ตอนที่ 434 หงายเงิบกันทั้งงาน
เวลานี้กระแสวิพากษ์วิจารณ์กำลังร้อนแรงขั้นสุด
ชาวเน็ตด่าก็ส่วนด่า แต่ก็รอคอยงานแถลงข่าวในวันรุ่งขึ้น
อันที่จริงส่วนหนึ่งของคนที่ด่าเป็นหน้าม้าที่เทียนสิงมีเดียส่งมาเพื่อโหมกระแส
มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยที่เงียบ ไม่แสดงความคิดเห็นอะไร
เฉินหลีก็เห็นแถลงการณ์ของชูกวงมีเดียแล้ว แค่รู้สึกเหลือเชื่อ “ประธานลั่วบ้าไปแล้วหรือเปล่า ถึงบอกว่าซีอีโอของชูกวงมีเดียลวนลามดาราสาว”
นับตั้งแต่เยี่ยซีถูกแบน เฉินหลีก็ตกงาน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีบริษัทบันเทิงอื่นกล้ารับเธอไว้
ทั้งสองคนอาศัยเบียดกันอยู่ในคอนโดที่เล็กมาก อาหารสามมื้อก็กินอย่างง่ายๆ
ไม่ต่างอะไรจากคนเร่รอนยกเว้นเรื่องมีบ้าน
เฉินหลีทำงานให้เทียนสิงมีเดียมานานย่อมรู้ว่าถงอวี่เฟยทำแบบนี้เป็นสไตล์ของเทียนสิงมีเดีย
แต่ซีอีโอของชูกวงมีเดียเหรอ
อิ๋งจื่อจินเป็นผู้หญิงนะ!
จะลวนลามได้ยังไง
“ฉันต้องโทรไปถามประธานลั่วดูหน่อย” เฉินหลีหยิบโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอแตกไปครึ่งหนึ่งออกมา “นี่เขาล้อเล่นหรือเปล่า”
ชูกวงมีเดียจัดงานแถลงข่าวนี้ก็เพื่อรอให้เทียนสิงมีเดียกระโดดเข้าไป
แต่ยังไม่ทันที่เฉินหลีจะได้กดโทรออกก็ถูกเยี่ยซีปัดตก
โทรศัพท์มือถือกลิ้งตกพื้นหนึ่งรอบ ดับสนิท
เฉินหลีโมโห “เยี่ยซี เธอทำอะไรน่ะ อย่าลืมนะว่าฉันเป็นคนออกค่าเช่าบ้านเดือนนี้”
“พี่จะบอกลั่วเหวินปินเหรอ พี่จะบอกอะไร” เยี่ยซีแสยะยิ้ม “พี่จะบอกว่าอิ๋งจื่อจินต่างหากที่เป็นซีอีโอของชูกวงมีเดียเหรอ โง่หรือเปล่า”
เธอทำขวดเบียร์ตกพื้น “อย่าลืมนะว่า เป็นเพราะเทียนสิงมีเดียลอยแพพวกเรา ทำให้พี่ไม่มีงานทำ ทำไมพี่ใจดีขนาดนี้ กลับเป็นฝ่ายจะไปช่วยพวกเขาเหรอ รอดูพวกเขาสู้กันเองไม่ดีกว่าเหรอ”
ตอนนั้นเทียนสิงมีเดียไม่สนใจเธอ ครั้งนี้ก็อย่าหวังว่าเธอจะช่วยเตือนเทียนสิงมีเดียเลย
ทางที่ดีขอให้เทียนสิงมีเดียกับชูกวงมีเดียฆ่ากันให้อ่วม พังยับเยินไปทั้งคู่
เฉินหลีได้ฟังก็อึ้งไป
แต่พอคิดดูดีๆ แล้วก็จริง
เธอไม่ใช่พนักงานของเทียนสิงมีเดียแล้ว ยังจะเป็นห่วงบอสกับอนาคตของบริษัททำไม
เฉินหลีเม้มริมฝีปาก เก็บโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกลับไปนั่งที่โซฟาอีกครั้ง สายตาเหม่อลอย
…
ฟู่อวิ๋นเซินทำงานมีประสิทธิภาพสูงมาก ห้านาทีก็ทำเสร็จทั้งสองงานแล้ว
เขายื่นแฟลชไดร์ให้อิ๋งจื่อจินแล้วลูบศีรษะเธอ
จงใจขยี้ผมคล้ายเป็นการลงโทษ
อิ๋งจื่อจินสีหน้าเรียบเฉย “ทำอะไร”
“เปล่า ก็แค่อยากบอกว่า…” ฟู่อวิ๋นเซินนั่งข้างเธอ ยิ้มมุมปาก “แฟนสาว ครั้งหน้ามาบอกแฟนหนุ่มนะ”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย “เห็นฉินหลิงเยี่ยนบอกว่าคุณไม่แตะคอมพิวเตอร์”
เธอรู้ว่าอดีตของเขามืดมนมาก
ดังนั้นถ้าเขาไม่พูด เธอก็จะไม่ถาม
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินไม่ปฏิเสธ ยิ้มพลางมองด้วยสายตาอ่อนโยน “แต่ถ้าเพื่อเธอก็ทำได้”
ทำได้ทุกอย่างเพื่อเธอ
“งั้นได้” อิ๋งจื่อจินรับแฟลชไดร์ไว้ เลิกคิ้ว “ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรฉันจะไปหาคุณ”
“นั่นแหละถูกต้อง” ฟู่อวิ๋นเซินหยิบหวีมาหวีให้เธอ ยิ้มบาง “พี่ชายตัดสินใจจะเตือนเธอบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าเธออาจไปหาคนอื่นอีก”
“เยาเยา ตอนนี้พี่ชายเป็นแฟนเธอ เธอควรมารบกวนพี่ชายนะ”
