บทที่ 428 : รอยยิ้มของแม่มด
บทที่ 428 : รอยยิ้มของแม่มด
ขมับของเมลิสซ่าเจ็บแปลบ เธอพยายามลืมตา และภาพอันพร่ามัวก็ปรากฏตรงหน้าเธอ…
พันธนาการบนร่างเริ่มส่งสัญญาณไปยังประสาทรับความเจ็บปวดในทันที และตอนนั้นเอง เธอจึงตระหนักว่าตนถูกเถาวัลย์สีเขียวที่ทั้งเหนียวและหนามัดไว้แน่น
เถาวัลย์นี้เป็นกิ่งของมหาพฤกษากลับหัว เมลิสซ่าเบิกตากว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยสีเขียว รากของมหาพฤกษาเกี่ยวกระหวัดราวกับยักษายืนขึ้นพยุงพสุธา
“นี่คือ…?” เมลิสซ่าขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ อย่างเคลือบแคลง และเห็นว่าเกร็กก็ถูกมัดอยู่ข้าง ๆ เธอ
เมลิสซ่าหรี่ตาลง เห็นผลไม้สีมรกตรูปร่างเหมือนมนุษย์ห้อยอยู่ไม่ไกล มีช่องเปิดเล็ก ๆ อยู่เหนือผลของมัน และเห็นร่างของเด็กสาวผู้มีผมสีเทอร์ควอยซ์นอนอยู่ข้างใน
นี่มัน…!
เธอขมวดคิ้ว ระลึกขึ้นได้ว่าทั้งเธอและเกร็กต่างประเมินวาลเลซต่ำไป บางทีวาลเลซอาจพูดถูก พิธีกรรมของเขาผูกมัดเทพปีศาจไว้ เมื่อเมลิสซ่าเผาร่างผีดิบต้องคำสาปนั่น มันก็เป็นการปลดปล่อยพลังของเขาอย่างสมบูรณ์
เขาไม่ใช่อัศวินเลยสักกระผีก แต่เป็นนักเวทมนตร์ดำต้องห้ามอันแสนน่ารังเกียจต่างหาก!
ทั้งเธอและเกร็กต่างไม่สามารถกำจัดวาลเลซได้ แม้ว่าวาลเลซจะเพิ่งได้ร่างใหม่ แต่การหยุดเธอและเกร็กช่างแสนง่าย ไม่นานนัก อัศวินเวรยามจากหอพิธีกรรมต้องห้ามก็มาถึง
หลังจากเธอและเกร็กต่อสู้อย่างสุดกำลัง เธอก็ถูกจับได้
บ้าเอ๊ย…!
เมลิสซ่ากระทืบเท้าอย่างแรง เธอจะชนะอยู่แล้ว…เรานี่อ่อนแอเกินไปจริง ๆ ถ้าแข็งแกร่งกว่านี้ บางทีเราอาจชนะก็ได้!
และตอนนี้ เธอก็ถูกวาลเลซจับได้…ความไม่สมัครใจและโทษตนเองของเมลิสซ่าเอ่อล้นท่วมใจ
ในขณะเดียวกัน เสียงที่ทำให้เธอโมโหก็สะท้อนอยู่ในหู
คนแก่ผมสีเทาหลายคน รวมถึงวาลเลซที่เพิ่งเปลี่ยนร่างมารวมตัวกันอยู่ใต้พฤกษากลับหัว
เมลิสซ่าหยุดเคลื่อนไหว ฟังพวกเขาเงียบ ๆ
“วาลเลซ…” ชายชราคนเดียวที่นั่งอยู่บนรากของต้นไม้ขานชื่อวาลเลซ “ไม่คาดฝันเลยว่าคุณจะสามารถแก้คำสาปของเทพปีศาจได้ และกลับมาหาผมโดยยังมีชีวิต”
“ผู้เฒ่าบาล คุณเองก็ประเมินผมต่ำเกินไป แต่ไม่คิดจริง ๆ ว่าลูกสาวหน้าโง่ของโจเซฟจะยิ่งโง่กว่าเขา เขาใช้ชีวิตตนเองส่งต่อเจตจำนงสู่ลูกสาว แต่มิคาดว่าลูกสาวตนจะใช้มันเพื่อแผดเผาร่างต้องสาปของผมเป็นธุลี”
“การถ่ายวิญญาณตลอดหลายปีออกดอกผลจนได้” วาลเลซยิ้มอย่างชั่วร้าย ไม่เหมือนครั้งที่เขานั่งบนบัลลังก์อัศวินเลยสักนิด
“เฮอะ” แอสโมเดียส ผู้หญิงคนเดียวจากฝ่ายปกครองแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ตอนนี้ พวกผู้ดีถูกนังสารเลวจี้จือซู่ควบคุมและออกมาโต้กลับฝ่ายปกครอง และศาสนาแห่งตะวันที่เทศนาอยู่ในเขตกลางก็ออกมาก่อกบฏใหญ่โต หอพิธีกรรมต้องห้ามของคุณยังไม่ลงมืออีกเหรอ?”
