ตอนที่ 511 ตัวตนที่เปิดเผยไม่หมดสักที รุมรักเทพอิ๋ง
ผู้สืบทอดคนที่สอง ฮั่วเถิงเฟย
ผู้สืบทอดคนที่สาม เหรินเซียว
ผู้สืบทอดคนที่สี่ เวินเฟิงเหมียน
ผู้สืบทอดคนที่ห้า ชวีเซวียน
ในบรรดาตัวเลือกผู้สืบทอดทั้งห้าคนนี้ มองผ่านๆ ไม่มีแซ่จี้แม้แต่คนเดียว
แน่นอนว่าทางตระกูลจี้ก็รู้ว่าเวินเฟิงเหมียนแซ่จี้ เป็นคนตระกูลจี้
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ยังมีคนแซ่อื่นโผล่มาถึงสี่คน
เปอร์เซ็นต์เท่านี้ไม่มีใครในตระกูลจี้ต่างคาดคิด
ถึงแม้คนแซ่อื่นเข้ามาอยู่ตระกูลจี้จะต้องสาบานว่าจะไม่มีทางทรยศตระกูลจี้ไปตลอดชีวิต
หากทรยศ จุดจบคือไม่ตายไม่เลิกรา
ตระกูลจี้มีโลกจอมยุทธหนุนหลัง หลายปีมานี้ยังไม่เคยเจอคนทรยศ
แต่ใครจะรู้ว่าต่อไปจะมีหรือไม่มี
“ทุกท่านคงมองออกแล้ว” ผู้อำนวยการดันแว่นตา ถอนหายใจ
“ห้าหกปีที่ผ่านมานี้ คนตระกูลจี้ของเรากลับดูด้อยลงในด้านงานวิจัยด้วยซ้ำ งานวิจัยวิทยาศาสตร์เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ล้วนเป็นผลงานของคนที่เรารับเข้ามา”
“อายุของผู้สืบทอดต้องต่ำกว่าห้าสิบ อีกทั้งต้องติดชาร์ตผลงาน จากนั้นเรียงอันดับตามผลงานวิจัย ถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้”
เกิดความเงียบภายในห้องประชุม
จี้อี้หางก็เงียบ ไม่พูดอะไร
เขาจำได้ดีว่า อุบัติเหตุบนเกาะที่เวินเฟิงเหมียนประสบมาในตอนนั้นได้ทำให้นักวิจัยห้าคนของตระกูลจี้ต้องตาย
ซึ่งนักวิจัยห้าคนนี้เป็นนักวิจัยชั้นยอดของตระกูลจี้ในช่วงเวลานั้น
ถ้าเวินเฟิงเหมียนก็ตายในอุบัติเหตุการทดลองบนเกาะนั้นจริง ตัวเลือกผู้สืบทอดห้าคนที่เลือกมาในวันนี้ก็ไม่มีใครที่เป็นคนของตระกูลจี้แล้ว
“ผู้อำนวยการครับ” ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงโต๊ะยาวประชุมเงยหน้าขึ้นแล้วถามกลับ
“สืบทอดตระกูลจี้กับศูนย์วิจัยไม่มีกำหนดให้คนตระกูลจี้ได้เปรียบมาเป็นอันดับแรกเหรอครับ”
ให้คนแซ่อื่นมาสืบทอดตระกูลจี้มันออกจะแปลกประหลาด
ให้สถานะและตำแหน่งที่สูงกับคนแซ่อื่นพวกนี้ได้ แต่จะให้อำนาจสืบทอดเลยเหรอ
ผู้อำนวยการเงียบไปชั่วขณะแล้วถึงตอบ “นี่เป็นความต้องการของทางตระกูลเดิม”
เวลานี้มีผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้น “สำหรับคนตระกูลเดิม พวกเขาแค่ต้องการให้วิจัย ไม่ได้ต้องการแซ่”
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง
คำพูดนี้คือเรื่องจริง
มีจอมยุทธ์อยู่ คนทั่วไปก็จำต้องยอมสยบ
ต่อให้ต่อจากนี้ตระกูลจี้เปลี่ยนแซ่ก็ไม่กล้าหักหลังโลกจอมยุทธอยู่ดี
“นี่ไม่ใช่ผลการจัดอันดับที่สมบูรณ์” ผู้อำนวยการให้คนแจกเอกสารอีกครั้ง
