หอการค้าแอช สาขาตระกูลแชปแมน
ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในนอร์ซินเขตบน ธุรกรรมมูลค่าหลายหมื่นล้านเกิดขึ้นที่นี่ทุกวัน ในฐานะธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เกิดจากธุรกิจครอบครัว หอการค้าแอชมีตำนานความมั่งคั่งมากมาย
แต่ไม่มีใครจินตนาการได้เลยว่าหนึ่งในสามประธานหลักซึ่งกุมเส้นเลือดใหญ่ของหอการค้าแอช เด็กสาวครึ่งเลือด ‘แม่มดแชปแมน’ ผู้ลือนาม เชอร์รี่ แชปแมน ในตอนนี้…จะอยู่บนเตียง
พรึ่บ!
เบลล่า หัวหน้าสาวใช้ในบ้านแชปแมนซึ่งเฝ้ามองการเติบโตของเชอร์รี่มาแต่เด็กกระชากม่านเปิดออก แสงสว่างอันโหดร้ายทะลวงหน้าต่างเข้ามาในห้องซึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนหวานอย่างสาวน้อย
“ขออภัยนะคะนายหญิง” เบลล่าประสานมือไว้ที่ท้องของเธอ
เชอร์รี่จมลงไปในเตียงอันอ่อนนุ่มราวครีมเค้ก เมื่อแสงสว่างเจิดจ้ากระทบเปลือกตา เธอก็พลิกตัวม้วนเข้าไปอยู่ในผ้านวมสีชมพู กลายเป็นหนอนผีเสื้อดิ้นดุ๊กดิ๊กบนเตียง
“เบลล่า ฉันจำได้ว่าวันนี้ไม่มีการประชุมรอบเช้าสักหน่อยนะ…”
เชอร์รี่ส่งเสียงครางราวกับแมวออกมาจากในผ้านวมอย่างใจร้อน
แต่เบลล่าไม่ได้รับมุกนายหญิงน้อยของเธอในครั้งนี้ เธอพูดขึ้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “กรุณากลับบ้านที่ดินแดนแห่งความมืดไปเคารพหลุมศพด้วยค่ะ”
เชอร์รี่มุดหน้ากับหมอน เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองเบลล่า ดวงตาสีเงินของเธอแสดงความคมกริบออกมาเล็กน้อย ดูไม่ง่วงนอนเลยสักนิด
“ดินแดนแห่งความมืด…คนพวกนี้ยังเชิญฉันกันอีกเหรอ?”
เชอร์รี่ยกมุมปากขึ้น เหยียดมือออกมองผิวดำอันเนียนละเอียดของเธอ เผยรอยยิ้มประชดประชัน ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ฉันคิดว่าในสายตาพวกเขา ฉันก็แค่ผลผลิตส่วนเกินของธุรกรรมที่ควรทิ้งไปเสีย ก็แค่ยัยเลือดผสมน่ารังเกียจ”
“ใช่ค่ะ พวกเขาอยู่ไม่สุขกันเลย”
เบลล่าพูดเจือกังวล “นับแต่การตายของมารดาแห่งแมงมุม ดินแดนแห่งความมืดก็ระส่ำระสายตามคาด…แต่ช่วงนี้พวกเขายกสเตฟานี เจ้าของฉายา ‘ธิดาแมงมุม’ ขึ้นบนบัลลังก์ใหม่ เป็นผู้นำเอลฟ์ดำคนใหม่แล้วค่ะ”
“ถึงแม้ว่าเอลฟ์ดำที่ฟังคำสั่งของเธอจะไม่ใช่ทุกคน แต่อย่างน้อย เธอก็สามารถสั่งการเอลฟ์ดำส่วนใหญ่ได้แล้วค่ะ”
“โอ้?” เชอร์รี่หรี่ตาพูดยิ้ม ๆ “พวกเขายังชอบการเป็นผู้ติดตามไร้สมองม๊ากมากเลยนะ”
เบลล่าพูดต่อ “ครั้งนี้ สเตฟานี่เป็นคนเชิญคุณค่ะ เธอบอกว่าเอลฟ์ดำมีธุรกิจใหญ่อยากร่วมมือกับหอการค้าแอช ดังนั้นจึงเชิญหลานสาวตัวน้อยของเธอมา”
“หือ?” เชอร์รี่ลุกจากเตียง ชี้จมูกตนเอง พูดอย่างทั้งฉิวทั้งขัน “ฉันเป็นหลานสาวประสาอะไร?!”
