บทที่ 446 : เมืองเขตล่าง
หลินเจี๋ยเข้าไปในอุโมงค์ซึ่งเปิดอยู่กึ่งหนึ่งในดินแดนแห่งความมืด ซึ่งเป็นหนทางเดียวอันนำไปสู่เมืองเขตล่าง
เขาสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมังกรได้ตามใจ แต่ก็ยังรักษาร่างมนุษย์ของเขาไว้ ลิฟต์แบบง่ายซึ่งสร้างไว้ชั่วคราวส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุก และจากพื้นที่ปิดขนาดเล็กนี้ก็เห็นได้เพียงชั้นหินซึ่งเคลื่อนตัวไปด้านบนไม่จบสิ้น
หลินเจี๋ยก้าวออกจากลิฟต์ เดินเข้าไปในทางเดินใต้พิภพ
ในฐานะมนุษย์ ที่นี่ให้ความรู้สึกแย่มาก แต่หลินเจี๋ยกลับรับรู้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยมากมาย และพวกมันใกล้เคียงกับที่มาแห่งพลังของเขามาก
หลินเจี๋ยหรี่ตาเล็กน้อย เขาเห็นหมอกสีเทาที่ลอยเอื่อย กระจายตัวทั่วเมืองเขตล่างแล้ว
แม้ว่าเมืองเขตล่างจะมีสภาพย่ำแย่ แต่ตอนนี้หลินเจี๋ยก็ได้รับความรู้สึกโล่งใจเหมือนได้เหยียบลงสู่พื้นเสียที
เมืองเขตบนทั้งหมดเป็นเครื่องจักรกลเหล็กกล้าซึ่งสร้างไว้ในเมืองเขตล่าง ทุกส่วนประกอบสร้างขึ้นจากหยาดเลือดหยดน้ำตาของเมืองเขตล่าง
หากเมืองเขตบนนับเป็นรถจักรไอน้ำ เช่นนั้นเมืองเขตล่างก็คือเตาเผาถ่านอันโชติช่วง
ทรัพยากรคือถ่าน แต่ช่างโชคร้ายที่มันถูกมนุษย์จุดไฟเผา
หลินเจี๋ยปิดบังตัวตน คิดว่าตนคงได้ออกจากอุโมงค์นี้ผ่านทางลับสักทางในเร็ววัน แต่ต่อมา เขาก็เริ่มตระหนักว่าตนออกไปจากอุโมงค์ไม่ได้
เพราะเมืองเขตล่างทั้งหมดอยู่ในอุโมงค์นี้
นี่คือโลกภายในเมืองแร่อันมืดมิดและซับซ้อน พื้นเปียกชุ่มโคลน น้ำโคลนดีดขึ้นในทุกย่างก้าว ห้อมล้อมด้วยกำแพงซึ่งมีน้ำซึมเข้ามาตลอดเวลาและปกคลุมด้วยตะไคร่มอส ไม่มีแสงสว่างใด ๆ รวมถึงร่องรอยพืชสีเขียวและแสงอาทิตย์
เมื่อเดินเข้าไปลึกอีกสักหน่อยจะเห็นเต้นท์และเตียงนอนโทรม ๆ สิ่งปลูกสร้างจากหินถูกก่อขึ้นในเหมือง และอุณหภูมิกลางวันกลางคืนที่ใต้พิภพก็ไม่ต่างกันนัก ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงมีแค่หอพักหอเดียว และแต่ละคนต่างก็สวมได้แค่ชุดคลุมสีดำหนึ่งตัว
หลินเจี๋ยสวมชุดคลุมสีดำปกปิดร่างกายของตัวเอง โชคร้ายที่ไม่มีใครใส่ใจ
เหล่าผู้อาศัยหลังค่อมถือจอบขุดแร่และเครื่องมือเดินไปมาเหมือนศพเดินได้ เสียงขุดแร่ก๊องแก๊งดังมาจากทุกที่ หลินเจี๋ยเหลือบมองไปรอบ ๆ เล็กน้อยและพบว่าพวกเขาแต่ละคนต่างพันผ้าพันแผลสกปรก ๆ ไว้บนใบหน้าทั้งนั้น เหลือเพียงเส้นหนวดที่คางที่ลอยละล่องเหมือนตาย
แต่นัยน์ตาของพวกเขาแต่ละคนต่างเหมือนสัตว์ร้าย
หลินเจี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเหล่าผู้อาศัยตรงหน้าเขา ต่อให้เขาจะไม่ได้มาที่นี่ แต่นัยน์ตาสัตว์ร้ายเหล่านี้จะทำลายนอร์ซินในสักวัน
พวกเขาถูกขูดรีดข่มเหง เอาชีวิตเข้าแลกเพื่ออาหารและทรัพยากรอันหายากเพื่อประทังชีวิต