“อย่าลืมสัญญาที่เราทำไว้ก่อนหน้านี้นะ” แอสโมเดียสต่อว่าเสียงต่ำ
วาลเลซส่ายหน้ากล่าว “ถ้าผมอยากผิดสัญญาจริง ผมคงไม่มาที่นี่ทันทีที่คืนชีพได้หรอก”
“และไม่ใช่ว่าผู้เฒ่าบาลก็โทษผมด้วยหรอกใช่ไหม?” วาลเลซแบมือ แต่แววตาของเขาสั่นไหว ดูเหมือนกำลังกลัว
บาลส่ายหน้าช้า ๆ และถอนหายใจ เมื่อพันปีก่อน วาลเลซเป็นนักเวทมนตร์ดำที่แข็งแกร่งที่สุดจริง ๆ ถึงเขาจะถูกสาปให้มีร่างเน่าเปื่อย แต่ก็ยังสร้างหอพิธีกรรมต้องห้ามและควบคุมอัศวินทั้งหมดได้
“เจ้าของร้านหนังสือคือ ‘เทพปีศาจ’ นั่น” วาลเลซพูดอย่างจริงจัง เสียงของเขาสั่นเมื่อกล่าวถึงเจ้าของร้านหนังสือ
แม้ว่าสำนักงานกลางจะคาดเดาไว้แบบนี้เหมือนกัน แต่ทั้งหมดก็ยังคงเป็นเพียงการคาดเดาอยู่ดี และเป็นการคาดเดาที่เลวร้ายที่สุด ในตอนนี้ การพิสูจน์ของวาลเลซทำให้บรรยากาศร่วงสู่จุดศูนย์
เทพปีศาจผู้เกือบกวาดล้างอาซีร์แค่เพียงเกิดมา…ตื่นขึ้นในที่สุด!
แม้ว่าวาลเลซจะคืนชีพ แต่เขาก็เผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดเช่นกัน ความทะนงของเขาดูเหมือนจะถูกการคุมขังนับพัน ๆ ปีชะล้างหายไป แต่เมื่อได้รับความสามารถในการยืนขึ้นได้อีกครั้งอย่างแสนยาก ไม่ว่าเขาต้องจ่ายอะไรเท่าใด เขาก็จะคว้ามันไว้แน่น
“ผมแนะนำว่าอย่าได้เป็นปรปักษ์กับเจ้าของร้านหนังสือครับ” วาลเลซพูดขึ้นกะทันหัน
บาลรู้จักวาลเลซดี เขาเป็นนักเวทมนตร์ดำผู้เย่อหยิ่งที่สุดเมื่อหลายพันปีก่อน ตอนนี้ความหยิ่งทะนงนั่นดูจะเลือนหายไปมาก เมื่อเขากล่าวถึง ‘เทพปีศาจ’ ก็มีความกลัวปรากฏ ถึงจะซ่อนไว้แนบเนียนก็ยังเห็นได้อยู่
คนแบบนี้เชื่อใจไม่ได้ แต่วาลเลซเคยใช้โจเซฟเพื่อประจบเจ้าของร้านหนังสือมาก่อน และบาลเห็นอยู่นานแล้วว่าทั้งหมดนี้มีรากฐานจากความกลัว
แต่การประจบ ‘เทพปีศาจ’ ที่จะทำลายทุกสิ่งนั้นไร้ค่า ไม่ใช่เพราะความเกลียดชังหรือจุดประสงค์ใด ๆ แต่ตัวตนของเขาไม่ควรถูกใครก็ตามเฝ้ามอง เหมือนคน ๆ หนึ่งที่บังเอิญเดินเหยียบมด เจ้าของร้านหนังสือจะทำลายนอร์ซินโดยไม่รู้ตัวในไม่ช้าก็เร็ว
“วาลเลซ คุณมีคำแนะนำอื่นไหม?” บาลถามอย่างร้อนใจ “ตอนนี้ไม่ใช่เพราะเราอยากเป็นศัตรูกับเจ้าของร้านหนังสือหรอกนะ แต่จี้จือซู่และศาสนาแห่งตะวันต่างมีเจ้าของร้านหลินอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น”
“วิถีแห่งดาบอัคคี”
