ตอนที่ 529 ตบหน้าชา บัคในรูปแบบคน
ศาสตราจารย์กู่ก็ตามเข้ามาด้วย
ด้านหลังยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายคนที่ช่วยยกหนังสือเข้ามา
“รุ่นน้องอิ๋ง นี่คือดอกเตอร์หัวหน้าแพทย์ของมหาวิทยาลัยตูริน” เฉินฉี่ที่อยู่ข้างๆ แนะนำให้อิ๋งจื่อจินรู้จัก “นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้เธอจะมาด้วย”
เมื่อขึ้นไปอยู่ถึงตำแหน่งหัวหน้าแพทย์แล้ว โดยทั่วไปจะไม่มีทางยุ่งเรื่องพวกนี้
ครั้งนี้กลับน่าประหลาดใจ
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ค่ะ ฉันรู้จัก”
“รู้จักเหรอ” เหยียนอันเหอได้ยินแบบนั้นก็แสยะยิ้ม “เธอจะรู้จักได้ยังไง เธอควรพูดว่าเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่า นักศึกษาสายวิทย์ใช้คำพูดไม่เป็นหรือไง ต้องให้ฉันสอนไหม”
เฉินฉี่หน้าบึ้ง “เหยียนอันเหอ เธอระวังคำพูดบ้างนะ!”
เหยียนอันเหอไม่พูดอะไรอีก แต่สายตาเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด
นักศึกษาของมหาวิทยาลัยตูรินไม่เข้าใจภาษาจีน ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แค่แปลกใจนิดหน่อย
ในเวลานี้เองมีเสียงเรียกอย่างสนิทสนม
“อิ๋ง”
อิ๋งจื่อจินลุกขึ้น “ดอกเตอร์นอร่า”
“อิ๋ง บังเอิญจริงๆ” นอร่ายิ้ม ยื่นมือออกไป “ก่อนมาประเทศจีนฉันยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเธอที่มหาวิทยาลัยตี้ตูหรือเปล่า เธอเข้าคณะแพทย์เหรอ”
ตอนนั้นมหาวิทยาลัยตูรินก็เชิญอิ๋งจื่อจินไปยุโรปเหมือนกัน แต่เธอปฏิเสธ
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เรียนแพทย์” อิ๋งจื่อจินก็ยื่นมือออกไปจับ พยักหน้าเล็กน้อย “ขาดคน ฉันก็เลยมาแทนค่ะ”
พอได้ยินแบบนี้นอร่าก็หันไปมองศาสตราจารย์กู่ “…”
เธอไม่พูดอะไร แต่สายตาสื่อได้ทั้งหมด
หมอเทวดาเป็นแค่ตัวสำรองเหรอ!
ใช้ทรัพยากรไม่เป็นกันเลย!
ศาสตราจารย์กู่เองก็งง เขารีบผายมือออกเพื่อบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง
เขาเองก็นึกไม่ถึงว่านอร่าจะให้เกียรติอิ๋งจื่อจินมากขนาดนี้
แบบนี้คือบัคในรูปแบบคนชัดๆ
เกรย์ออกอาการตะลึงมาก “ดอกเตอร์ครับ เธอก็คือหมอเทวดาอายุน้อยที่ดอกเตอร์พูดถึงเหรอครับ”
“ใช่ จะบอกว่าบังเอิญก็ไม่ถูกนัก” นอร่าพยักหน้า “ฉันตามมาที่ประเทศจีนด้วยก็เพื่อมาเจอนักศึกษาอิ๋งอีกครั้ง”
“คุณอิ๋ง สวัสดีครับ” เกรย์กระตือรือร้น “ตอนนั้นที่ดอกเตอร์มาบรรยายให้พวกเราฟังยังตั้งใจพูดถึงคุณด้วยครับ”
อิ๋งจื่อจินจับศีรษะ “เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ”
ตอนนี้เธอยอมรับความจริงอยู่เรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิงแล้วว่า