“ไม่ล่ะ” เชอร์รี่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ก้อนกรวดพวกนั้นสร้างกระแสที่น่าสนใจอะไรไม่ได้หรอก”
เบลล่าไม่ได้ตอบสนองคำสั่งของเชอร์รี่ทันที แต่เธอเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “ดิฉันเกรงว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าคุณจะปฏิเสธค่ะ เธอเลยบอกว่า คุณจะปฏิเสธก็ได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกคุณว่า ‘เนื่องจากการทรุดตัวของรังมารดาแห่งแมงมุม ที่ตั้งดินแดนแห่งความมืดจึงจะเกิดการปฏิรูปและโยกย้ายครั้งใหญ่…’ ค่ะ”
เชอร์รี่อึ้งไปครู่หนึ่ง เหมือนเธอจะตระหนักบางอย่างได้ ดวงตาของเธอเบิกโพลงมองเบลล่าอย่างไม่อยากเชื่อ…
“พวกนั้นจะย้ายหลุมศพคุณแม่ของคุณค่ะ…”
เบลล่ากัดฟัน
“กล้าดีอย่างไร!!”
โทสะแล่นสู่สมองของเชอร์รี่ ดวงตาสีเงินของเธอราวลุกเป็นไฟ ผุดตัวลุกกะทันหัน
“ในเมื่อพวกเขากล้าแตะต้องหลุมศพแม่ฉัน ฉันจะทำให้พวกนั้นต้องจ่ายราคาอย่างสาสม…”
ภาพของหญิงสาวผมสีเงินผู้อ่อนโยนฉายเข้ามาในใจของเชอร์รี่ เธอคือผู้หญิงคนเดียวที่เคยมอบความอ่อนโยนให้เธอ
ครั้งหนึ่ง เธอเคยโอบกอดเชอร์รี่ไว้ในอ้อมแขน สัมผัสแผลที่เธอถูกเพื่อน ๆ ปาหินใส่ ก่อนจะบอกเธอว่าเธอคือลูกสาวที่เกิดจากความรัก ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างที่ทุกคนว่า
แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะไร้ความรัก กระทั่งแสนเจ็บปวดสำหรับเธอ แต่เธอก็ยังรักเชอร์รี่…
เชอร์รี่สูดหายใจลึก ๆ กล่าวว่า “เตรียมรถ”
เบลล่ากล่าว “ค่ะ ไปดินแดนแห่งความมืดใช่ไหมคะ?”
“เปล่า” เชอร์รี่ตอบ “ไปร้านหนังสือ ฉันอยากบอกลาคุณหลิน…”
—
หลินเจี๋ยกำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ในร้านหนังสือ ไม่ได้อ่านหนังสืออย่างหาได้ยาก มือของเขาประสานใต้คาง ใบหน้าจริงจัง ดวงตาจ้องที่โจเซฟซึ่งกำลังทำความสะอาดคาเฟ่หนังสืออยู่ตรงหน้า
โจเซฟผู้บึกบึนสวมเสื้อเชิ้ตที่ไม่พอดีตัวเท่าไร ทำให้เขาดูแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ชายผู้เต็มไปด้วยมัดกล้ามในตอนนี้สวมผ้ากันเปื้อน ถือไม้กวาด และกำลังบรรจงช่วยจัดหนังสืออย่างตั้งใจ ดูขัดกันสุด ๆ
หลินเจี๋ยลังเลอยู่หลายครั้ง คำพูดที่ไหลมาถึงปากถูกกลืนกลับ เปลี่ยนเป็นรอยย่นบนหน้าผากแทน…
คนที่ทำให้เจ้าของร้านหลินเป็นเช่นนี้ก็คือโจเซฟ
ตอนที่เขาออกมาหาโจเซฟเพื่อไปซื้ออุปกรณ์ซ่อมกำแพง เขาได้เห็นโจเซฟชกกำแพงอีกแห่งหนึ่งพังลงกับตา
เหตุการณ์นี้ทำให้มุมมองต่อโลกของหลินเจี๋ยสั่นสะท้าน
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เขาก็ไปตรวจสอบกำแพงอย่างละเอียดเช่นกัน มันเป็นกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งไม่มีทางที่คนธรรมดาจะพังได้เลย ทว่าไม่เพียงแค่เขาพังมันได้ แต่เรี่ยวแรงที่ใช้ทุบยังทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ
หลินเจี๋ยเริ่มคิด เหมือนจะมีคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้สำหรับเหตุการณ์นี้…
ความจริงแล้ว โจเซฟเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสินะ?