ชุดคลุมสีดำเกือบจะเป็นเครื่องแต่งกายเดียวในเมืองเขตล่าง คนที่นี่ดูจะไม่คิดสนใจสีสันอื่น ๆ หรือสีดำสนิทก็อาจจะสอดคล้องกับตำแหน่งเมืองเขตล่างก็เป็นได้
ที่แห่งนี้ดำมืดเสียยิ่งกว่าดินแดนแห่งความมืดอีก
ในอดีต เหล่าผู้อาศัยต้องทำภารกิจประจำวันให้ไว ก่อนที่จะสามารถไปแลกเปลี่ยนอาหารที่เมืองเขตบนได้
โดยเฉพาะในช่วงปีเร็ว ๆ นี้ ทรัพยากรที่ทำเหมืองได้ลดจำนวนลงอย่างมหาศาล ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่าจะหาแร่ได้สักชิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจหลินเจี๋ยเลย กระทั่งเส้นหนวดที่คางของพวกเขายังไม่เห็นด้วยซ้ำ
ยังเอาตัวไม่รอด เรื่องอื่นไว้ทีหลัง
“ดูเหมือนจะขายหนังสือที่นี่ไม่ได้แฮะ…” หลินเจี๋ยถูกชายคนหนึ่งซึ่งกำลังปล้นแร่ทุบเข้าอย่างแรง มองผู้คนที่วิ่งเตลิดดั่งกระแสคลื่นแล้วกล่าวปนถอนหายใจ
“แต่เราก็ยังต้องพยายามให้หนักอยู่ดี” หลืนเจี๋ยเดินหน้าต่อ…บางทีเขาอาจกำลังเลือกหน้าร้านก็ได้
ด้วยสภาพจิตใจเช่นนี้ หลินเจี๋ยเดินไปอีกสองถึงสามชั่วโมงในเหมืองอันร้างราผู้คน เขาเห็นเด็กและสตรีมากมายรวบรวมแร่ ดูเหมือนว่าเนื่องจากการขาดแคลนทรัพยากร พวกผู้ชายแข็งแรง ๆ จะไม่มาที่นี่
ที่นี่ดีและเงียบใช้ได้…หลินเจี๋ยอดรู้สึกมีความสุขเล็กน้อยไม่ได้
การเปิดร้านหนังสือที่นี่ดูจะดีมาก หลินเจี๋ยไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะแย่แค่ไหนก็รับได้
ทันใดนั้น…
บางสิ่งเหมือนจะดึงชายเสื้อของหลินเจี๋ย เขาหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่พบอะไร
“เฮ้! เร้ดอยู่นี่!”
เสียงอันเยาว์วัยแทรกเข้ามาในโสตประสาท หลินเจี๋ยก้มหน้าลงและพบเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนดอกเห็ด
เด็กหญิงสวมชุดคลุมสีดำ แต่ไม่ได้พันผ้าพันแผลสกปรก ผิวของเธอไม่ได้เป็นสีครามเขียวเหมือนผู้อาศัยส่วนใหญ่ แต่ออกสีแดงเล็กน้อย ทว่าก็ยังคงหยาบกร้านเหมือนผิวจระเข้เช่นกัน
มีข้อแตกต่างข้อหนึ่งระหว่างเด็กหญิงคนนี้และผู้มาเยือนผอมแห้งคนอื่น ๆ นั่นคือเธออวบอ้วนเล็กน้อย กระทั่งพูดได้ว่าหน้ากลม ๆ ของเธอดูตลกเล็กน้อยแม้จะมีสีหน้าเคร่งเครียด โบราณน่ากลัว
เธอคงเป็นสาวน้อยประเภทที่แม้จะกินแต่น้ำเปล่าก็ยังอ้วน…
หลินเจี๋ยถูกดึงดูดโดยเส้นหนวดอ้วน ๆ ที่ส่ายไปมาอย่างร่าเริงที่คางของเธอ และอดเริ่มสงสัยไม่ได้ว่าในหมู่ผู้ถูกมลพิษจากเทพปีศาจปนเปื้อน ยังมีสถานการณ์ตลก ๆ แบบนี้อยู่ด้วย
“นายมองไม่เห็นฉันเหรอ?…นายเป็นแบบนั้น แบบนั้น…ไม่เห็นอะไรแล้วนะ?” เด็กหญิงซึ่งอ้างตนว่าชื่อเร้ดขมวดคิ้ว เธอลืมคำขู่ของตัวเองไปกลางคัน
“ไม่เห็นใครในสายตา” หลินเจี๋ยเตือน
“อ๊ะ! ใช่! ไม่เห็นใครในสายตา!” เร้ดดูจะมีความสุขที่จำได้เสียที แต่เธอก็จำได้ขึ้นมาว่าตัวเองโกรธอยู่ เลยหยุดรอยยิ้มมาตีหน้าขึงขังแทน
“อย่าหยิ่งผยองไปหน่อยเลย!” เร้ดโวยเสียงดัง “เร้ดก็แค่… แค่เตี้ยกว่านิดหน่อยเอง! ตอนนี้เห็นหรือยัง?”