“ปลายปีพวกเราจะมีการโหวต คนตระกูลเดิมก็จะมาด้วย”
“ถ้าผู้สืบทอดที่อยู่ในนี้มีคนในสายตระกูลของพวกคุณก็ไปบอกพวกเขาด้วย”
ตัวเลือกผู้สืบทอดสามคนอย่างฮั่วเถิงเฟย เหรินเซียว และชวีเซวียนล้วนเป็นคนของสายตระกูลอยู่แล้ว พวกเขาเป็นลูกเขย
มีแค่เหยียนรั่วเสวี่ยที่เป็นกรณีพิเศษ
แต่ก็มีแค่เหยียนรั่วเสวี่ยที่รู้จักกับคนทางยุโรปมากมาย
ในด้านงานวิจัย ข้อมูลสำคัญและข้อมูลการทดลองจำนวนไม่น้อยล้วนอยู่ในมือของพวกอิทธิพลใหญ่ระดับโลก
หากไม่มีเส้นสาย เมื่ออิทธิพลใหญ่เหล่านี้ปิดล็อกข้อมูลกับเอกสารเหล่านี้ งานวิจัยของตระกูลจี้ก็จะหยุดชะงัก
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกผู้อาวุโสเลือกเหยียนรั่วเสวี่ยมาเป็นอันดับหนึ่งเป็นเพราะเหยียนอันเหอหลานสาวของเธอเป็นสมาชิกของสมาพันธ์โอสถ ในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้าฝากตัวเป็นศิษย์สำนักเดียวกับที่หลินชิงจยาอยู่
จี้อี้หางถือเอกสารกลับบ้าน เล่าเรื่องที่ประชุมให้คุณนายจี้ฟัง
คุณนายจี้ขมวดคิ้ว “เหยียนรั่วเสวี่ยจะรู้จักคนเยอะเท่าเยาเยาเหรอ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เรียกได้ว่าเหยียนรั่วเสวี่ยเป็นอัจฉริยะอายุน้อยอันดับหนึ่งของตระกูลจี้
แต่เมื่ออิ๋งจื่อจินมาที่ตระกูลจี้ ทั้งยังหาบัตรเชิญที่มีค่ามากของโลกจอมยุทธมาให้ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงส่วนประกอบการทดลองที่หายากจำนวนไม่น้อย
คุณนายจี้ไม่รู้จริงๆ ว่าอิ๋งจื่อจินรู้จักคนระดับไหน
แต่เรื่องที่แน่ใจได้คือ หากเลือกมาสักคนจะต้องเป็นที่น่าตื่นตะลึงแน่นอน
“ไม่มีทาง” จี้อี้หางส่ายหน้า “แต่นี่ก็ต้องดูความต้องการของเฟิงเหมียนด้วย เดิมทีเฟิงเหมียนก็ไม่ได้อยากสืบทอดตระกูลจี้ บังคังไม่ได้หรอก”
คุณนายจี้พยักหน้าเห็นด้วย “คุณพ่อก็บอกว่าอย่าขังเยาเยาไว้กับตระกูลจี้เลย”
“เอาเป็นว่านี่ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย” จี้อี้หางถอนหายใจเบาๆ
“ยังมีเวลาอีกเกือบสามเดือน ถึงพรสวรรค์กับสติปัญญาของผมจะสู้เฟิงเหมียนไม่ได้ แต่ผมอยากลองสู้ดู”
จินตนาการได้เลยว่า เมื่อเหยียนรั่วเสวี่ยได้เป็นผู้สืบทอดจะวางอำนาจข่มพวกเขาขนาดไหน
คนที่จิตใจคับแคบแบบนี้ไม่เหมาะจะเป็นผู้สืบทอด
คุณนายจี้มีสีหน้าหนักใจ “ฉันจะช่วยคุณค่ะ”
…
อีกด้านหนึ่ง
ภายในร้านอาหารสไตล์ตะวันตก
“ยินดีด้วยนะคะคุณป้า” เหยียนอันเหอยิ้ม “เดิมทีหนูยังคิดว่าพอจี้อี้หยวนสูญเสียอิทธิพล คุณป้าจะต้องสูญเสียทรัพยากรไปมากแน่นอน นึกไม่ถึงว่าตระกูลจี้จะเลือกคุณป้าเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง”
เหยียนรั่วเสวี่ยเม้มริมฝีปากจิบไวน์แดงแล้วเขย่าแก้วเบาๆ
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้งานวิจัยของป้าเกิดผลมากที่สุดล่ะ พวกเขาก็เลยต้องให้ป้ามาเป็นอันดับหนึ่ง”
เวินเฟิงเหมียนกลับมาแล้วก็จริง แต่ในเวลาสั้นๆ แบบนี้ก็ทำการทดลองได้แค่ไม่กี่โปรเจ็กต์
เหยียนรั่วเสวี่ยอารมณ์ดีมากแบบที่หาได้ยาก
“อันเหอ อวี่เจ๋อฝึกเสร็จแล้วใช่ไหม ช่วงหยุดวันชาติพวกหลานไม่ออกไปเที่ยวเหรอ ต่อไปตระกูลจี้ยังต้องพึ่งเขาดูแล”
หนิงอวี่เจ๋อเป็นแฟนของเหยียนอันเหอ
“ป้าคะ ตอนนี้เขายังเป็นตัวสำรอง” เหยียนอันเหอเขินอายเล็กน้อย
“แม้แต่ผู้บัญชาการเขาก็ยังไม่เคยเจอหน้า อยากเข้าหน่วยอีจื้อง่ายที่ไหนกันคะ”
ในสายตาของคนจำนวนมาก ตระกูลที่มีอิทธิพลระดับสูงของตี้ตูก็คือตระกูลมู่ ตระกูลเนี่ย และตระกูลซิว
แท้จริงแล้วไม่ใช่
สำหรับคนในวงการนี้อย่างพวกเขา เมื่อตัดโลกจอมยุทธกับโลกแพทย์แผนโบราณออกไป กลุ่มที่อยู่เหนือสุดควรเป็นตระกูลตี้อู่ ตระกูลจี้ หน่วยอีจื้อ และมหาวิทยาลัยตี้ตู
ตระกูลตี้อู่ในที่นี้ไม่ใช่สายที่ทำธุรกิจ แต่เป็นสายที่มีพรสวรรค์ทางด้านการทำนาย
โดยเฉพาะหน่วยอีจื้อ รับหน้าที่กำกับดูแลตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหมดของตี้ตู ยิ่งไปกว่านั้นคือติดต่อทำงานกับไอบีไอ
อำนาจสูงมาก
เหยียนรั่วเสวี่ยยิ้ม “อันเหอ จัดการให้ดีนะ”
ถ้าพวกเธอมีเส้นสายกับทางหน่วยอีจื้อก็เรียกได้ว่ามีอำนาจไปทั้งตี้ตูแล้ว
…
หลังจากเหยียนอันเหอแยกกับเหยียนรั่วเสวี่ยก็กลับมหาวิทยาลัยตี้ตู
เธออยู่ปีสามแล้ว วิชาเรียนน้อยกว่าปีสอง
เหยียนอันเหอยังเป็นประธานสภานักศึกษา คนที่รู้จักเธอมีเยอะมาก พวกรุ่นน้องพากันทักทายเธอ
แต่วันนี้พวกนักศึกษาใหม่ที่เจอดูรีบร้อนกันมาก พร้อมใจกันวิ่งไปทางเดียวกัน ยังมีหลายคนที่ไม่ทันระวังชนเธอเข้า
เหยียนอันเหอขมวดคิ้ว พอเดินตามไปก็เห็นด้านหน้ามีกลุ่มคนรุมล้อมหนาแน่นทีเดียว
แถมยังมีคนชูป้ายให้กำลังใจจำนวนมาก เขียนแตกต่างกันไป
[เทพอิ๋งมองทางนี้!]
[เทพอิ๋ง เทพอิ๋ง เทพตลอดกาล!]
เหมือนที่จั่วหลีคาดการณ์ไว้ หลังจากอิ๋งจื่อจินออกจากห้องทำงานของอธิการบดีก็ถูกพวกนักศึกษาของมหาวิทยาลัยตี้ตูสังเกตเห็น
เธอถูกรุมล้อมทันที
ตอนแรกสุดพวกยามยังคิดว่าเกิดการชุมนุมในมหาวิทยาลัย ต่อมาพอเห็นอิ๋งจื่อจินก็ทำอารมณ์ไม่ถูก
ลุงยามคนหนึ่งใช้สิทธิพิเศษขอลายเซ็นให้ลูกสาวตัวเองที่ยังอยู่มอปลาย ขอเสร็จก็เดินออกไปอย่างมีความสุข
ในเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยตี้ตูก็แทบระเบิด
[เทพอิ๋งสดๆ ร้อนๆ ฉันถ่ายหน้าตรงได้ด้วย! สุดมาก หน้าตาแบบนี้ ยังจะ! มี! ใครอีก!]