ชีวิตเกษียณของเธอพังไม่เหลือแล้ว
เฉินฉี่พูดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ใช้ภาษาอังกฤษพูดประชด “เหยียนอันเหอได้ยินหรือยัง รุ่นน้องอิ๋งรู้จักกับดอกเตอร์นอร่า แถมยังตั้งใจมาหารุ่นน้องอิ๋งด้วย เธออยากเรียนภาษาใหม่ไหม”
พอถูกทุกคนมอง เหยียนอันเหอก็ตัวเกร็ง กัดริมฝีปาก ฝืนพูด “ขอโทษค่ะ”
คราวนี้เธอยิ้มไม่ออกแล้ว
อย่างศาสตราจารย์กู่เรียกได้ว่าดึงตัวอิ๋งจื่อจินมาเข้าร่วมโครงการกับพวกเขาก็เพื่อบ่มเพาะเด็กรุ่นหลังของมหาวิทยาลัยตี้ตู
แต่ดอกเตอร์นอร่าเป็นแพทย์ชั้นยอดที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก
ปกติเธองานยุ่งมาก นอกจากทำวิจัยแล้วเธอยังต้องสอนหนังสืออีก
การจะเชิญเธอไปรักษามีแค่เงินไม่ได้ ต้องมีเส้นสายด้วย
หากไม่มีเส้นสายไม่มีทางเชิญได้
เหยียนอันเหอสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์
อิ๋งจื่อจินรักษาคนเป็นจริงๆ เหรอ
เธอนึกถึงตอนที่ฝึกระเบียบทหาร อิ๋งจื่อจินล้มเว่ยจื่อซวี่ที่เคยฝึกในหน่วยอีจื้อได้ จิตใจเริ่มสับสน
เหยียนอันเหอไม่รู้ว่าอิ๋งจื่อจินยังมีความสามารถอะไรอีก
ถ้าปล่อยให้อิ๋งจื่อจินกุมอำนาจในตระกูลจี้ได้ ไม่ยิ่งไปกันใหญ่เหรอ
“คุณอันเหอ ผมล่ะอิจฉามหาวิทยาลัยตี้ตูของพวกคุณจริงๆ ครับ” เกรย์รู้จักมักคุ้นกับเหยียนอันเหอมากที่สุดในบรรดาตัวแทนทั้งห้าของมหาวิทยาลัยตี้ตู เขาทอดถอนใจ “คุณไม่รู้หรอกว่าเมื่อตอนปิดเทอมหน้าร้อนมหาวิทยาลัยของเราส่งจดหมายไปเชิญเธอมาตลอด”
ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยตูริน รวมถึงมหาวิทยาลัยเฮลก้าที่อยู่อันดับสองของโลกก็คิดว่าอิ๋งจื่อจินจะต้องไปอยู่มหาวิทยาลัยนอร์ตันแน่
ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายเธอจะเลือกอยู่ในประเทศจีน เข้ามหาวิทยาลัยตี้ตู
บรรดาศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายคนที่ไปร่วมงานแข่งขันไอเอสซีต่างก็เสียดาย แต่ช่วยไม่ได้
ฟังถึงตรงนี้เหยียนอันเหอก็ไม่อยากแม้แต่จะไว้หน้าแล้ว
เธอพูด “ก็แค่ฝีมือการรักษาของโลกภายนอก”
เทียบกับแพทย์แผนโบราณได้เหรอ
ปรุงยาเป็นเหรอ
อิ๋งจื่อจินไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เข้าถึงสมาพันธ์โอสถ
แต่เธอทำได้
“การรักษาของโลกภายนอกเหรอ” เกรย์ตะลึง “อะไรคือการรักษาของโลกภายนอก”
เหยียนอันเหอยิ้ม “ฉันหมายความว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ไม่จำเป็นต้องยกยอปอปั้นขนาดนั้น”
“อ่อๆ” เกรย์พยักหน้า “ผมรู้ นี่เป็นคำพูดโบราณของประเทศจีน มีเหตุผลครับ แต่คำพูดนี้ดูไม่เหมาะจะใช้กับคุณอิ๋งเท่าไร เพราะคนรุ่นเดียวกับเธอคงไม่มีใครเก่งไปกว่านี้แล้ว”
