ด้วยการเลือกของกู่ฉิงซาน การ์ดใบอื่นทั้งหมดบนหน้าต่างระบบจุดกำเนิดหายไป เหลือไว้เพียงการ์ดสีทอง
แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กเริ่มอธิบาย
“โปรดทราบ”
“สำหรับท่าน กองการ์ดเชื่อมั่นคือเสาหลักเดียวที่สามารถแบกรับพลังผู้สร้างโลกดินเอาไว้ได้”
“นี่คือการ์ดสีทอง พลังที่อยู่ข้างในนั้นเกินกว่าจะจินตนาการ ถ้าท่านเลือกการ์ดใบนี้ ท่านจะไม่สามารถจั่วการ์ดใบอื่นได้”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าจะเลือกการ์ดใบนี้”
ว่าไปนั่น นี่การ์ดสีทองเชียวนะ
เสี่ยวซีเคยบอกว่าเหนือการ์ดมรกตคือการ์ดสีน้ำเงิน เหนือการ์ดสีน้ำเงินคือการ์ดสีม่วงเข้ม เหนือการ์ดสีม่วงเข้มคือการ์ดสีทอง
การ์ดมรกตหลายพันใบรวมกันยังไม่มีค่าเทียบเท่าการ์ดสีทองหนึ่งใบ!
ถึงแม้การ์ดใบนี้จะใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง แต่กู่ฉิงซานเข้าใจว่ามันสำคัญ
ด้วยการเลือกของกู่ฉิงซาน การ์ดสีทองตกมาอยู่ในมือ
“ท่านได้รับการ์ดสีทอง แฝดปฐพี”
“บัญญัตินี้เสร็จสิ้นทุกภารกิจแล้ว ตอนนี้บัญญัติจะเริ่มวิวัฒนาการสู่สภาพการณ์ปฏิวัติ”
“ในสภาพการณ์ปฏิวัติ ท่านจะสามารถอัญเชิญและควบคุมอาวุธสงครามประเภทมารได้”
หลังจากแถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา พวกมันหายไปในความว่างเปล่าอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานไม่สนบัญญัติของราชามารอีก
เขาหลับตาลงขณะสัมผัสถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย
นักพรตในระดับสามพันโลกสามารถทำลายโลกได้เพียงแค่ใช้ฝ่ามือ…
ผู้ฝึกยุทธระดับสามพันโลกยังเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่จ้าวโลกจำนวนเก้าร้อยล้านใบของยุคต่อมา
แต่ทั้งหมดนี้กลับไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดหุบเหว
กู่ฉิงซานถอนหายใจ อัญเชิญปีกดาบยักษ์ออกมาแล้วตะโกนว่า “ฮ่า!”
ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มกระจายออกไปตามเสียง พวกมันแสดงเคล็ดดาบที่สอดคล้องกันในความว่างเปล่าเช่นเดียวกับหมู่เมฆที่ลอยตัวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว ก่อเกิดเป็นรูปคล้ายเขาละมั่งแขวนประดับ พวกมันทั้งมีอิสระและยืดหยุ่น
กู่ฉิงซานในตอนนี้สามารถควบคุมดาบบินได้หนึ่งพันสองร้อยเล่ม แต่เขาไม่พบอาวุธมาสักพักหนึ่งแล้ว
ด้วยพละกำลังของระดับสามพันโลก เป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุมดาบบินเจ็ดร้อยเล่ม
ยิ่งกว่านั้น เพราะจำนวนพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล พลังวิชาดาบของเขาจึงก้าวกระโดดเข้าสู่อีกระดับเช่นกัน
หลังจากประเมินพละกำลังใหม่อีกครั้ง กู่ฉิงซานเก็บปีกดาบของตัวเอง
ลั่วปิงหลี มนุษย์แสง และ เทพแห่งความเย็นยะเยือกเหาะมาตรงหน้าเขา
“ราชามารแห่งอารัมภบทเป็นอย่างไรบ้าง” มนุษย์แสงถาม
“กำลังคืบหน้า ไม่ช้าจะเข้าสู่สภาพการณ์ปฏิวัติ” กู่ฉิงซานตอบ
มนุษย์แสงสัมผัสสักพักก่อนจะเข้าใจว่าบัญญัติบนร่างกายอีกฝ่ายนิ่งเฉยจริง เขาจึงกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ความคืบหน้าดีทีเดียว”
เทพแห่งความเย็นยะเยือกถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหลังจากเจ้าไปโลกมาร ทำไมพวกเราควรออกจากภาพซ้อนทับของยุคนั้นเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ลั่วปิงหลีและมนุษย์แสงเผยสีหน้าสนใจพร้อมกัน
กู่ฉิงซานตอบว่า “ความแตกตื่นครั้งใหญ่เกิดขึ้นในโลกมาร สัมผัสวิญญาณของข้าบอกว่าไม่สามารถอยู่ในโลกมารได้อีกต่อไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา เพื่อความปลอดภัย ข้าต้องไปเดี๋ยวนี้”