หรือเป็นเพราะความต่างทางชีวภาพระหว่างบุคคล พอเวลาคนจากต่างโลกโกรธจัด พวกเขาจะสามารถใช้หมัดเดียวพังกำแพงได้?
จากการวิจัยเอกสารต่าง ๆ ของสมาคมแห่งสัจธรรมก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการมีอยู่ของแคนเดลา เขาก็พิสูจน์ได้แล้วว่ามีความสามารถเหนือธรรมชาติอยู่ในโลก แต่เขาคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในสิ่งมีชีวิตในตำนานเมื่อยุคก่อน ๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้ ความคิดนี้อาจไม่ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลินเจี๋ยระลึกถึงงานเลี้ยงครั้งก่อน จี้จือซู่ไม่ได้มีท่าทีตกใจในเหตุสังหารหมู่ตระกูลเฟร็ดเลย…ทัศนคตินี้ดูเหมือนจะชาชิน หรือรู้อยู่ก่อนแล้ว
แม้หลินเจี๋ยในตอนนี้จะเคลือบแคลงใจมาก พวกเขาก็ยังพูดคุยและเป็นเพื่อนกันได้อย่างปกติมาก
ถ้าจะถามอะไรแปลก ๆ อย่าง ‘ปกติคุณมีพลังมหาศาลขนาดนี้หรือเปล่า เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหรือเปล่าครับเนี่ย?’ ออกไป มันก็คงจะ…น่าอายไปสักหน่อย
แล้วเราจะทำให้คำถามมันชวนกระอักกระอ่วนน้อยลงอย่างไรดี?
หลินเจี๋ยคิดหนัก
เอี๊ยด!!
เสียงเหยียบเบรคแหลมสูงด้านนอกร้านขัดจังหวะความคิดของหลินเจี๋ย เขากันไปมองที่นอกประตูด้านข้าง พบรองเท้าหนังสวยงามคู่เล็กโผล่มาหลังประตูรถลีมูซีนสีดำ
“คุณหลิน!”
เสียงกระปรี้กระเปร่าของเด็กหญิงเพิ่งลอยเข้าหูหลินเจี๋ย เขาก็เหมือนเห็นหน้าเจ้าของเสียงลอยมาในหัว
เด็กหญิงในชุดเดรสสีขาวก้าวออกมาจากรถ เหยียบย่างเข้ามาในร้านหนังสืออย่างสบายใจ หลังจากเห็นตาลุงแปลก ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาในร้าน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้ว่าจากรูปลักษณ์และออร่า เขาจะต่างจากอัศวินแห่งแสงที่ลือกันว่าตายไปแล้วก็ตามที แต่…เมื่อเขาปรากฏขึ้นในเวลาแบบนี้ มันจึงชวนให้ผู้คนคาดเดาไปต่าง ๆ นานาได้
โดยเฉพาะไวลด์ที่ควรจะร่วมมือกับเชอร์รี่ขาดการติดต่อไปโดยสมบูรณ์
แต่เธอก็ปรับท่าทีของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“คุณหลิน ไม่ได้เจอกันนานเลยค่ะ” เชอร์รี่ก้าวเดินเตาะแตะ ผมสีเงินของเธอพริ้วไสวในสายลม กระโปรงสะบัดปลิวเป็นวงโค้งสวยงามบนอากาศ เผยรอยยิ้มน่ารักและเขี้ยวเสือเล็ก ๆ พลางกระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาน้อย ๆ ของเธอบนม้านั่งสูงหน้าเคาน์เตอร์
“ทำไมมากะทันหันนักล่ะครับ ไม่ได้เตรียมทักทายล่วงหน้าเลย”
หลินเจี๋ยเผยรอยยิ้มธุรกิจทันที มองลงมายังเด็กสาวตัวน้อยด้วยสีหน้าอ่อนโยน แต่เชอร์รี่ผู้มักจะตัวติดกับเขากลับก้มหน้างุด ๆ ไม่เงยหน้าขึ้นอยู่นาน
ครู่ต่อมา เธอก็เงยหน้าน่าสงสารและดวงตาแดงก่ำขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมร้องไห้ล่ะ?” หลินเจี๋ยขมวดคิ้วถามพลางหยิกแก้มนุ่มของเด็กหญิง
เชอร์รี่เบะปากพองแก้ม “ความผิดเบลล่าที่ปลุกฉันเช้าเกินไปค่ะ”
“อย่างนี้เอง…นอนดึกตื่นสายไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีนะครับ”
หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ “ดูเหมือนว่าวันนี้คุณจะไม่ได้มายืมหนังสือนะครับ ใช่ไหม? คุณอยากบอกอะไรหรือเปล่าครับ?”
