ตอนที่ 383 นี่คือเสียงของอิ๋งจื่อจิน เธอชอบเขา
“ใช่จ้ะ คือแบบนี้นะ” นอร่าพูด “นี่เป็นโรคที่พบเจอได้ยาก ฉันใช้เครื่องมือตรวจดูแล้ว พบว่าส่วนสมองของผู้ป่วยไม่ได้ผิดปกติอะไร จำเป็นต้องผ่าตัดเปิดกะโหลก”
“ถ้าเธอมีเวลาช่วยมาหน่อยได้ไหม พวกเรามาหารือร่วมกัน ไม่แน่อาจได้แนวทางอะไรใหม่ๆ”
นอร่าเองก็สนใจพวกโรคแปลกๆ อยู่เหมือนกัน นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เธอยอมอยู่รักษาคุณนายผู้เฒ่าอิ๋ง นอกเหนือจากเพราะเป็นคำขอของเผยเทียนอี้
สายที่เธอถนัดไม่ใช่เกี่ยวกับสมอง แต่ด้านสมองเธอก็เคยรักษาผู้ป่วยมาไม่น้อย
“ได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินที่อยู่ปลายสายตอบ
“สุดสัปดาห์นี้หนูจะลองดูค่ะ รบกวนดอกเตอร์ส่งที่อยู่มาให้ด้วยค่ะ”
“งั้นก็ดีมากเลยจ้ะ” ใบหน้าของนอร่าผุดรอยยิ้ม
“อยู่โรงพยาบาลอันดับหนึ่ง ไว้ถึงตอนนั้นเราค่อยนัดเวลากันนะ”
สุดท้ายจั่วหลีก็ไม่ได้ให้วีแชทของอิ๋งจื่อจินกับเธอ เธอเป็นคนไปหามาเอง
นอร่าคุยภาษาอังกฤษ แต่ใช้ศัพท์ไม่ยาก แค่คุยสื่อสารกันปกติ
ถึงแม้จงมั่นหวาจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษมาหลายปีแล้ว แต่ก็พอฟังเข้าใจ
เธอเครียดมาก ยังคงไม่กล้าวางใจ ครั้นแล้วจึงถามอีกครั้ง “ดอกเตอร์นอร่าคะ เธอจะมาไหมคะ”
อาการป่วยของคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งจะยืดการรักษาออกไปไม่ได้อีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ถึงกับตาย แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะนอนเป็นผัก
“มาค่ะ” นอร่าเริ่มปลดกระดุมเสื้อกาวน์ แววตายินดีอย่างไม่มีปิดบัง
“เธอมีมารยาทมาก เรื่องไหนที่รับปากแล้วก็ต้องทำให้ได้ เด็กสมัยนี้เก่งมากจริงๆ ค่ะ”
“เด็กสมัยนี้เหรอครับ” พอได้ยินแบบนี้อิ๋งเจิ้นถิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“ผู้ช่วยที่ดอกเตอร์นอร่าเชิญมาอายุเท่าไรเหรอครับ”
“จะสิบแปดแล้วค่ะ” สีหน้าของนอร่าขรึมลง พูดอย่างจริงจัง
“แต่ฝีมือการรักษาของเธอไม่ด้อยไปกว่าฉันแน่นอนค่ะ อาจสูงกว่าด้วยซ้ำ”
นอร่าพูดถึงขนาดนี้ ทำให้อิ๋งเจิ้นถิงต้องกลืนคำพูดที่เหลือกลับไป
เขาอ่านข้อมูลมาแล้ว นอร่ามีสถานะที่สูงมากในวงการแพทย์ระดับโลก
โรงพยาบาลตี้ตูเคยเชิญเธอไปพูดหลายครั้ง ไม่จำเป็นต้องพูดโกหกเรื่องแบบนี้
แต่อิ๋งเจิ้นถิงก็ยังคงไม่อยากเชื่อ เขารู้สึกว่าหมอเป็นอาชีพที่ถ้าอายุน้อยเกินไปจะไม่มีประสบการณ์ ฝีมือคงไม่สูงมาก ไม่แน่อาจรักษาได้เพียงผิวเผิน