เธอพูดพลางยกมือขึ้นเทียบส่วนสูง เธอตัวแค่ต้นขาของหลินเจี๋ยเท่านั้นเอง
“เห็นแล้วครับ” หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ
ตอนนั้นเอง เร้ดจึงปล่อยมือออกจากชุดคลุมของหลินเจี๋ย กอดอกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ และกล่าวว่า “นายเป็นคนลักลอบขนของเถื่อนจากเมืองเขตบนหรือเปล่า? มาเดินท่อม ๆ แบบนี้ไม่ชัดเจนไปหน่อยเหรอ ต้องระวังตัวกว่านี้ไม่ใช่หรือไง?”
“ระวังตัวจากอะไรเหรอ?”
“เสื้อผ้าบนตัว สีผิวของนาย… คนในเมืองเขตบนเอาแต่ดูถูกเราตลอด เฮอะ แต่ที่จริง ขอเพียงพวกเขาโดนหมอกสีเทาปกคลุมเข้าหน่อย สติก็จะหลุดลอยทันที ฉันเห็นคนจากเขตบนตายเพราะแบบนี้มาหลายคนแล้ว”
เด็กหญิงใช้มือเท้าเอวและแค่นเสียงเย็นชา แต่เพราะเส้นหนวดอวบ ๆ สองข้างแก้ม เธอจึงดูเหมือนไส้กรอกทอด
พวกเขา…? งั้นที่แท้ก็เป็นแบบนี้ หลินเจี๋ยพลันตระหนักว่าเหล่าผู้ตายในเมืองเขตล่างบางคนไม่ได้ตายเพราะมลพิษ แต่ถูกฆ่าตายในเมืองเขตล่าง
ในหมู่ผู้คนที่ถูกปิดหูปิดตาข่มเหง จะมีสักกี่คนที่กล้าลุกขึ้นต่อต้าน?
“งั้น ทำไมคุณถึงมาเตือนผมล่ะ?”
“เพราะว่า…เพราะฉันอยากให้นายเรียกคนจากเมืองเขตบนลงมาอีกน่ะสิ! ไม่ใช่ว่าพวกเมืองเขตบนอย่างนายชอบคบเพื่อนเหรอ?”
เด็กหญิงใช้มีดกระดูกชี้หลินเจี๋ย กล่าวอย่างดุดันเข้มงวด “ตอนนี้นายเป็นตัวประกันของฉัน กลับกระท่อมกับฉันซะ อย่าให้ใครเห็น ไม่งั้นฉันจะฆ่านาย”
หลินเจี๋ยแปลกใจเล็กน้อย แต่เดิมเขาอยากเปิดร้านหนังสือและเงียบรอใครสักคนมาหาถึงที่ แต่นาน ๆ ทีการผจญภัยก็เป็นเรื่องน่าสนใจในชีวิตเช่นกัน ตราบใดที่ยังลืมตา ซึ่งว่ากันว่าแข็งแกร่งรอบด้าน เขาจะเสียเรื่องน่าแปลกใจไปมากมาย
หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ “ตกลง”
เร้ดลากชุดของหลินเจี๋ย บอกเขาเป็นระยะว่าอย่าเล่นตุกติก แต่หลินเจี๋ยไม่กลัวเธอเลยสักนิด เขาไม่ใช่พวกคนเย่อหยิ่งจากเขตบน…แต่หลินเจี๋ยก็ดูเย่อหยิ่งจริง ๆ
แต่นี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่งในแบบเดียวกัน เร้ดคิดอย่างถี่ถ้วน เหมือนเขาจะให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งล่ะมั้งนะ?