เชอร์รี่เงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของร้านหนังสือที่หลังเคาน์เตอร์สะท้อนในดวงตาอันมืดมิดของเธอเช่นครั้งก่อน
เขาดูราวห่างไกลจากเธอมาก ไม่ต่างจากเมื่อหลายปีก่อนที่ได้พบกันครั้งแรกเลย
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องผิดที่ปุถุชนจะมาคาดหวังความเมตตาจากพระเจ้า ใช่ไหม?
ไม่อย่างนั้น…ไม่อย่างนั้น ทำไมคนพวกนั้นถึงกล้าทำเรื่องอุกอาจแบบนี้ล่ะ…
“ฉัน…มาบอกลาคุณหลินวันนี้ค่ะ”
เชอร์รี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนเดิม มันไม่ได้น่ารัก แต่อ่อนโยนและหนักแน่นเป็นพิเศษ ไม่เข้ากับภาพลักษณ์เหมือนเด็กของเธอเลย
หลินเจี๋ยอึ้งไป และได้ยินเชอร์รี่พูดว่า “ฉันตัดสินใจปกป้องคนที่สำคัญมากต่อฉัน ถึงเธอจะตายไปแล้วก็ตาม…แต่ยังมีบางอย่างที่ฉันต้องทำ สำหรับเรื่องนี้ฉันเสียสละได้ แค่ว่ามันอาจจะส่งผลกระทบต่อคนบางคนค่ะ”
“คุณหลิน ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไรคะ?”
เชอร์รี่เงยหน้าถามอย่างสับสน
หลินเจี๋ยเอื้อมมือไปลูบหัวของเธอ พูดเบา ๆ ว่า “ผมไม่เคยอยู่ในสถานการณ์คิดไม่ตกขนาดนั้นมาก่อน คุณก็แค่ทำตามความคิดในใจก็พอแล้วครับ”
“ตอนที่คุณถามผม คุณน่าจะมีคำตอบในใจแล้ว อย่าว่าแต่…คุณมาบอกลาผมวันนี้ด้วย”
หลินเจี๋ยยิ้มกล่าวว่า “คุณสามารถไปได้ทุกที่ที่ต้องการ คุณเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์แล้วใช่ไหมล่ะครับ? ผมอยากบอกว่าเชอร์รี่น่ะน่ารักมาก คุณทำอะไรก็สำเร็จได้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพราะพระเจ้าไม่อยากให้คุณร้องไห้หรอก…แน่นอน ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน”
ในขณะที่กำลังปลอบประโลมเชอร์รี่ เขาก็เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ
ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แน่นอนว่าครั้งนี้เขาก็ต้องโอ๋เธอก่อน
เชอร์รี่พยักหน้าหงึกหงัก กำหมัดแน่น “…ค่ะ เพราะฉันเจอเจ้าของร้านหลิน ฉันจึงไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“ครับ ไม่ต้องกังวลมากนักหรอก” หลินเจี๋ยพูดติดตลก “หากยังมีชีวิต ก็ยังมีโอกาสได้พบ บางทีเร็ว ๆ นี้เราอาจจะได้เจอกันที่อื่นก็ได้ครับ”