อิ๋งเย่ว์เซวียนกลับรู้สึกใจคอไม่ดี
ไม่รู้เพราะอะไร อยู่ๆ เธอก็สังหรณ์ใจไม่ค่อยดี
“ฉันไปก่อนนะคะ” นอร่าพยักหน้าให้ทุกคน “เมื่อครู่ให้คุณนายผู้เฒ่ากินยาไป ช่วยในการนอนหลับ ตอนนี้ท่านหลับไปแล้ว พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณดอกเตอร์นอร่ามากนะคะ” จงมั่นหวาเดินออกไปส่งเธอด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็เดินกลับมาที่หน้าห้องพักผู้ป่วย จับมืออิ๋งเย่ว์เซวียนแล้วพูดชม
“เสี่ยวเซวียน โชคดีที่มีลูกอยู่ ลูกเป็นผู้มีพระคุณของคุณย่าเลยนะ”
ไม่ว่าอย่างไรหมอที่อิ๋งเย่ว์เซวียนเชิญมาก็สามารถรักษาคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งได้ ย่อมมีจุดที่เหนือกว่าอิ๋งจื่อจิน หัวใจเธอรู้สึกสมดุลบ้างแล้ว
อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปากเบาๆ แต่สีหน้ากลับซีดเล็กน้อย
“คุณแม่พูดอะไรกันคะ คุณย่าดีกับหนูขนาดนี้ หนูจะทนนิ่งดูดายได้ยังไงคะ”
เมื่อเดือนที่แล้วเธอถูกอิ๋งจื่อจินตบหน้าขัดขวางการสะกดจิตในงานเลี้ยงฉลองตรุษจีนของบ้านตระกูลเนี่ย ทำให้จนถึงตอนนี้เธอก็ยังรวบรวมสมาธิไม่ได้ สะกดจิตด้วยวิธีจ้องตาไม่ได้
เธอสะกดจิตไม่เก่ง เคยเรียนมาจากอาจารย์คนหนึ่งที่บังเอิญเจอตอนไปเรียนที่ยุโรป
แต่ก็ดีกว่าไม่เป็นเลย
“จะ…เจิ้นถิง” ทันใดนั้นจงมั่นหวาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จับมือของอิ๋งเจิ้นถิง พูดเสียงสั่น
“คะ…คุณรู้สึกไหมคะว่าเสียงนั้นเหมือนจื่อจินมาก”
พอได้ยินชื่อนี้สีหน้าของอิ๋งเจิ้นถิงก็บึ้งลง “เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามพูดถึงอีก”
แถมยังหนีไปเข้าวงการบันเทิง เล่นเปียโนต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น
เมื่อก่อนให้เรียนก็เรียนได้ไม่ดี แต่พอออกจากบ้านไปกลับแสดงความสามารถเต็มที่ แบบนี้ไม่เท่ากับจงใจหักหน้าตระกูลอิ๋งของพวกเขาเหรอ
อิ๋งเจิ้นถิงยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
ถ้าอิ๋งจื่อจินอยู่ในตระกูลอิ๋งแล้วมีความสามารถเยอะแยะขนาดนั้น มีเหรอที่เขาจะลำเอียง
“เจิ้นถิง ฉันพูดจริงนะคะ” จงมั่นหวาหวั่นใจ “จื่อจินก็ยังอายุไม่ถึงสิบแปดนะคะ”
“มั่นหวา คุณคิดมากเกินไปแล้ว” อิ๋งเจิ้นถิงขมวดคิ้ว “เรียนกับเล่นเปียโนยังพยายามฝึกได้ในเวลาสั้นๆ แต่การรักษาคนมันเหมือนกันเหรอ เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว”
จงมั่นหวาเริ่มใจเย็นลงหลังจากอิ๋งเจิ้นถิงเตือนสติ “ก็อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่า”
มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นที่ไหนกัน ก็น่าจะแค่เสียงคล้าย
“พวกคุณไปกินข้าวเถอะ” อิ๋งเจิ้นถิงดูเวลา “ผมจะเฝ้าคุณแม่เอง”
…
วันต่อมา
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
เข้าสู่เดือนมีนาคม ตรงริมกระดานดำในห้องเรียนของชั้นมอหกทุกห้องจะมีปฏิทินนับถอยหลังสู่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย
อีกไม่ถึงหนึ่งร้อยวันก็จะสอบแล้ว
ห้องสิบเก้าก็ลดการออกไปทำกิจกรรมข้างนอก เริ่มตั้งใจฝึกทำโจทย์
ไม่ต้องสอนเนื้อหาบทเรียนให้เด็กทึ่มเหล่านี้ แค่คอยคุมให้พวกเขาทำโจทย์ อิ๋งจื่อจินจึงว่างแบบที่หาได้ยาก
เธอเอามือเท้าศีรษะ กำลังคุยกับหลิงเหมียนซี
[อิ๋งอิ๋ง ฉันอยากหักขาเขา(อีโมชันยิ้ม)]
[(รูปภาพ)]
เป็นรูปแคปหน้าจอการสนทนาระหว่างหลิงเหมียนซีกับเนี่ยอี้ มีแค่สองข้อความ
[หลิงเหมียนซี : น้องอี้อี้ ฉันอิ่มจนจะอ้วก ทำไงดี(อีโมชันตะลึง)]
[เนี่ยอี้ : ทำไมอยากอ้วกล่ะ ไม่ได้กินข้าวเหรอ]
อิ๋งจื่อจินที่อ่านจบ “…”
เธอครุ่นคิด จากนั้นก็คัดลอกข้อความแรกของหลิงเหมียนซี เปลี่ยนชื่อเรียกแล้วส่งให้ฟู่อวิ๋นเซิน
เขาตอบกลับเร็วมาแต่ไหนแต่ไร
[ในช่องกระเป๋าด้านขวาของเธอมีกล่องยาสีขาว ในนั้นมียาช่วยย่อย กินไปก่อนสองเม็ด จากนั้นให้เพื่อนช่วยพาไปที่ห้องพยาบาลนะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวพี่ชายจะไปรับ ทนไม่ไหวก็บอกพี่ชายได้]
กล่องยาสีขาวเหรอ
อิ๋งจื่อจินหยิบกระเป๋าหนังสือออกมาจากลิ้นชัก รูดซิปออก และก็เห็นกล่องยาสีขาวจริงๆ
ในนั้นนอกจากยาช่วยย่อยแล้วยังมียาลดไข้กับยาสามัญประจำบ้านอื่นๆ เอาใจใส่ถึงขั้นมียาอมให้ด้วย
เธอจำไม่ได้ว่าเธอเคยเอาของแบบนี้ใส่กระเป๋าเป้มาด้วย
ใครเอามาใส่ ไม่ต้องบอกก็รู้
อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่
เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฟู่อวิ๋นเซินจะรอบคอบมาจนถึงเรื่องพวกนี้ด้วย
หากไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีทางเสียใจ
ถึงแม้เธอจะไม่ได้แน่นท้อง แต่สุดท้ายก็หยิบยาช่วยย่อยมากินสองเม็ด
“พ่ออิ๋ง ช่วงนี้ดูเปล่งปลั่ง มีคนที่ชอบแล้วเหรอ” ซิวอวี่ทำข้อสอบวิชาเคมีเสร็จแล้ว
“ดูอารมณ์ดีนะ มีชีวิตชีวาขึ้นด้วย”
ซิวอวี่ไม่มีทางลืมตอนเจออิ๋งจื่อจินครั้งแรก
อิ๋งจื่อจินงดงามเหมือนภาพวาด ใบหน้าชวนสะกดใจ
แต่แววตาของเธอเย็นชาดุจน้ำใต้พื้นพิภพที่เย็นเฉียบ นิ่งสงบไม่แยแส ราวกับไม่ว่าใครหรือเรื่องอะไรก็มายุ่งกับเธอไม่ได้
ไม่ได้เย็นชา แต่คือการไร้เยื่อใย