เหยียนอันเหอโกรธหน้าเขียว “…”
…
ช่วงไม่กี่วันมานี้อิ๋งจื่อจินก็อยู่ในมหาวิทยาลัยตี้ตูตลอด
โครงการแลกเปลี่ยนไม่ยาก พวกสมาชิกในกลุ่มอย่างเฉินฉี่รับหน้าที่รักษาคนไข้ เธอมีหน้าที่บันทึกและจัดระเบียบข้อมูล
มีข้อความวีแชทเด้งขึ้นมา
[ตี้อู่เย่ว์ : พี่สาว ไม่ใช่แค่ตระกูลหลิน ตระกูลเซี่ย ตระกูลเย่ว์ สมาพันธ์โอสถ ศาลสถิตยุติธรรมและสหพันธ์จอมยุทธที่มากันหมด ต่างกำลังสืบเรื่องพี่ อยากเชิญพี่ไปเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้วย]
นักพยากรณ์ที่แค่ตวัดมือก็สร้างค่ายกลได้อย่างสบายๆ เป็นบุคคลที่เหล่าอิทธิพลใหญ่ต่างอยากแย่งชิงตัว
ตี้อู่เย่ว์ก็สังเกตเห็นแล้วว่าช่วงนี้มีจอมยุทธมาที่บ้านเก่าของตระกูลตี้อู่มากมาย คิดดูก็รู้ว่าเพื่อจับตาดูเธอว่าติดต่อกับอิ๋งจื่อจินหรือเปล่า
[อิ๋งจื่อจิน : คนคนนี้ตายไปแล้ว มีอะไรเผาเงินมา]
[ตี้อู่เย่ว์ : …]
อิ๋งจื่อจินปิดหน้าจอสนทนากับตี้อู่เย่ว์ คิดแล้วพิมพ์ข้อความหาฟู่อวิ๋นเซิน
[ฉันดูดวงเป็นอยู่บ้าง ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกได้]
ฟู่อวิ๋นเซินกดโทรกลับ น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม เข้มงวดเล็กน้อย “อย่าทำเรื่องแบบนี้”
การพยากรณ์ก็เหมือนกับการปรุงยาที่จะทำลายสุขภาพ
ต่อให้แม้เพียงเล็กน้อยเขาก็รับไม่ได้
โดยเฉพาะครั้งก่อนที่บ้านเก่าตระกูลตี้อู่ ฟู่อวิ๋นเซินสัมผัสได้แล้วจริงๆ ว่าอะไรคือความกลัว
แม้คำนี้จะไม่เคยปรากฏอีกหลังจากเขาอายุสองขวบ
ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายมาหลายครั้ง เขาไม่เคยกลัวแม้แต่ความตาย สิ่งเดียวที่กลัวคืออิ๋งจื่อจินล้มลง
“ฉันรู้จักประมาณตน” เปลือกตาของอิ๋งจื่อจินขยับ เอามือเท้าคาง ยิ้มเล็กน้อย “ผู้บัญชาการ ฉันช่วยแค่คุณ”
“ศาลสถิตยุติธรรมก็มีนักพยากรณ์ของตัวเอง” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ “เยาเยา อย่าทำให้พี่ชายกลัวสิ”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” เป็นครั้งแรกที่อิ๋งจื่อจินเปลี่ยนเรื่องคุย “ตอนเย็นกินอะไร”
“อืม พี่ชายจะไปรับ” ฟู่อวิ๋นเซินหัวเราะเบาๆ “ไว้ค่อยว่ากัน”
พอคุยเสร็จก็มีอีกสายโทรเข้ามา
จากเจียงหราน
เจียงหรานอ้ำอึ้งอยู่สักพักถึงพูดขึ้น “พ่ออิ๋ง”
สายตาของอิ๋งจื่อจินยังคงอยู่ที่คอมพิวเตอร์ เธอเคาะแป้นพิมพ์ “มีคำพูดก็รีบผาย”
เจียงหราน “…”
มันต้องมีลมก็รีบผายไม่ใช่เหรอ
เจียงหรานทำได้เพียงรีบพูด “ฉันใกล้ต้องเข้าร่วมทดสอบแล้ว พอถึงตอนนั้นพ่ออิ๋งจะมาดูไหม”
