“นานมาแล้ว พวกเราต่างเชื่อกันว่ามารดาผู้ยิ่งใหญ่แห่งแมงมุมคือนายแห่งชะตากรรมของโลกใบนี้ และผู้ถักทอทุกอนาคตกาลซึ่งเป็นผู้สร้างเราเอลฟ์ดำ”
สเตฟานีพูดลอย ๆ
“ตั้งแต่เด็ก ฉันภาวนาต่อเธอมาตลอด ขอแค่เรายังคงรักษาความรักต่อเธอ และเชื่อในเจตจำนงดั้งเดิม เราจะสามารถบรรลุความปรารถนา ฟื้นคืนวงศ์ตระกูลของเราได้”
ทว่า…
ซานดัลฟอน มารดาแห่งแมงมุมผู้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของวิถีแห่งดาบอัคคี นายหญิงผู้ถักทอชะตากรรม กลับมีจุดจบด้วยชะตาอันน่าขบขัน สเตฟานีครุ่นคิดแต่ไม่ได้หัวเราะออกมา เธอคิดว่ามันค่อนข้างเหมือนละครด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเธอจะศรัทธาในมารดาแห่งแมงมุม แต่เธอก็เชื่อในชะตากรรม
นายหญิงแห่งชะตาที่ตกลงสู่หยากไย่แห่งชะตาเสียเอง เธอฝึกฝนกฎแห่งชะตาอย่างจริงใจหรือเปล่า?
สเตฟานีนั่งอยู่ในบ้านต้นไม้เล็ก ๆ อันมืดสลัว ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอมีดวงตาสีม่วงเข้ม เส้นผมม้วนลอนสีเงินสยายไปบนแผ่นหลังราวกับผ้าคลุมชายแหลม หูของเธอบ่งชี้ถึงเผ่าพันธุ์เอลฟ์ แต่ผิวสีดำของเธอแสดงให้เห็นความมืดมนราวรัตติกาล
เอลฟ์ดำไม่เคยเป็นที่โปรดปรานของแสงสว่าง
ดวงตาของเธอทอดมองลงมายังบ้านต้นไม้หลังนี้ บ้านหลังไม่ใหญ่นี้ดูเหมือนร้านเหล้ามากกว่า ถึงมันจะมีขนาดเล็ก แต่ผู้คนที่นั่ง ๆ ยืน ๆ อยู่กลับมีมากกว่าสิบ
ในดินแดนแห่งความมืด มีร้านเหล้าเช่นนี้อยู่หลายแห่ง แต่ที่นี่ถูกกำหนดมาแล้วให้แตกต่างออกไป
สเตฟานีผู้อ่อนเยาว์และงดงามคือประธานการประชุมครั้งนี้
คนทั้งหมดนี้ตอบรับคำขอเรียกประชุมที่จะเปลี่ยนแปลงดินแดนแห่งความมืดของเธอ
นับแต่ซานดัลฟอนตายในสงครามกับแสงจันทร์ ดินแดนแห่งความมืดก็กลายเป็นสถานที่ไร้เทพ
ผู้ศรัทธาคลั่งไคล้มารดาแห่งแมงมุมส่วนใหญ่แตกระแหงเพราะเรื่องนี้ และสมาชิกสองสามคนที่เหลืออยู่ก็ยังควานหาหลักฐานการรอดชีวิตของนายหญิงแห่งชะตากรรมอย่างสติหลุด หรือไม่ก็…ความหวังใหม่
สมาชิกที่ยังหลงเหลือเหล่านี้มีไม่มาก แต่พวกเขาก็เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง นำโดยสเตฟานี ‘ธิดาแมงมุม’ ผู้อ่อนเยาว์
พวกเธอต้องหาทางออกใหม่ให้กับเหล่าเอลฟ์ดำ
สเตฟานีผู้เรียกเอลฟ์ดำกลุ่มนี้มาโดยไม่ได้บอกใครว่าควรทำสิ่งใดในอนาคต แต่กลับระลึกถึงอดีตของดินแดนแห่งความมืดภายใต้การปกครองของมารดาแห่งแมงมุมราวกับเป็นเด็ก ๆ