อิ๋งจื่อจินปล่อยให้เขาหวีผม
ไม่กี่วินาทีถัดมาเธอก็มองตัวเองในกระจก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าฟู่อวิ๋นเซินหวีผมได้ห่วยมาก
อิ๋งจื่อจินเอาหวีมาจากมือเขา “ฉันทำเอง”
ฟู่อวิ๋นเซิน “ขอใช้สิทธิ์ความเป็นแฟนได้ไหม”
อิ๋งจื่อจินหวีผมเสร็จก็ตอบ “สิทธิ์อะไร”
“เยาเยา ดูสิเตียงห้องเพรสซิเด้นท์สวีทใหญ่ขนาดนี้ นอนคนเดียวมันเหงา ขอนอนกอดเธอได้ไหม” ฟู่อวิ๋นเซินกะพริบตาปริบๆ น้ำเสียงออดอ้อน “วางใจได้ ถ้าเธอไม่อนุญาตพี่ชายก็จะไม่ทำอย่างอื่น”
อิ๋งจื่อจินชะงัก เงยหน้า มองไป ไม่กี่วินาทีถัดมาสุดท้ายก็ขยับให้เขาครึ่งเตียง “กอดสิ”
หยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ยังไงซะคุณก็ไม่กล้าทำอะไรหรอก ถ้ากล้าฉันจะหักขาคุณ”
“…”
…
งานแถลงข่าวจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของชูกวงมีเดียในเวลาบ่ายสองโมงวันที่ยี่สิบสามมิถุนายน
บรรดาสื่อต่างไปที่นั่น
ลั่วเหวินปินก็ย่อมไปด้วย
“ประธานลั่วครับ” เลขาที่ตามมาเริ่มจิตใจไม่เป็นสุข “ชูกวงมีเดียจัดงานแถลงข่าวเร็วขนาดนี้คงไม่ได้มีหลักฐานจริงๆ นะครับ”
ลั่วเหวินปินเงียบไปชั่วขณะ เขาส่ายหน้า “ไม่มีทาง พวกเรารุกหนักจนพวกเขาไม่แม้แต่จะได้ตั้งตัว รับมือไม่ทันหรอก”
“นี่ยังไม่ถึงสองวัน จะเอาหลักฐานมาจากไหนได้”
อีกเดี๋ยวก็จะล้มชูกวงมีเดียได้แล้ว เขารอมาห้าปี ในที่สุดก็ได้โอกาสนี้
เลขาชี้ที่นั่งตรงกลางสุดของแถวแรก “ประธานลั่วเชิญนั่งตรงนี้ครับ”
ลั่วเหวินปินแสยะยิ้ม “ดูท่าชูกวงมีเดียคิดจะสู้เต็มที่เลยสินะ”
จัดให้เขานั่งตรงนี้ ไม่กลัวขายหน้าหรือไง
พอถึงเวลาต้องประจันหน้ากัน เขาล่ะอายแทนชูกวงมีเดียจริงๆ
ลั่วเหวินปินนั่งลงแล้วมองไปรอบๆ
จากนั้นเขาก็เห็นว่าที่นั่งด้านขวามือของเขาคือถงอวี่เฟย ด้านซ้ายคือจันเหอ
ผู้ได้รับความเสียหายทั้งสามคน
ไม่นานจันเหอกับถงอวี่เฟยก็มาถึงเหมือนกัน
จันเหออายุสี่สิบกว่า แต่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ใบหน้าแทบจะไม่มีริ้วรอย
เธอมองลั่วเหวินปิน แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จัก จากนั้นก็นั่งลง
ถึงแม้จันเหอจะเป็นดีไซเนอร์ อันที่จริงภาพชุดกิเลนเหลืองไม่ใช่ฝีมือการออกแบบของเธอ เธอก็แค่ถูกเอาชื่อมาใช้แค่นั้น
ลั่วเหวินปินสืบหาอยู่นาน พบว่าจันเหอสอดคล้องกับเงื่อนไขในแต่ละด้าน ถึงได้ให้เธอมาสวมรอย
เวลาสองโมง สื่อทุกสำนักก็มาพร้อมกันหมดแล้ว
การถ่ายทอดสดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
คนที่รับหน้าที่ดำเนินรายการในงานแถลงข่าวครั้งนี้คือเลขาสาว
เธอยืนอยู่ตรงกลางเวที ถือไมโครโฟน “ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมางานแถลงข่าวของพวกเรานะคะ ก็เหมือนกับที่ได้ออกแถลงการณ์ไป พวกเราจะมาจบเรื่องทั้งหมดค่ะ”
“ก่อนอื่นพวกเราขอเริ่มที่คุณจันเหอค่ะ”
“คุณจันเหอคะ คุณน่าจะมีอะไรอยากพูด”
ไมโครโฟนถูกยื่นให้จันเหอ
เธอเหลือบมองลั่วเหวินปินเล็กน้อยแล้วถึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ค่ะ ฉันมีอะไรอยากพูด เพราะฉันต้องการบอกพวกคุณว่า ฉันไม่ต้องการคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ฉันต้องการแค่คำขอโทษ พวกคุณยังต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ฉันด้วย”
“ถ้าพวกคุณไม่เอาความปลอดภัยของคนในครอบครัวมาขู่ฉัน ฉันก็ไม่มีทางออกแบบชุดให้พวกคุณ!”
เลขาสาวยังคงใจเย็น “คุณจันเหอมั่นใจขนาดนี้เลยเหรอคะว่าคุณคือนักออกแบบที่ใช้นามว่าปีศาจ”
“ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใคร” จันเหอยืนกรานเสียงแข็ง “พวกคุณทำอะไรไว้ไม่ยอมรับเหรอ”
“ขอแค่เป็นเรื่องที่ชูกวงมีเดียทำ พวกเรายอมรับแน่ค่ะ” เลขาสาวพูด “แต่น่าเสียดายที่คุณจันไม่ใช่นักออกแบบที่ใช้นามว่าปีศาจ”
“ชูกวงมีเดียเชิญนักออกแบบที่ใช้นามว่าปีศาจตัวจริงมาที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวคุณจันก็จะได้เจอกับเธอค่ะ”
“น่าขำ” จันเหอโมโหจนหัวเราะ “ฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้ พวกคุณเอาคนในครอบครัวมาข่มขู่ฉัน ให้ฉันออกแบบเสื้อผ้าให้พวกคุณ ตอนนี้ยังจะหาคนมาปลอมเป็นฉันอีกเหรอ”
เลขาสาวไม่โกรธ กลับยิ้มเบาๆ “ใครกันแน่ที่เป็นตัวปลอม คุณจันเหอก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอคะ”
สีหน้าของจันเหอเปลี่ยนอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “เอาที่พวกคุณสบายใจ ฉันก็อยากจะรอดูว่าปีศาจคือใคร”
[สงสาร น่าสงสารจันเหอมาก ถูกบังคับให้ออกแบบเสื้อผ้า ทั้งยังถูกบีบให้ต้องเผยตัว ตอนนี้ยังจะถูกสวมรอยอีก]
[นี่ก็คือหลักฐานที่ชูกวงมีเดียบอกเหรอ หาใครก็ไม่รู้มาบอกว่าเป็นปีศาจ ชั้นต่ำไปไหมอะ]
[ถ้าจันเหอไม่ได้เป็นคนออกแบบ งั้นทำไมชูกวงมีเดียถึงไม่มีภาพชุดกิเลนเหลือง แต่เธอกลับมี]
[ไหนขอดูหน้าคนที่ชูกวงมีเดียเอามาอ้างหน่อย ดีไซเนอร์คนไหนที่กล้ารับงานสวมรอยแบบนี้]
จากนั้นก็มีสตาฟสองคนยกโต๊ะกับเก้าอี้ขึ้นมาบนเวที
ตามมาด้วยเสียงเดินอย่างใจเย็น
บรรดาสื่อต่างมองไป ยกอุปกรณ์ถ่ายภาพขึ้นมา
เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่สวมเสื้อแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีนส์สีเข้ม
เธอสวมหมวก ดึงปีกหมวกลงมาต่ำ เผยให้เห็นแค่คาง
เห็นใบหน้าไม่ชัด
สิ่งเดียวที่มองออกคือเธออายุยังน้อย ไม่เกินยี่สิบแน่นอน
[ขำเป็นบ้า นี่คือดีไซเนอร์ที่ชูกวงมีเดียหามาเหรอ เด็กขนาดนี้เลยเหรอ ใครจะเชื่อ]
[ยังต้องให้พูดอีกเหรอ แบนชูกวงมีเดีย!]
เด็กสาวเดินไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง
เธอถอดหมวกออก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น
คราวนี้กล้องทุกตัวจับไปที่ใบหน้าของเธอ ชัดเจนแจ่มแจ้ง
ใบหน้าที่งดงามชวนหลงใหล เมื่อถูกกล้องซูมเข้าไปก็ยิ่งมีอานุภาพอย่างแรงกล้า
[…]
ข้อความเลื่อนบนหน้าจอหายไปหมด คำพูดประชดประชันก็ไม่มีเหลือ
บรรยากาศในงานเงียบสนิท
สามสิบวินาทีเต็มๆ ถัดมาถึงได้มีข้อความโผล่
[ว้าก!!! เทพอิ๋งของฉัน!!!]