การทดสอบที่เจียงหรานจะเข้าร่วมคือการทดสอบผู้คุ้มกันของศาลสถิตยุติธรรม
ครั้งนี้ศาลสถิตยุติธรรมมีโควตาให้ทั้งหมดยี่สิบคน ตระกูลน้อยใหญ่ต่างส่งคนเก่งๆ ไปเข้าร่วม
หากเข้าไปอยู่ในศาลสถิตยุติธรรมได้ก็เหมือนมีหลักประกันในชีวิต
ตระกูลเซี่ยฝีมือโหดเหี้ยม แต่ก็ไม่มีทางลงมือกับคนของศาลสถิตยุติธรรมตามอำเภอใจ
สถานะของตระกูลหลิงในโลกจอมยุทธค่อนข้างก้ำกึ่ง จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก
แต่เนื่องจากมีคนเก่งอย่างหลิงเหมียนซี ตระกูลเซี่ยก็ทำได้แค่ปล่อยให้ตระกูลหลิงเป็นหนามยอกอก หาทางทำอย่างไรถึงจะกำจัดคนรุ่นหลังของตระกูลหลิงได้
“ขอดูก่อน” อิ๋งจื่อจินพิมพ์ข้อมูลสุดท้ายเสร็จก็ตอบแบบขอไปที
เจียงหรานเศร้า ตอบเสียงเบา “…อ่อ”
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “ฉันจะส่งยาไปให้”
หางของเจียงหรานกระดิกขึ้นมาทันที ดีใจมาก “ฉันจะไปเอาเอง!”
นี่ต่างหากพ่อแท้ๆ ของเขา!
อิ๋งจื่อจินกดปิดหน้าจอมือถือ ขณะที่ลุกขึ้นเตรียมออกจากห้องทดลอง ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย
มือของเธอหยุดชะงัก ล้วงสติกเกอร์หัวหมูออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ติดที่คอมพิวเตอร์
“รุ่นน้องอิ๋ง นี่อะไรเหรอ” เฉินฉี่เดินเข้ามาเห็นเธอติดสติกเกอร์พอดีก็สงสัย
อิ๋งจื่อจินสะพายกระเป๋าเป้ “สวยไหม”
หยุดเล็กน้อยแล้วพูดเสริม “ไม่ชอบให้คอมพิวเตอ์ดูดำสนิท”
เฉินฉี่พยักหน้า
นี่เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทางมหาวิทยาลัยเอาไว้ให้โครงการของพวกเขาใช้โดยเฉพาะ สีดำสนิท ไม่มีจุดเด่นอะไร
พอติดสติกเกอร์หัวหมูเข้าไปก็น่ารักพอสมควร
ในเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัยตี้ตูก็มีกระทู้บอกว่าอิ๋งจื่อจินเลี้ยงหมู มีหลายคนที่ไปต่อแถวดูหมูของอิ๋งจื่อจินที่หอพักเดี่ยวของเธอ
เฉินฉี่รออิ๋งจื่อจินออกไปแล้วก็ปิดประตู
ข้อมูลการทดลองสำคัญมาก ห้ามหายเป็นอันขาด
…
เวลาสองทุ่ม
เหยียนอันเหอกลับมาจากข้างนอก
สีหน้าของเธอเย็นชา ปลดล็อกด้วยรอยนิ้วมือพร้อมทั้งลบบันทึกการเข้ามาของตัวเอง จากนั้นก็เปิดประตูห้องทดลอง
คอมพิวเตอร์วางอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ปิดพับลงมา
เหยียนอันเหอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
เธอเดินเข้าไปเปิดคอมพิวเตอร์แล้วกรอกรหัสผ่าน
พวกเขาร่วมกันเตรียมโปรเจ็กต์ทดลอง เหยียนอันเหอรู้ว่าข้อมูลการทดลองถูกเก็บไว้ตรงไหน
เธอคัดลอกข้อมูลการทดลองใส่แฟลชไดร์ฟ จากนั้นก็ค่อยๆ ลบเอกสารในคอมพิวเตอร์ทิ้งทั้งหมด
ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย