ตอนเที่ยงจางอิงเป็นคนเลี้ยง
หล่อนพาพวกเขามาที่ภัตตาคารสูตี้*ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจจิ่งไต้ใกล้ๆจิ้นเซิ่งหยวน จางอิงเองก็มาจากแดนฉวนสู* หล่อนมีความเปิดเผยจริงใจของชาวฉวนสู และย้อมทั่วร่างด้วยความฉลาดเฉลียวเมื่ออยู่เมืองหลวง
*(ชื่อภัตตาคารแปลตรงตัวว่าดินแดนสู หมายถึงเสฉวน)
**(หมายถึงเสฉวน คำว่าสูเป็นชื่อแคว้นโบราณ ออกเสียงตามสามก๊กฉบับพระยาคลังฯว่าจ๊ก)
หล่อนมาถึงเมืองหลวงตอนอายุสิบเก้า เป็นแรงงานอพยพอยู่ห้าปี แม้ว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียงก็ตาม แต่ก็นับว่าได้บุกเบิกกิจการของตัวเอง อย่างน้อยเทียบกับหลี่เฟยอวี่และเฉินเสี่ยวเหม่ยรวมทั้งลู่เฉินเมื่อครึ่งเดือนก่อนที่เป็นแรงงานอพยพเหมือนกันแล้ว หล่อนก็คลุกคลีจนได้ดียิ่งกว่า
แต่เมืองหลวงแม้จะดี ก็ไม่ใช่บ้านเกิด
ดังนั้นอาหารมื้อนี้จึงเป็นมื้ออำลา เมื่อจัดการเรื่องห้องเสร็จ จางอิงก็จะต้องกลับบ้านแล้ว
หลี่เฟยอวี่และเฉินเสี่ยวเหม่ยต่างเศร้าใจอยู่บ้าง คนหลังถึงขนาดเบ้าตาแดงก่ำ ไม่อาจตัดใจแยกจากได้
จางอิงปลอบใจเจี่ยเม่ยของตนเอง พูดว่า “เสี่ยวเหม่ยเอ้ย หลังจากนี้หากคิดถึงพี่สาวก็ขอให้มาเที่ยวที่หรู่เฉิง* แถมพี่หลี่เองก็นิสัยไม่เลว หากเขาพยายามก้าวหน้าต่อไป เธอต้องให้โอกาสเขาสักครั้งนะ”
*(ชื่อเล่นของเมืองเฉิงตู เมืองหลักของมณฑลเสฉวน)
เสียงพูดของเธอไม่เบาเลย ด้วยเหตุนั้นลู่เฉินและหลี่เฟยอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆต่างได้ยินชัดเจน ใบหน้าของคนหลังแดงระเรื่อขึ้นในฉับพลัน อดที่จะใช้ดวงตาอันร้อนผ่าวจ้องมองเฉินเสี่ยวเหม่ยเสียมิได้
เรื่องที่เขามีใจให้กับเสี่ยวเหม่ยนั้น ใครต่อใครต่างก็มองออก!
เฉินเสี่ยวเหม่ยเขินอาย “อย่าเอ่ยถึงเขาแล้ว ถ้าอยากจะจีบฉัน อย่างนั้นก็ต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา!”
จางอิงหัวเราะเหอะเหอะแล้วสวมกอดเธอ หันมาพูดกับลู่เฉินว่า “หนุ่มหล่อ ฉันกับเสี่ยวเหม่ยขอตัวก่อน ถ้าหากมีเรื่องอะไร เธอก็โทรมาบอกฉันนะ แต่ถึงไม่มีเรื่องจะโทรมาคุยเล่นกับพี่สาวก็ได้!”
ลู่เฉินพลางหัวเราะด้วย “เดินทางปลอดภัยนะครับ!”