“ผมส่งไส้ศึกเข้าไปในวิถีแห่งดาบอัคคี” เมื่อสิ้นเสียงของวาลเลซ ทุกคนก็นิ่งอึ้ง ไม่คาดคิดว่าถึงวาลเลซจะนิ่งไม่ไหวติงบนวีลแชร์มาแสนนาน แต่เขากลับยังสามารถส่งไส้ศึกเข้าวิถีแห่งดาบอัคคีได้
“ผมจะส่งข้อมูลทุกอย่างของเจ้าของร้านหนังสือให้วิถีแห่งดาบอัคคี และให้พวกเขาจัดการกับเจ้าของร้านหนังสือ”
บาลพยักหน้า ไม่ว่าวิถีแห่งดาบอัคคีจะจัดการเขาได้หรือไม่ สำนักงานกลางจะสามารถเป็นตาอยู่ ฉวยผลประโยชน์ไปเพียว ๆ ได้อยู่ดี…เพราะถึงอย่างไร ในสำนักงานกลางก็เหลือเพียงเปลือกกลวง ๆ และแก่นอันแข็งแกร่งหนึ่งเดียวก็มีเพียงแม่มดแห่งพฤกษา แต่การจะปลุกแม่มดแห่งพฤกษาขึ้นมานั้นต้องใช้พิธีกรรมอันยาวนาน
วิถีแห่งดาบอัคคียื้อเวลาได้นิดหน่อย
ขอเพียงแม่มดแห่งพฤกษาลงมือ อย่างน้อย…อย่างน้อยมันก็จะทำให้ ‘เทพปีศาจ’ นั่นหลับไปอีกครั้งได้
“อืม ผมจะยกให้คุณจัดการ” บาลพยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองคนทั้งสองบนต้นไม้ “แล้วคุณคิดจะทำอะไรกับสองคนนั้นล่ะ?”
เมลิสซ่าตกใจ เธอได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว พวกเขาดูไม่คิดปิดบังอะไรเมลิสซ่าเลย
“แน่นอน การเก็บพวกเขาไว้ก็มีประโยชน์ แม่หนูนั่นสืบทอดเจตจำนงแห่งไฟของโจเซฟ ขอแค่ฝึกเธอดี ๆ เธอจะสามารถมีพลังเหมือนกับโจเซฟได้”
เพราะถึงอย่างไร นั่นก็เป็นพลังระดับเหนือนภา ถ้าโจเซฟยังมีชีวิตอยู่ เขาจะติดอันดับหนึ่งในห้าบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในทั่วอาซีร์แน่นอน
“ไม่เลว” บาลรู้สึกว่าในที่สุดก็มีสิ่งที่ทำให้เขาดีใจขึ้นมาได้นิด ๆ เขาหันไปมองสมาชิกคนหนึ่งของฝ่ายปกครองและกล่าวว่า “คาดิลล่า คุณมีพลังเปลี่ยนความทรงจำและควบคุมคนอื่นพอดีเลยนี่”
“เข้าใจแล้วค่ะ ท่านบาล” คาดิลล่าเข้าใจและมาอยู่ข้าง ๆ เมลิสซ่า
เมลิสซ่าขมวดคิ้วกัดฟัน ทันใดนั้นเปลวเพลิงสมบูรณ์แบบซึ่งสามารถแผดเผาได้ทุกสิ่งก็ปะทุจากร่างกายของเธอ ทว่าอีเธอร์กลับถูกเถาวัลย์สีมรกตดูดหมดเกลี้ยงในพริบตา
เมลิสซ่าแปลกใจมาก คาดิลล่าแค่นเสียงอย่างเย็นชา ยกมือขึ้นวางบนหัวเมลิสซ่า
เธอดิ้นรนอย่างไร้ผล เหวี่ยงหัวหลบไปข้าง ๆ อย่างสิ้นหวัง แต่แล้วก็เห็นว่าเด็กสาวผมสีเทอร์ควอยซ์ที่นอนเงียบ ๆ อยู่ตรงกลางผลไม้…ลืมตาขึ้น
เมลิสซ่าเห็นดวงตาของเด็กสาวซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของแม่มดแห่งพฤกษาเป็นสีขาวดั่งหิมะ มองสบตาเธอตอบอย่างเงียบ ๆ