“ท่านสเตฟานี…” ชายผู้ค่อนข้างมีอายุพูดขึ้น เสียงของเขาแหบพร่า ผิวดำคล้ำย่น แต่เขากลับมีน้ำเสียงเคารพนบนอบต่อสเตฟานีอย่างยิ่ง “ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นคำพูดที่ไม่เคารพไปบ้าง แต่มารดาแห่งแมงมุมจากไปแล้ว เราไม่สามารถจมอยู่กับอดีตได้ตลอดไปหรอกนะครับ”
สเตฟานีวางแก้วไวน์แดงในมือของเธอลง คิ้วตกราวกับกำลังเศร้า ไม่เผยให้เห็นความคิดเย้ยหยันในใจ “เธอพูดถูก เด็บบี้น้อย ฉันไม่ควรทำแบบนี้จริง ๆ”
“ใช่ครับ ตอนนี้ท่านเป็นผู้นำของเหล่าเอลฟ์ดำแล้ว อนาคตของเอลฟ์ดำทั้งหมดอยู่ในมือท่าน” ชายชราผู้ถูกสเตฟานีเรียกว่าเด็บบี้น้อยพูดเสียงแหบ
“อืม…ถึงแม้ว่ามารดาแห่งแมงมุมจะทอดทิ้งเอลฟ์ดำ แต่เราทิ้งตัวเองไม่ได้หรอก เราต้องพึ่งพาตัวเอง สู้เพื่ออนาคตที่ยิ่งใหญ่”
สเตฟานีพูดอย่างน่าเกรงขาม ดวงตาสีม่วงเข้มของเธอมองกวาดไปทางผู้ฟัง
“คิดในแง่ดี อย่างน้อยที่สุด…” สเตฟานีกล่าว “เราก็ไม่ต้องทำงานให้วิถีแห่งดาบอัคคีแล้ว ถูกไหม?”
“แต่ว่า…มารดาแห่งแมงมุมกล่าวไว้ว่า…”
“ถ้าไม่ทำงานให้วิถีแห่งดาบอัคคี เราควรทำอย่างไรกันต่อล่ะครับ?”
“ใช่ค่ะ พอไม่มีวิถีแห่งดาบอัคคีให้พึ่งพา ถ้าเขตกลางรับรู้ถึงสิ่งที่เราทำขึ้นมาล่ะก็…”
ทันทีที่สเตฟานีพูดจบ เอลฟ์ดำในร้านเหล้าก็ปรึกษากัน กังวลถึงเรื่องในอนาคต
“ขนาดมารดาแห่งแมงมุมยังจากไปแล้ว แล้ววิถีแห่งดาบอัคคีล่ะ? จากนี้ไป เราไม่สามารถเป็นตัวเบี้ยให้ใครได้อีกแล้ว ทุกก้าวของเราต้องเป็นไปเพื่อตัวเราเอง…”
สเตฟานีกระซิบ “การจากไปของมารดาแห่งแมงมุมเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดสำหรับเรา แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดด้วย”
“จากนี้ไป สิทธิ์ในการใช้เส้นทางสู่เมืองเขตล่างที่เราเคยขุดให้วิถีแห่งดาบอัคคีจะเป็นของเราโดยสมบูรณ์ หอการค้าแอชไม่สามารถชี้นิ้วสั่งเราได้อีก แต่จะต้องพึ่งพาเรา นี่คือโอกาสงาม”
สเตฟานียกมือขึ้นยิ้ม ๆ ภายใต้แสงสลัว ดวงตาสีม่วงเข้มของเธอฉายประกายทะเยอทะยาน “ตราบใดที่พวกเราครอบครองทรัพยากรทั้งหมดจากเขตล่างได้ พวกเราจะแทนที่สมาคมแห่งสัจธรรมและบริษัทโรลล์ได้อย่างสมบุรณ์ และอาจจะเพียงพอให้เขตกลางยำเกรงเราได้ด้วย พวกเธอเข้าใจไหม? ตอนนี้พวกเรากุมทรัพยากรเหนือธรรมชาติทั้งหมดไว้!”