เจ้าของห้องที่เช่าใหม่นั้นอยู่ที่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยบินกลับมา เดิมทีจางอิงก็ลงนามในสัญญาเช่ากับตัวแทนในประเทศของเจ้าของห้องอยู่แล้ว ถ้าหากเขาชำระค่าเช่าและค่านิติบุคคลตามกำหนด อย่างนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันเลย
แน่นอนว่าตามธรรมเนียมการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลยังต้องสนทนากันอยู่
จางอิงและเฉินเสี่ยวเหม่ยจากไปแล้ว หลี่เฟยอวี่เหม่อมองตามเงาหลังของพวกเธอ ดูเหมือนคนปัญญาอ่อนอยู่บ้าง
ลู่เฉินจึงตบไหล่เขา พูดว่า “พอแล้วน่า ยังมีโอกาสหน้าอีก ไปช่วยฉันย้ายบ้านก่อนเหอะ!”
ความจริงแล้วลู่เฉินอยากจะบอกเสี่ยวเฟยเกอว่า ความหวังที่เขาจะจีบเสี่ยวเหม่ยได้นั้นมันช่างเลือนรางเสียเหลือเกิน แต่ชีวิตคนเราต้องมีความหวัง ไม่ว่าจะจีบเป็นแฟนได้หรือไม่ การมีเป้าหมายอยู่จะอย่างไรก็ดีกว่านั่งบื้อแอบรักข้างเดียวอยู่ดี
เรื่องย้ายบ้านนั้นความจริงง่ายดายมาก
ห้องชุดเดี่ยวตกแต่งไว้พร้อมแล้ว แค่ขนของจุกจิกเข้าห้องมาก็ใช้ได้แล้ว
เดิมทีลู่เฉินคิดจะโทรไปเรียกช่างทำกุญแจมาเปลี่ยนกลอนประตู คิดไม่ถึงว่าหลี่เฟยอวี่จะขันอาสาเอง จู่ๆก็ซื้อกลอนมาทำเองเสียอย่างนั้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ลู่เฉินไปได้ตั้งร้อยเหรียญแน่ะ
ด้านเขตชุมชนจิงหมิงนั้นลำบากอยู่หน่อย ลู่เฉินต้องไปหาเจ้าของห้องเช่าเพื่อคืนห้องและเอาเงินประกันคืนมาเสียก่อน
ห้องเช่าใต้ดินที่ราคาไม่แพงและตำแหน่งที่ตั้งดีเช่นนี้ ในเมืองหลวงต่างแย่งชิงกันมาก ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะปล่อยเช่าไม่ได้เลย และลู่เฉินเองก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอคืนห้องก่อนอีกด้วย ดังนั้นเจ้าของห้องด้านนั้นจึงไม่ได้เล่นตัว
สำหรับสัมภาระอะไร นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ตัวกับหนังสือไม่กี่เล่มแล้ว ลู่เฉินก็มีแค่คอมตั้งโต๊ะเก่าๆตัวนั้นนั่นล่ะ
ห้องใหม่มีคอมใหม่แล้ว คอมเจ้าคุณปู่ตัวนี้ก็ควรจะต้องปลดเกษียณตามสภาพแล้วละนะ แต่หลี่เฟยอวี่กลับรู้ข่าวรวดเร็ว ช่วยลู่เฉินหาผู้เช่าคนหนึ่งในตึกเดียวกัน จัดการขายไป 450 เหรียญพร้อมเม้าส์และคีย์บอร์ดแล้ว
ให้เจ้าคุณปู่ตัวนี้ยังได้สำแดงฤทธิ์เดชต่อไปเหอะ!
