บทที่ 415 : บังเอิญจัง
บทที่ 415 : บังเอิญจัง
มาเรียกระชับเสื้อโค้ตด้านหน้าของเธอตามความเคยชิน และเมื่อมือของเธอคว้าถูกแต่ลม เธอก็จำได้ว่าตัวเองไม่ได้สวมเสื้อโค้ตทำงานทดลองอยู่ แต่เป็นชุดลำลองธรรมดา
เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้องแล็บ สำหรับเธอ น้อยครั้งที่เธอจะแต่งตัวแบบอื่นนอกจากเสื้อโค้ตสีขาว เธออุทิศแทบทั้งชีวิตให้กับสมาคมแห่งสัจธรรม แต่วันนี้เธอกำลังจะไปพบบุคคลพิเศษผู้หนึ่ง
มาเรียสัมผัสเศษแผ่นศิลาในกระเป๋า และสัมผัสกลิ่นอายพลังชีวิตอันแข็งแกร่งในนั้นได้
ในฐานะมนุษย์ มาเรียผู้ติดอยู่ที่คอขวดมานานแสนนานกระเหี้ยนกระหือรืออยากทำลายคอขวดสุด ๆ และสุดท้ายก็เลือกลงไปยังเมืองเขตล่างเพื่อรับประสบการณ์ ซึ่งในที่สุดเธอก็ฝืนทนมลพิษ เลื่อนระดับ และได้รับชิ้นส่วนของแม่มดแห่งอัคคีมา
นี่คือหยาดเหงื่อแรงกายของเธอทั้งหมด เธอพึ่งพาเศษแผ่นศิลานี้เพื่ออยู่รอดลึกเข้าไปในเมืองเขตล่างอันเต็มไปด้วยมลพิษ
มาเรียดันแว่นของเธอ เส้นผมยาวสีดำลู่ไปบนหลังราวน้ำตก ตรงหน้าของเธอคือซอย 23
เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฝนสีเทาพลางมองไปยังร้านหนังสือเก่าคร่ำคร่า กระทั่งป้ายร้านยังไม่มี…
เจ้าของร้านนั่งคุยกับเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ จากข้อมูลที่มี เด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้ช่วยเจ้าของร้านหนังสือ…ในขณะเดียวกันเธอก็เป็นผู้นำอีกคนของศาสนาแห่งตะวันด้วย
“เจ้าของร้านหลินคะ ร้านใหม่พร้อมแล้วค่ะ ฉันสามารถไปที่นั่นอย่างเป็นทางการได้วันนี้เลย”
เมื่อมูเอนพูดเช่นนั้น หลินเจี๋ยก็พยักหน้า อธิบายเรื่องบางเรื่องให้เธอฟัง จากนั้นก็บอกให้เธอเดินทางระวังตัวด้วย
มาเรียยืนอยู่หน้าประตู และได้ยินเพียงช่วงจบของบทสนทนานี้
มันฟังดูปกติ
ทว่านึกไปถึงข้อมูลที่มี ร้านสาขานั้นถูกสาวกอาวุโสจากศาสนาแห่งตะวันเข้าใช้งานตั้งแต่เปิดทำการวันแรก ซึ่งแย่สุด ๆ
ในที่สุด มูเอนก็พยักหน้าแล้วเดินออกจากร้านหนังสือ
ทันทีที่หันกลับมา ดวงตาเยือกเย็นของเธอก็พบกับมาเรียซึ่งเผลอสบตากับเธอโดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้นเอง มาเรียเกร็งตัวราวกับได้เห็นท้องฟ้าราตรียามบรรพกาล
จนกระทั่งเมื่อมูเอนเดินผ่านเธอไป เธอก็ยังยืนแข็งทื่อไม่กล้าขยับตัว
เศษแผ่นศิลาในมือของเธอส่งคำเตือนคล้ายคลื่นความร้อน
“ต้องการอะไรหรือเปล่าครับ? ยินดีต้อนรับ ไม่เข้ามาแวะชมก่อนสักหน่อยเหรอครับ? คุณดูเหมือนจะยืนอยู่หน้าประตูนานแล้วนะ”
หลินเจี๋ยก็แค่มาปิดประตู แต่ไม่คิดว่าจะเห็นคนยืนอยู่ข้างนอก แต่ในเมื่อเธอมาอยู่หน้าประตูร้านเรา เธอก็คือลูกค้าเราแล้ว…
อิงตามหลักการนี้ หลินเจี๋ยจึงแย้มยิ้มธุรกิจพลางเปิดประตูออกกว้างขึ้น
ร่างแข็งทื่อของมาเรียคลายลง ความมั่นใจและแรงกดดันดั้งเดิมของเธอถูกคำเตือนของมูเอนทำลายเละ ทำให้เธอรู้สึกอ่อนแอลงอย่างไร้เหตุผล
การใช้ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ตามอำเภอใจตัวเองได้…
เจ้าของร้านหนังสือคนนี้ บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าที่เธอคาด
แต่มาเรียนั้นไม่เคยกลัวผู้แข็งแกร่งและน่ากลัวเป็นทุนเดิม ในทางกลับกัน เธอกล้าที่จะประชันและเผชิญหน้า กระทั่งตอนที่เธอไปเยือนเมืองเขตล่าง และเธอก็กล้ามายังร้านหนังสือวันนี้ด้วย
ในฐานะประธานสมาคมแห่งสัจธรรมและญาติของฮู้ด มีบางอย่างที่เธอต้องค้นให้พบ
มาเรียก้าวเข้าไปหาเจ้าของร้านหนังสือ
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าสนใจซื้อหนังสือสักหน่อยไหมครับ?”
หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ
มาเรียเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สำรวจร้านหนังสือ
“ฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมแห่งสัจธรรม ได้ยินว่าเจ้าของร้านหลินประจำร้านหนังสือแห่งนี้รอบรู้มากสามารถ ฉันจึงมาหาคุณเป็นการส่วนตัว”
มาเรียสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินเจี๋ยอดเอนตัวไปเบื้องหลังไม่ได้ มีแขกจากสมาคมแห่งสัจธรรมมาที่ร้านหนังสือมากขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าใครกันนะที่เอาชื่อของเขาไปยกยอโฆษณาแบบนี้ ช่างลึกซึ้งจริง ๆ
เท่าที่เราคิดออกก็มีแค่แอนดรูว์ โอ้! เราแค่จุดประกายเขาเรื่องการวิจัยเล่นแร่แปรธาตุเองนะ แต่ว่า…หวังว่าเขาจะแนะนำลูกค้ามาอีก!
หลินเจี๋ยโบกมือซ้ำไปมา พูดอย่างถ่อมตน “ผมแค่อ่านหนังมือมาค่อนข้างเยอะเองครับ จะเรียกว่ารอบรู้มากสามารถคงไม่น่าไหว”
“เจ้าของร้านหลินถ่อมตัวจังนะคะ”
มาเรียไม่ยิ้ม ทว่าดวงตาของเธอกลับดูเย็นชา “หลานชายของฉัน ฮู้ดบอกมาว่าเคยถูกคุณสั่งสอนจนเปลี่ยนบุคลิกไป”
การกลายพันธุ์และพลังในตัวฮู้ดคล้ายคลึงกับมลพิษในเขตล่างมากเกินไป…หลินเจี๋ยคนนี้คงแยกจากเขตล่างไม่ได้แน่
หลินเจี๋ยยิ้มและกล่าวอย่างถ่อมตน “หลานของคุณเป็นคนฉลาดครับ ผมแค่แนะแนวทางให้เขา และเป็นเขาเองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ เขามีความสามารถมากเลยครับ”
เขาคิดว่า ที่แท้คุณคนนี้ก็เป็นป้าของฮู้ด ประธานสมาคมแห่งสัจธรรมผู้เก็บตัวอยู่นี่เอง
เกรงว่าเธอคงไม่ได้มาเอาเรื่องเขาถึงร้านหรอกมั้ง พูดถึงเรื่องของฮู้ดก่อนดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรฮู้ดในตอนนี้ก็เป็นลูกค้าเขา เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ถูกมัดถูกตีตอนย่องมาขโมยของในร้านหนังสือก่อนหน้านี้ ก็ให้เรื่องมันจบ ๆ ไปแบบนี้เถอะ…
เขาว่า “ในช่วงหกเดือนมานี้ การพัฒนาของฮู้ดชัดเจนมาก ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเขาตกหลุมรักการอ่านครับ คุณสนใจหนังสือที่เขาอ่านเหมือนกันหรือเปล่า? ซื้อไปอ่านสักเล่มไหมครับ?”
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้อหนังสือหรอก”
มาเรียพูดพลางเงยหน้ามองชั้นหนังสือข้างหลังเจ้าของร้านซึ่งดูคล้ายวังวนไม่รู้จบอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งนั่นทำให้วิญญาณของมาเรียสั่นสะท้าน
ลูกไม้ของเจ้าของร้านหนังสือนี้คงจะเป็นการส่งหนังสือไปให้บุคคลที่เขาเลือก หนังสือแต่ละเล่มบรรจุพลังมหาศาล ผู้ถูกเลือกจะไม่สามารถหยุดความกระหายพลังได้และรับหนังสือมา แต่ทันทีที่รับมันไป พวกเขาก็จะถูกหนังสือกลืนกิน และกลายเป็นสาวกของเจ้าของร้านหนังสือไปเช่นกัน
ตั้งกับดักโดยใช้ความปรารถนาเป็นเหยื่อล่อ ฉลาดจริง ๆ
เธอรีบหันหน้าหนีเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกล่อลวง…ดูเหมือนว่าการเผชิญหน้าด้วยคำพูดนี้ไม่สามารถดำเนินต่อได้ มาเรียกำกระเป๋าของเธอโดยไม่ตั้งใจ ได้เวลาสั่งสอนให้เขารู้เสียแล้วว่าใครคุ้มครองเธออยู่
“มีธุระอย่างอื่นหรือเปล่าครับ?” หลินเจี๋ยถามอย่างสงสัย
มาเรียยกมุมปากขึ้น และค่อย ๆ หยิบเศษแผ่นศิลาออกมาจากในกระเป๋า
“คุณ…คุณคงรู้จักสิ่งนี้ใช่ไหม?”