อิ๋งจื่อจินชะงักอยู่ในท่าดื่มน้ำ “ความรู้สึกตอนชอบคนมันเป็นยังไงเหรอ”
“มานี่มา เจ๊อวี่จะเปิดคอร์สสอนให้” ซิวอวี่วางโจทย์ในมือลงทันที
“พ่ออิ๋ง ฉันขอถามหน่อยนะ เธอชอบอยู่กับเขาตามลำพังไหม”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “อืม”
“เวลาเขาไม่สบายหรือบาดเจ็บเธอจะเป็นห่วงมากใช่ไหม”
“อืม”
“ชอบคุยกับเขาไหม”
“อืม”
“ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงในสายตาคนอื่น แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าเขาดีที่สุดใช่ไหม”
“อืม”
“เขามีความสุขเธอก็มีความสุข ถ้าเขาเศร้าเธอก็เศร้าตามด้วย”
พอมาถึงคำถามนี้อิ๋งจื่อจินก็เงียบไป
เธอนึกถึงตอนนั้นที่เธอขึ้นเขา เห็นฟู่อวิ๋นเซินคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพที่ไม่มีข้อความอะไรท่ามกลางฝนกระหน่ำ หัวใจราวกับถูกอะไรมาสะกิด
ตอนนั้นเธอเองก็พลอยเศร้าไปด้วย
ต่อให้ไม่มีคำสั่งเสียของผู้เฒ่าฟู่ เธอก็จะคอยดูฟู่อวิ๋นเซินให้อยู่ดี
หลังจากเงียบไปสักพักเธอก็พยักหน้า “อืม”
ซิวอวี่ถามต่อ “แล้วถ้าเขาไปสนิทกับคนอื่นเธอจะหึงใช่ไหม”
อิ๋งจื่อจินวางแก้วลง “หึงคือความรู้สึกแบบไหน”
“คือ ฉันก็ไม่เคยรู้สึกด้วยสิ” ซิวอวี่ลูบคาง
“น่าจะแบบร้อนใจ เอาเป็นว่าใครกล้าทำให้ฉันหึง แม่จะตบให้ตายชักเลย”
สักพักอิ๋งจื่อจินถึงตอบ “ก็มี”
หยุดเล็กน้อย “ถ้ามีหมดนี่ก็คือการชอบแล้วเหรอ”
คราวนี้ซิวอวี่ตะลึง
เธอมองไปรอบๆ ด้วยความระแวงก่อน เมื่อแน่ใจว่าคนอื่นกำลังก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบเธอถึงกระซิบ
“ใครเหรอๆ หมูตัวไหนที่คาบผักกาดขาวบ้านเราไป”
นักเรียนชายในชิงจื้อที่ชอบอิ๋งจื่อจินมีอยู่ไม่น้อย สามารถรวมเป็นทีมฟุตบอลส่งไปชิงแชมป์โลกได้สิบกว่าทีม ถึงแม้คนที่มาสารภาพรักทั้งหมดจะถูกปฏิเสธ แต่นักเรียนชายเหล่านี้ก็ยังมีแอบนัดกันว่า ถ้าใครไปขอคบได้สำเร็จก็จะต้องมาสู้กับคนอื่นๆ ที่กินแห้ว
แล้วนี่ต้องสู้กันตั้งกี่ยกล่ะ
อิ๋งจื่อจินไม่มีปิดบัง นั่งพิงหน้าต่างอย่างขี้เกียจ “เดี๋ยวเธอก็ได้เจอ”
ซิวอวี่ตะลึงกว่าเดิม “คือคุณชายเจ็ดจริงเหรอ”
ปกติฟู่อวิ๋นเซินจะมารับอิ๋งจื่อจินที่โรงเรียนทุกวัน
แต่ถ้าคิดดูดีๆ ก็จริง
นอกจากฟู่อวิ๋นเซินแล้วก็ไม่มีใครอีก
ใครที่เคยเจอผู้ชายแบบนี้ก็ยากที่จะเห็นคนอื่นเข้าตาอีก
อิ๋งจื่อจินหาว ดวงตาหงส์ขมุกขมัว “ถ้าที่เธอบอกมาพวกนี้มันคือการชอบคนคนหนึ่ง งั้นก็ใช่แล้ว”
“แล้วเขาชอบเธอไหม” ซิวอวี่เริ่มซอกแซก “ฉันว่าเขาต้องสนใจในตัวเธอแน่นอน!”