มนุษย์แสงครุ่นคิด “เป็นเพราะจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธสินะ ข้าเข้าใจการตอบสนองของเจ้าในตอนนั้นแล้วล่ะ”
ลั่วปิงหลีพยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน
กู่ฉิงซานมองมนุษย์แสงแล้วกล่าวอย่างสับสนว่า “ตอนที่ข้าไปโลกมาร เกิดอะไรขึ้นกับประวัติศาสตร์หรือเปล่า”
มนุษย์แสงตอบว่า “มีเพียงอย่างเดียว สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดและพวกมารในทะเลมารโกลาหลตาย จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง หนึ่งในสามราชามารผู้ยิ่งใหญ่ตายเช่นกัน จากนั้นความตายก็กระจายไปทั่ว มารจำนวนมากในโลกมารล้วนตายกัน…แต่โลกวิญญาณมารกลับปลอดภัย”
“เจ้ารู้เหตุผลของเรื่องนี้หรือเปล่า” กู่ฉิงซานถาม
“นั่นมันเรื่องของโลกมาร พวกข้าให้ความสนใจน้อยมากก็เลยไม่รู้เหตุผลน่ะ” มนุษย์แสงตอบ
เทพแห่งความเย็นยะเยือกมองกู่ฉิงซานแล้วกล่าวอย่างกังวลว่า “ทำไมเจ้าถามถึงทะเลมารโกลาหลล่ะ เจ้าอยู่ในโลกวิญญาณมารไม่ใช่หรือ”
“เพราะตอนข้าฝึกฝนในโลกวิญญาณมาร โลกมารทั้งหมดต่างพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลมารโกลาหล ความแตกตื่นกระจายไปทั่ว เพราะงั้นข้าก็เลยรู้สึกหวาดกลัวน่ะ” กู่ฉิงซานทวนคำพูดของมนุษย์แสงก่อนกล่าวเช่นนั้น จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
ทั้งสามคนตกตะลึง
ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญหรอก เจ้าไม่ต้องไปสนใจพวกมันก็ได้”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าแค่สงสัยน่ะ แต่ในกลุ่มพวกเรามีคนหนึ่งเป็นเจตจำนงของเผ่าพันธุ์เทพ อีกคนเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกมารเลยล่ะ”
“เพราะมีหลายสิ่งที่ไม่ชัดเจนในโลกมารมากเกินไป พวกมารเกลียดพวกเรา เมื่อนานมาแล้ว โลกมารมีเส้นทางลับมากมายที่นำไปสู่หุบเหวนิรันดร์…การไปโลกมารไม่เป็นประโยชน์กับเผ่าพันธุ์เทพแม้แต่นิดเดียว” มนุษย์แสงตอบ
“สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วนี่คือเรื่องจริง ตอนพวกเราก้าวข้ามภัยพิบัติ พวกเรายังต้องสู้กับพวกมาร หากเข้าสู่ส่วนลึกของโลกมารยิ่งไม่ต้องพูดถึง เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ยุ่งกับผู้อื่นจนไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับพวกมาร” ลั่วปิงหลีกล่าว
กู่ฉิงซานครุ่นคิด
ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดมีเหตุผล
ถ้าไม่เข้าศูนย์กักกันหุบเหวจนไปปลุกมังกรหลับใหลขึ้นมา ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวจะทำสำเร็จหรือเปล่า
ทันทีที่ปัญหานี้ปรากฏขึ้น กู่ฉิงซานรู้สึกสนใจมาก
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาด
มังกรหลับใหลและผู้ถักทอชีวิตหุบเหวอยู่ในระดับเดียวกับวิญญาณกรีดร้อง
การกระทำของพวกเขาส่วนใหญ่ส่งผลกับโชคชะตาของโลก
น่าเสียดาย มังกรหลับใหลไม่เต็มใจช่วยมนุษย์อีกแล้ว มันถวิลหาถึงพลังของหุบเหว
กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากไปโลกมารอีกหนน่ะ”
“โลกมารอันตรายเกินไป ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไปอีก” ลั่วปิงหลีกล่าวชัดเจน
“ไม่ต้องห่วง หลายปีมาแล้วตั้งแต่ข้าไปเยือนโลกมาร สิ่งที่ควรจะเกิดก็ได้เกิดไปแล้ว อีกอย่าง ข้าได้ลิ้มรสความหอนหวานของการพัฒนาในโลกมารมาแล้ว ครั้งนี้ข้าจะต้องช่วยบัญญัติของราชามารเพื่อวิวัฒนาการสู่คลื่นมาร ท้ายที่สุดก็จะเข้าใกล้จุดที่ราชามารจุติลงมา” กู่ฉิงซานกล่าว
เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าวว่า “ดีมาก เจ้าไปเถอะ ลองพยายามทำให้บัญญัติของราชามารพัฒนาต่อ จากนั้นพวกเราจะสามารถแลกเปลี่ยน…ข้าหมายถึงจะช่วยเจ้าเอาดาบศักดิ์สิทธิ์มาและเจ้าจะต้องหยิบยืมพลังบัญญัติของราชามารมาใช้เพื่อข้า”
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม พวกเจ้าไปพิชิตเผ่าพันธุ์เทพของยุคนี้…ข้าได้ยินมาว่าเผ่าพันธุ์เทพมีวัตถุดิบที่สามารถช่วยวิวัฒนาการบัญญัติได้” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาชำเลืองมองเทพแห่งความเย็นยะเยือกแล้วกล่าวอย่างมีนัยว่า “ระวังพวกเขาด้วย”
ฉานนู่รู้
“แล้วเจ้าล่ะ” ลั่วปิงหลีถาม
“ข้าจะไปโลกมาร พยายามทำให้บัญญัติของราชามารวิวัฒนาการ” กู่ฉิงซานตอบ
มนุษย์แสงลังเลแต่ไม่พูดอะไร
“อย่าห่วงไปเลย ไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าข้าหรอก แม้แต่เขาก็ด้วย” เทพแห่งความเย็นยะเยือกมองมนุษย์แสง
เมื่อได้ยินราชาเทพกล่าวเช่นนี้ มนุษย์แสงมองออกว่าราชามารแห่งอารัมภบทกำลังวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วจริง ดังนั้นเขาจึงไม่ออกความเห็นอะไรอีก
ลั่วปิงหลีลังเล “เช่นนั้นเจ้าต้องระวัง ตามความเข้าใจของข้า สถานที่อย่างทะเลมารโกลาหลนั้นอันตรายมาก เจ้าอย่าตายเชียวล่ะ”
“ข้าไม่ไปที่แบบนั้นหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ามีหลายสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน เป้าหมายของข้าคือดาบศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีทางสนเรื่องอื่นหรอก”
จากนั้นลั่วปิงหลีถึงพยักหน้า
เมื่อกู่ฉิงซานตกลงกับทุกคนแล้ว เขาจึงไปอีกครั้ง
…
โลกมาร
โลกวิญญาณมาร
นี่คืออีกยุคของภาพซ้อนทับ ดังนั้นผู้ปกครองโลกวิญญาณมารยังเป็นราชามารกระดูกชั่วร้าย
ตอนกู่ฉิงซานมาโลกมารแห่งนี้ เขาพบทันทีว่าไม่มีการเคลื่อนไหวในถุงเก็บของ
เส้นกฎเกณฑ์สองเส้นได้หายไปแล้ว
พวกมันถูกลบล้างโดยกฎเกณฑ์แห่งเวลาก่อนเผชิญกับโลกวิญญาณมารและโลกมารกระดูกชั่วร้ายที่แท้จริง
กู่ฉิงซานไม่สนใจมากนัก
เขาไม่แม้กระทั่งคิดที่จะสู้เพื่อโลกมารแห่งนี้อีก
เพราะเขาสัมผัสได้แล้วว่าระดับพละกำลังของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพแล้ว เหลือเพียงพึ่งพลังของเศษเสี้ยวโลกมารบางส่วนเท่านั้น เขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรอีก
แต่ถ้าค้นหาเศษเสี้ยวของโลกมารด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีแล้วหลอมรวมกับโลกมารเข้าไป มันจะดึงดูดสายตาสอดรู้สอดเห็นของพวกมารทรงพลังทั้งหลาย
เช่นนั้นก็จะเกิดการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย
ตรงกันข้าม การสำรวจความลับของศูนย์กักกันหุบเหวนั้นสำคัญยิ่งกว่า
กู่ฉิงซานกระตือรือร้นที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศูนย์กักกันหุบเหวหลังจากเกิดเหตุการณ์ในตอนนั้น
เขากลายเป็นมาร ไม่ช้าก็มาถึงทะเลมารโกลาหล
ขณะยืนอยู่บนชายหาด กู่ฉิงซานปล่อยวิญญาณระดับสามพันโลกออกไป มันกระจายออกไปหลายพันไมล์ กวาดทั่วพื้นที่ทะเลใกล้ชายฝั่ง
“ไม่มีสัตว์ประหลาดทะเล ตายกันหมดแล้วจริงหรือ”
กู่ฉิงซานพึมพำด้วยความสงสัย
ขณะยืนอยู่บนชายหาด เขารู้สึกถึงไอเย็นเยือกที่ยากจะอธิบาย
ไม่เหมือนกับคำโกหกก่อนหน้านี้ คราวนี้มันคือการชักนำหายนะจากสัมผัสวิญญาณอย่างแท้จริง
“ดาบเสียงคลื่น”
เขาเรียก
ดาบเสียงคลื่นปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนลงมาอยู่ตรงหน้าเขา
“ไปกันเถอะ”
กู่ฉิงซานถือดาบเสียงคลื่นเอาไว้ แยกน้ำทะเลออกก่อนทะยานออกไป