แววตาของมาเรียวูบไหว
ในใจเธอ เธอเห็นภาพหลินเจี๋ยหลุดอาการและตื่นตะลึงหลังจากเห็นแผ่นศิลาของแม่มดแห่งอัคคีล่วงหน้าแล้ว
เพราะถึงอย่างไร แม่มดแห่งอัคคีก็คือศัตรูทางธรรมชาติ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร หากเขามาจากเมืองเขตล่างจริง ๆ เพลิงที่จุดประกายในความมืดนี้ก็คือแสงสว่างที่ขับไล่มลพิษได้…
มาเรียถ่ายพลังปลุกแผ่นศิลาอย่างช้า ๆ และการสั่นพ้องพลังที่เหมือนเสียงเต้นหัวใจก็ค่อย ๆ ดังขึ้น ทำให้เธอตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ
หลินเจี๋ยกะพริบตา เห็นเศษแผ่นศิลาที่แสนคุ้นตา และรอยยิ้มของเขาก็ค้างบนใบหน้า
มาเรียแค่นเสียงอย่างเย็นชาในใจ เมื่อเห็นหน้ากากยิ้มแย้มของหลินเจี๋ยแตกร้าว เธอก็รู้สึกยินดีมาก
“ที่แท้ก็เป็นนี่…”
หลินเจี๋ยตะลึงไปครู่หนึ่ง มุมปากก็กระตุก “บังเอิญจังเลยครับ ผมเพิ่งบอกแขกอีกคนไปเมื่อวานนี้เองว่ามันเหมือนโชคชะตาปาฏิหาริย์ และชิ้นส่วนที่สามจะมาหาผมในสักวัน”
มาเรียเบิกตากว้างมองหลินเจี๋ยล้วงกล่องสองใบออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ และเปิดมันออกอย่างไม่เชื่อสายตา
และแล้ว เศษแผ่นศิลาสองชิ้นก็ปรากฏสู่สายตามาเรียราวกับเป็นสินค้าผลิตยกโหล
“คุณ…คุณทำได้อย่างไร?!” ทำไมถึงมีสมบัติที่ฉันเกือบต้องจ่ายทั้งชีวิตแลกมา? อีกอย่าง นี่มันศัตรูคู่อาฆาตของมลพิษเชียวนะ ถ้าเป็นคนจากเขตล่าง เขาควรกลัวมันสิ!
มาเรียรู้สึกราวกับโลกหมุนหวือตรงหน้าเธอ แต่เศษแผ่นศิลาตรงหน้าเธอเป็นของจริงแน่นอน มันบรรจุพลังอันรุนแรงของแม่มดแห่งอัคคี
การกระตุ้นเร้าเหมือนเสียงหัวใจดังถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้จังหวะหัวใจของมาเรียถี่ขึ้นจนรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อยเช่นกัน
“ทั้งหมดนี้ ลูกค้าให้ผมมาทั้งนั้นเลยครับ” หลินเจี๋ยเล่นกับเศษศิลาทั้งสองพลางกล่าวว่า “จะว่าไป ผมศึกษาแผ่นศิลาทั้งสองเสี้ยวนี้อยู่ในช่วงสองสามวันมานี้ และได้รับผลบางอย่างมาจริง ๆ ด้วย”
“ดูเหมือนว่าคุณจะมาที่นี่เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเศษแผ่นศิลาพวกนี้เหมือนกัน แปลว่าคุณน่าจะเป็นทั้งนักวิชาการและนักโบราณคดีผู้กระตือรือร้นด้วยสินะครับ?” หลินเจี๋ยยิ้ม “ดูสิ แผ่นนี้ คนจากโบสถ์แห่งโรคระบาดส่งมาให้ผมล่ะ”
“โอ้ จะว่าไป คุณรู้เกี่ยวกับโบสถ์แห่งโรคระบาดไหมครับ?” หลินเจี๋ยดูเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างออก “พวกเขาเป็นโบสถ์ในเมืองเขตล่าง เคยขึ้นมาถามผมเกี่ยวกับเศษชิ้นส่วนพวกนี้เหมือนกัน และหวังว่าสักวันผมจะสอนพวกเขา แถมยังบอกว่าจะใช้อำนาจทั้งโบสถ์เพื่อหาชิ้นส่วนสุดท้ายนี่ด้วย”
“แต่ดูสิ ชิ้นสุดท้ายมาหาผมทันทีที่สิ้นคำ เป็นโชคชะตาน่าอัศจรรย์จริง ๆ…เอ่อ คุณลูกค้า เป็นอะไรครับ?”