“ไม่รู้สิ” อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่ “ฉันไม่รู้สึกถึงอะไร”
“ไม่ว่ายังไงฉันว่าตอนนี้พวกสาวไฮโซคงเสียใจกันหมดแล้ว” ซิวอวี่สะใจ “นี่ถ้ารู้ก่อนว่าคุณชายเจ็ดยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แถมยังร่ำรวย ตอนนั้นคงไม่มีใครมองข้ามเขาขนาดนั้น”
เพียงแต่น่าเสียดาย บนโลกนี้ไม่มียาแก้การเสียใจภายหลัง
ออดเลิกเรียนดังขึ้น ซิวอวี่สะพายกระเป๋าหนังสือเดินตามอิ๋งจื่อจินออกไป
เจียงหรานอยากตามไปด้วย แต่กลับถูกเธอโยนข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยย้อนหลังห้าปีให้
ด้านนอกโรงเรียนมีคนเดินขวักไขว่ หาบเร่แผงลอยก็ออกมากัน
อิ๋งจื่อจินหยุดเดินตอนเดินไปถึงหน้าอนุสาวรีย์ของโรงเรียน ฟังไม่ออกว่าพูดด้วยอารมณ์ไหน “ดูสิ เขากำลังเอาใจหมา”
ซิวอวี่มองตามสายตาของเธอ
เห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำก้มตัวลงเล็กน้อย
นิ้วเรียวยาวของเขาลูบหัวสุนัขตัวเล็ก มืออีกข้างถือไส้กรอกหนึ่งอัน กำลังป้อนสุนัข
ท่าทางอ่อนโยนจนยากจะจินตนาการ
ซิวอวี่รู้จักสุนัขตัวนี้
มันเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เจ้าของเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนี้
เจ้าของตายไปก่อนหน้านี้ แต่สุนัขตัวนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้ เดินตามทางที่เจ้านายเก่าเคยเดิน
นักเรียนของชิงจื้อเห็นเข้าก็จะให้อาหารมันกินทุกวัน
ซิวอวี่กระแอม “นี่แสดงว่าเขามีจิตใจเมตตา ผู้ชายที่ใจดีมีเสน่ห์ที่สุด”
“ประเด็นคือ…” อิ๋งจื่อจินซื้อชานมหนึ่งแก้ว ค่อยๆ พูดขึ้น “เขาก็ลูบหัวฉันแบบนี้เหมือนกัน”
ซิวอวี่ “…”
หนุ่มเอ๊ย เอ็งตายแล้ว
ทั้งสองคนเดินเข้าไป
ฟู่อวิ๋นเซินป้อนสุนัขนำทางตัวนั้นเสร็จพอดี
เขายืนขึ้น เช็ดมือให้สะอาดแล้วรับกระเป๋าเป้ของอิ๋งจื่อจินมา “พิธีบรรลุนิติภาวะอยากได้แบบไหน”
พอถูกเตือนความจำขึ้นมาแบบนี้ ซิวอวี่ถึงนึกออก
“จริงสิพ่ออิ๋ง เธอจะบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่พอถึงตอนนั้นทางโรงเรียนก็จะมีพิธีบรรลุนิติภาวะเหมือนกัน จัดรวมกัน”
ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ประเทศจีนให้ความสำคัญกับพิธีบรรลุนิติภาวะมาตลอด
อิ๋งจื่อจินไม่แคร์เท่าไร เธอส่ายหน้าเล็กน้อย “ตามสบาย ฉันยังไงก็ได้”
“ได้ยังไงกัน” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “พิธีบรรลุนิติภาวะของเยาเยาจะจัดส่งเดชได้ยังไง ต้องจัดให้ดีที่สุดสิ”
ฟังถึงตรงนี้อิ๋งจื่อจินก็เหลือบมองเขา ไม่ตอบ เดินไปข้างหน้า
ฟู่อวิ๋นเซินย่อมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ
เขานึกถึงข้อความในวีแชท ครั้นแล้วจึงถอยหนึ่งก้าว ถามซิวอวี่
“เยาเยาปวดท้องใช่ไหม ก็เลยอารมณ์ไม่ดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นในโรงเรียนอีกหรือเปล่า”
ซิวอวี่ค่อยๆ พูดขึ้น “เปล่า เพราะเมื่อกี้คุณลูบหัวหมาต่างหาก”
“…”
…
เวลาเย็น
อิ๋งเจิ้นถิงออกจากโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง ไม่ได้กลับบ้านตระกูลอิ๋ง ทั้งยังจงใจโทรบอกจงมั่นหวาว่าต้องไปจัดการธุระที่บริษัท
เขาอ้อมไปหลายช่วงถนน ไปถึงชานเมือง
ที่นั่นเป็นร้านกาแฟที่มีห้องส่วนตัวให้ เวลานี้มีคนไม่มาก
อิ๋งเจิ้นถิงมองรอบๆ แล้วถึงเข้าไป เดินไปที่หน้าห้องส่วนตัวแล้วเคาะประตู
มีเสียงดังมาจากด้านใน “เข้ามาสิ ไม่มีคนอื่น”
อิ๋งเจิ้นถิงเปิดประตูเข้าไป