห่งตระกูลจังตามหลังพวกเรามา นายจะถามเขาก็ได้ เจอกันเมื่อกี้พวกเราเลี้ยงเนื้อหมูป่าพวกเขาด้วย”
จังเฟิงหลิงอยู่ด้านหลังเหรอ คนชุดม่วงที่เป็นหัวหน้าแววตาเป็นประกายบางอย่างก่อนจะประสานมือและกล่าวขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไม่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของคุณชายหยานแล้ว พวกนายเชิญก่อนเลย ทิวทัศน์ด้านหน้าเป็นที่ต้องตาต้องใจยิ่งกว่านี้อีก”
สิ้นเสียงเขาก็เห็นว่าฉู่ชวิ๋นที่อยู่ข้างหยานหวูซวงกำลังจ้องเขาเขม็ง สายตานั้นราวกับมองสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดอยู่
เขาตรวจดูเสื้อผ้า ก็ไม่มีตรงไหนผิดปกตินี่
“สหายท่านนี้ มีตรงไหนผิดปกติรึเปล่า” เขาพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นก้าวไปด้านหน้า 2 ก้าวและจ้องเขาเขม็ง พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก
“นายซื้อลิปสติกที่ไหน”
เอิ่ม
คนชุดม่วงอึ้งกิมกี่
อย่าว่าแต่คนของหอคอยอาภรณ์ม่วงเลย แม้แต่พวกหยานหวูซวงยังอึ้ง
ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าไอ้นี่มีวิชารนหาที่ตายสูงมาก
คนชุดม่วงที่เป็นหัวหน้ารู้สึกว่าฉู่ชวิ๋นล้อเลียนเขา คนตาดีดูออกหมดแหละว่าพวกเขาไม่ได้ทาลิปสติกอะไรสักหน่อย
“ทำไมเหรอ” ฉู่ชวิ๋นไม่รู้สึกตัวเลยว่าพูดอะไรผิด “ลิปสติกนี่เท่าไหร่เหรอ ฉันอยากซื้อให้ศิษย์น้องฉันแท่งนึง”
คนของหอคอยอาภรณ์ม่วงแทบจะพ่นไฟออกจากตา ผู้หญิงผมม่วงก็กัดฟันกรอด
“แต่บอกตามตรงนะ ลิปสีม่วงไม่เหมาะกับพวกนาย ลูกผู้ชายมาทาลิปสติก น่าเกลียดมาก ๆ เลิกเถอะนะ ฉันแนะนำให้ไม่คิดเงิน”