สเตฟานียิ้ม…
ช่วงเวลาที่บริษัทโรลล์และสมาคมแห่งสัจธรรมผูกขาดทรัพยากรเขตล่างได้จบลงแล้ว
เมื่อใช้ดินแดนแห่งความมืดเป็นที่มั่น มันจะสามารถส่งทรัพยากรมายังนอร์ซินเขตบนได้ต่อเนื่อง และพวกเขาจะกลายเป็นดั่งเส้นเลือดซึ่งสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงตลอดเวลา
พิมพ์เขียวโอ่อ่าอลังการขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เอลฟ์ดำพวกนี้จะคิดได้เลย เมื่อพวกเขาได้ยินแผนคร่าว ๆ ของสเตฟานี เอลฟ์ดำทั้งหลายต่างมองหน้ากัน หัวใจเริ่มเต้นแรง
สเตฟานีพูดต่อยิ้ม ๆ “ตอนนี้ ทางเดียวที่สามารถนำไปสู่การถลุงทรัพยากรในเมืองเขตล่างคือเส้นทางที่เราเอลฟ์ดำขุดขึ้น ใช้หอการค้าแอชเป็นเครือข่ายซื้อขนส่ง ไม่นานเราก็จะสามารถสร้างฐานการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตที่มั่นคงได้ ถึงตอนนั้น แม้แต่เขตกลางก็ต้องยอมรับเรา”
“แต่ถึงแม้เราจะได้ทรัพยากรมา เราก็ไม่สามารถถล่มขายมันได้มากนัก…เรื่องแรกที่เราต้องสู้คือเขตกลาง เพราะถึงอย่างไร การผูกขาดการค้าของบริษัทโรลล์ก็อยู่ใต้สัมปทานของเขตกลาง พอเราไม่มีผู้อุปถัมภ์อย่างมารดาแห่งแมงมุมผู้ยิ่งใหญ่ หอการค้าแอชก็อาจกระด้างกระเดื่องกับเราได้” หนึ่งในเอลฟ์ดำวัยกลางคนพูดอย่างลังเล “ยิ่งกว่านั้น หอการค้าแอชดูจะไม่เสถียรมากในตอนนี้ โดยเฉพาะเชอร์รี่คนนั้น…”
“ใช่แล้ว ดังนั้นเราจึงต้องหาคู่ค้าที่เชื่อถือได้สักราย” สเตฟานีปรบมือเสียงดังก้องร้านเหล้าอันเงียบสงบ
ชายวัยกลางคนผู้ยังดูอ่อนเยาว์ในชุดสูทถือไม้เท้าเดินออกมาจากบาร์เหล้าด้วยรอยยิ้มมั่นใจ เขายกมือขึ้นไปยกหมวกน้อย ๆ ทำความเคารพเหล่าเอลฟ์ดำในร้าน
“ทุกท่าน ผมคือฮอฟแมน ผู้นำตระกูลซาพีร์จากหอการค้าแอชครับ” เขาโค้งตัวคำนับพลางมองเหล่าเอลฟ์ดำตรงหน้าด้วยแววตาไร้ความเย่อหยิ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างเอลฟ์ดำและหอการค้าแอชไม่ได้คุกรุ่นครุ่นแค้นอย่างที่โลกภายนอกพูดกัน และความร่วมมือระหว่างทั้งสองก็แน่นแฟ้นมานาน
ส่วนข่าวลือการเป็นปรปักษ์นั้นก็เพื่อซ่อนตัวจากเขตกลางเฉย ๆ
เชอร์รี่เป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์ดรูอิดกับตระกูลเอลฟ์ดำ เป็นหลักฐานความร่วมมือและการติดต่อใกล้ชิดระหว่างเอลฟ์ดำและมนุษย์ ทั้งยังเป็นผลจากการแต่งงานด้วย โชคร้ายที่ผลลัพธ์ของทายาทเลือดผสมคนนี้เกินจินตนาการของพวกเขาไปสักหน่อย จนสุดท้ายก็กลายมาเป็นระเบิดเวลา