[ได้ลายเซ็นมาแล้ว ลายมือเทพอิ๋งไม่ได้สวยธรรมดา ดูเหมือนเทพอิ๋งจะเคยฝึกเขียนอักษรพู่กันด้วยหรือเปล่า]
[กรี๊ด ฉันเรียนแคลคูลัสอยู่ออกไปไม่ได้ ทุกคน ขอลายเซ็นให้ฉันใบสิ ขอร้องล่ะนะ ก้มกราบ]
[เปิดแผง รับวิ่งไปขอลายเซ็น ไม่คิดเงิน แต่ต้องช่วยฉันโหวตด้วย ลิงก์นี้ (ลิงก์) ฉันชื่อลู่ชิงเฟิง ห้องสอง เอกการแสดงของสถาบันการละครตี้ตู]
[โวะ สถาบันการละครที่อยู่ข้างๆ มาทำอะไรที่นี่]
[อีกหน่อยฉันจะเข้าไปอยู่ในชูกวงมีเดีย มาเจอบอสล่วงหน้าไม่ได้หรือไง]
พวกนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยตี้ตู “…”
ผิดคาด
พวกเขาเกือบลืมไปว่าอิ๋งจื่อจินเป็นบอสของชูกวงมีเดีย
การแข่งขันสูงอะไรอย่างนี้
เกิดการถกเถียงกันในเว็บบอร์ด
อิ๋งจื่อจินไม่รู้เรื่องที่เกิดในเว็บบอร์ด
เธอนวดข้อมือ มองพวกนักศึกษาแถวหลังที่มองเธอด้วยดวงตาเปล่งประกาย
กลุ่มนี้ต่อคิวยาวไปถึงประตูตะวันออกของมหาวิทยาลัยแล้ว
ที่นี่เป็นศูนย์กิจกรรม ห่างจากประตูตะวันออกห้าร้อยเมตร
อิ๋งจื่อจิน “…”
ในที่สุดเธอก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเมื่อยมือ
เมื่อก่อนอัดคนต่อยคนยังไม่เคยเป็น
นักศึกษาหญิงที่อยู่คนแรกเข้าอกเข้าใจ “เทพอิ๋ง พักก่อนนะ วันนี้ฉันไม่มีเรียนบ่าย ไม่รีบ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า เธอเปิดขวดน้ำดื่ม
หน้าจอโทรศัพท์มือถือสว่างขึ้นมาพอดี ฟู่อวิ๋นเซินส่งข้อความวีแชทเข้ามา
[เด็กน้อย ตอนเย็นไปรับไหม]
อิ๋งจื่อจินใช้มือซ้ายกด
[เหนื่อยจนไม่อยากขยับแล้ว]
[อ๋า เดี๋ยวพี่ชายทำแทน นั่งเฉยๆ ก็พอนะ]
“…”
อิ๋งจื่อจินกดปิดหน้าจอมือถือด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หยิบปากกาเซ็นชื่อแล้วยื่นให้นักศึกษาหญิง
นักศึกษาหญิงที่เผลอเห็นชื่อแชทของคนที่คุยด้วยเป็นรูปหมู “?”
เธอถือลายเซ็นออกไปพร้อมสีหน้าเคว้งคว้าง
ช็อกหนัก เจ็บปวดเหลือเกิน
นักศึกษาหญิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเข้าเวยปั๋วแล้วกดเข้ากลุ่ม [คู่จิ้นยาวิเศษ] อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็โพสต์ข้อความ
[ทุกคน ฮือ ทำไงดี เทพอิ๋งมีหมูแล้ว ไม่ใช่ประธานฟู่ของพวกเรา]
[ว่าไงนะๆ]
คอมเมนต์ด้านล่างมีแต่รูปหู
นักศึกษาหญิงไม่ตอบ ยังคงจมอยู่ในความเจ็บปวดที่คู่จิ้นของตัวเองไม่สมหวัง
พวกนักศึกษาไม่สังเกตเห็นเหยียนอันเหอ คนที่ยังไม่ถึงคิวก็เอาคำศัพท์ไอเอลส์ออกมาท่อง
เหยียนอันเหอเม้มริมฝีปาก ทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น “ตอนนี้เป็นวันธรรมดา เป็นเวลาเข้าเรียน พวกเธอมาขวางทางสัญจรแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ”
เดิมทีบรรยากาศกำลังอบอวลด้วยความสุข เกิดความเงียบขึ้นทันที
พวกนักศึกษาต่างมองไปอย่างอึ้งๆ
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า
“อิ๋งจื่อจิน เธอสอบได้อันดับหนึ่งก็จริง แต่นักศึกษาใหม่ปีหนึ่งมองข้ามกฎของมหาวิทยาลัยแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” เหยียนอันเหอหยิบสมุดบันทึกแล้วพูดต่อ “คณะอะไร ฉันจะไปรายงานอาจารย์ประจำคณะ”