หลินเจี๋ยมองม่านตาของมาเรียหดตัวอย่างตกใจ ราวกับคิดถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
“ม…ไม่เป็นไร”
มาเรียส่ายหน้าอย่างยากเย็นพลางกล่าวอย่างช้า ๆ
ถึงแม้ว่าเธอจะออกมาจากเมืองเขตล่างได้หลายเดือนแล้ว แต่ความโหดร้ายและมืดมนของโบสถ์แห่งโรคระบาดกับชีวิตของผู้คนในเมืองเขตล่างยังทำให้เธอคลื่นไส้แม้เพียงคิดได้อยู่ดี
คนเหล่านี้อาศัยอยู่ใต้ดิน ไม่เคยได้เห็นแสงตะวัน น้ำโคลนในหล่มไม่เคยถึงน่อง สิ่งที่ไหลในนั้นไม่ใช่น้ำโคลน แต่เป็นอวัยวะภายในและเนื้อบด ผู้ตายไม่สามารถถูกฝังในดินอันร่วนซุย สุดท้ายจึงถูกจอบระดมฟัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ใต้พิภพ
คนเหล่านั้น…อาจเรียกว่าคนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดวงตาที่เสื่อมโทรมลงสุด ๆ ของพวกเขาเล็กจ้อยและเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย ผิวพรรณของพวกเขาแข็งกระด้าง กระทั่งมีเกล็ดปกคลุม ศีรษะส่วนใหญ่ของพวกเขากลายเป็นเส้นหนวด เธอมองไม่เห็นหน้าเต็ม ๆ ของพวกเขาได้ชัดเจน หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาแต่ละคนต่างกลายพันธุ์บิดเบี้ยวไปต่าง ๆ นานาก็ได้
แต่สิ่งหนึ่งยังคงเดิม พวกเขามองขึ้นมายังแผ่นดินเบื้องบนเสมอราวกับกำลังรอบางสิ่ง…
ครั้งหนึ่ง เธอเคยคาดเดาว่าโบสถ์แห่งโรคระบาดซึ่งบูชาการกลายพันธุ์อาจจะรอให้ต้นตอการกลายพันธุ์นี้กลับมา และความหวังกลับสู่โลกของพวกเขาก็ไม่เคยจางหาย
และตอนนี้ เจ้าของร้านหนังสือก็กล่าวว่าเขาจะออกไปสอนสมาชิกโบสถ์แห่งโรคระบาด?
พวกสัตว์ประหลาดในโบสถ์แห่งโรคระบาดกำลังรอเจ้าของร้านหนังสือลงไปยังเมืองเขตล่าง…หรือว่า…ชายตรงหน้าเธอจะเป็นผู้ที่โบสถ์แห่งโรคระบาดรอคอย?!
มาเรียรู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกบีบจนหายใจไม่ออก
ทางผ่านสู่เมืองเขตล่างซึ่งสมาคมแห่งสัจธรรมควบคุมนั้นถูกทำลายลง ในขณะเดียวกัน หอการค้าแอชก็อ้างว่าพวกตนขุดเส้นทางที่สองได้ ตอนนี้ความทะเยอทะยานของโบสถ์แห่งโรคะบาดก็เผยออกมาอย่างชัดแจ้ง ทุกสิ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนสมคบคิดที่วางไว้นานแล้ว!
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
หลินเจี๋ยว่าพลางเตรียมรับชิ้นส่วนชิ้นที่สาม
ดวงตาของมาเรียเบิกกว้าง ความกลัวแผ่ซ่านราวกระแสน้ำ เธอคว้าเศษแผ่นศิลาในมือแน่นราวกับคว้าเส้นฟางยามจมน้ำ และขณะเดียวกันก็อยากชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
ทว่าเธอกลับพบว่าตนเองขยับตัวไม่ได้!
“เอ่อ…อย่า…ไม่ ไม่เอา…”
มาเรียเหงื่อกาฬแตกพลั่กและเห็นเงาที่สะท้อนอยู่บนกำแพงขยับไหวช้า ๆ มือของเธอดูเหมือนจะถูกเงาควบคุมให้บรรจงหยิบแผ่นศิลาในกล่องของเธอออกมาให้หลินเจี๋ยราวมอบสมบัติ
ไม่นะ!
มาเรียตะโกนในใจอย่างหวาดกลัว