ในขณะเดียวกันก็กล่าวได้ว่า ที่จริงแล้วผลพวงจากการร่วมมือกับเอลฟ์ดำก็คือตระกูลแชปแมน
แต่ตอนนี้ ผู้ที่มายังดินแดนแห่งความมืดกลับเป็นผู้นำตระกูลซาพีร์
“ท่านเด็บบี้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” ฮอฟแมนโค้งน้อย ๆ พลางถอนหายใจ “ครั้งสุดท้ายที่ผมมาดินแดนแห่งความมืดนี่ ผมเพิ่งอายุสิบหกเอง”
ดวงตาของเด็บบี้ตื่นตัวและพินิจพิเคราะห์ แต่บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม “นั่นสินะ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ฮอฟแมนไม่ได้ใส่ใจ เขากล่าวว่า “แม่มดแชปแมนเชอร์รี่ เธอกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนหอการค้าแอชเป็นสวรรค์ของเธอไปแล้ว พยายามรวบอำนาจเอาไว้คนเดียว และเธอก็เป็นคนจากร้านหนังสือนั่นซึ่งขยะแขยงวิถีแห่งดาบอัคคีมากด้วย หรือก็คือ ความร่วมมือกับตระกูลแชปแมนของพวกคุณกำลังจะพังทลายลงแล้วครับ”
“ยัยเด็กครึ่งเลือดนั่น…”
สเตฟานี่ไม่มีรอยยิ้ม “มันก็แค่เครื่องมือสำหรับการแต่งงานในอดีต แต่กลับโตขึ้นมาได้ถึงจุดนี้”
“การเติบโตของเธอแยกกับตัวตนหนึ่งไม่ออกเลยครับ” ฮอฟแมนลดหมวกลง เงาทาบทับบนใบหน้า “ตัวตนที่อยู่ในซอย 23”
เอลฟ์ดำทั้งหมดในร้านเหล้าเงียบไป
แสงจันทร์ที่สังหารมารดาแห่งแมงมุมก็มาจากซอย 23
“แต่ตอนนี้ มันไม่มีค่าแล้วล่ะครับ”
ฮอฟแมนเงยหน้าขึ้น ยกมุมปากยิ้ม กล่าวว่า “จากเสียงตอบรับของสายข่าวของผม ตัวตนนั้นไม่ได้ช่วยเหลือเชอร์รี่อย่างลับ ๆ อีกต่อไปแล้ว เขาเลือกคนอื่นขึ้นมาใหม่โดยที่เชอร์รี่ไม่รู้”
“อารมณ์ของคนมีอำนาจเปลี่ยนแปลงได้ตามใจ ถ้าเขาเบื่อของเล่นที่เล่นอยู่ เขาก็มักจะโยนมันทิ้งเสมอ ถ้าไม่มีเจ้าของร้านหนังสือคนนั้น เชอร์รี่ก็จะไร้ค่าไม่ต่างจากใบจอกแหน กำจัดเธอไม่ยากหรอกครับ”
“ถูกต้อง” สเตฟานีพยักหน้า พูดอย่างแฝงความนัย “ฮอฟแมน บอกเธอให้ฉันทีว่าเธอก็มีสายเลือดเอลฟ์ดำอยู่ครึ่งหนึ่ง เธออยู่ท่ามกลางความรุ่งโรจน์ของแสงสีมานาน ได้เวลากลับบ้านเกิดแล้ว เรียกเธอกลับมาที่ดินแดนแห่งความมืดที แม่ของเธอคิดถึงเธอมาก”
“นั่นสินะครับ เป็นเรื่องปกติที่จะกลับบ้านไปหาญาติ”
ฮอฟแมนยกมุมปากขึ้น หยิบแก้วไวน์ที่ด้านข้างขึ้นมาชู
สเตฟานีเองก็ยกแก้วไวน์ของเธอขึ้นอย่างเกียจคร้าน หลับตาสีม่วงเข้มลงข้างหนึ่ง ขณะที่ใช้อีกข้างมองดินแดนแห่งความมืดนอกหน้าต่างผ่านแก้วไวน์ ทำให้ทั้งดินแดนดูเหมือนถูกย้อมด้วยสีแดง…
“การเดินทางมันยาวนาน บางครั้งอุบัติเหตุเล็กน้อยก็อาจเกิดขึ้นได้ มันเป็นธรรมดาใช่ไหมล่ะ?”