เงินจำนวนนี้ลู่เฉินไม่รับไว้ แต่กลับบวกเพิ่มอีก 150 เหรียญเป็น 600เหรียญ ให้หลี่เฟยอวี่ไปสั่งจองโต๊ะกับห้องครัวส่วนตัวของอาจารย์เฉินแทน คืนนี้จะได้เชิญพวกเพื่อนบ้านมาเลี้ยงสักมื้อ
ช่วงนี้ลู่เฉินเปิดไลฟ์ตอนกลางคืน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างผลกระทบต่อเพื่อนบ้านที่เช่าห้องใกล้ๆกัน แม้จะไม่มีใครมาต่อว่าอะไรเขา แต่เขายังคงรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง จึงอาศัยโอกาสนี้เลี้ยงขอโทษสักมื้อ
ถ้าหากใครอยู่ห้องวันนี้ และยอมมาร่วมงานด้วย อย่างนั้นก็เชิญมาให้หมดเลยเหอะ!
ด้านหลี่เฟยอวี่ไปเชิญคนมาร่วมงาน ด้านลู่เฉินก็วิ่งไปซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันใหม่ๆให้กับตัวเองไม่น้อย อย่างเช่นหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าขนหนู ผ้าอาบน้ำ ยาสีฟัน แปลงสีฟัน ต่างๆเหล่านี้ จะได้เอาไปไว้ใช้ที่บ้านใหม่
ตอนเช้าเขาโอนเงินไปให้ที่บ้านก่อนสามแสน จากนั้นจึงจ่ายค่าห้องเช่าอีกสามหมื่น ตอนนี้ยังใช้จ่ายจิปาถะไปอย่างละนิดอย่างละหน่อย จนกระทั่งสุดท้ายเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคาร อี้ฝู่เป่า และกระเป๋าสตางค์ต่างก็เหลือไม่ถึงหนึ่งพันเหรียญเสียด้วยซ้ำ
พอเย็นๆกลับมาถึงก็บ๋อแบ๋แล้ว!
แต่ลู่เฉินไม่ได้ใส่ใจสักนิด เพราะเขามีความเชื่อมั่นต่ออนาคตของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
มื้อเย็นเท่ากับเป็นมื้อร่ำลาเช่นกัน เพียงแต่คนที่จะเลี้ยงนั้นไม่เหมือนเดิม
ที่นั่งโต๊ะอยู่จนเต็มทั้งสิบสองคน คนที่มาได้ก็มาแล้ว นอกจากหลี่เฟยอวี่ ต่างเป็นเพื่อนบ้านของลู่เฉินทั้งสิ้น เป็นชายหญิงสิบเอ็ดคน บวกกับเจ้าภาพก็นั่งรวมกันจนเต็มโต๊ะ
เมื่อก่อนทุกคนต่างแค่พยักหน้าแลกเปลี่ยน พบหน้าก็ไม่ได้พูดอะไร วันนี้ลู่เฉินจัดเลี้ยงฉลองย้าย ทุกคนกลับเริ่มเปิดปากพูดคุย ไม่ว่าเมื่อก่อนจะสนิทกันหรือไม่ต่างพูดคุยกันอย่างเบิกบาน
ได้รับทราบว่าลู่เฉินจะย้ายไปเขตชุมชนจิ้นเซิ่งหยวน พวกเขาต่างอิจฉายิ่ง แต่ละคนต่างแสดงความยินดี
เรื่องที่สามารถย้ายจากห้องใต้ดินไปอาศัยอยู่ในห้องเช่าเดี่ยวที่ค่าเช่าแสนแพงนั้น ด้วยสายตาของเหล่าแรงงานอพยพแล้วดูเหมือนประสบความสำเร็จยิ่ง!
มื้อนี้รับทานไปคุยไปจนคึกคัก จนกระทั่งสองทุ่มกว่าจึงเลิกลา เบียร์หมดไปตั้งสองลังแน่ะ
หลี่เฟยอวี่เห็นได้ชัดว่าดื่มไปเยอะมาก ดวงตาก็ปรือพูดคุยก็ตะกุกตะกัก หลังจากลู่เฉินเคลียร์บิลเสร็จก็รีบลากเขากลับมายังห้องรูหนู สุดท้ายไอ้หมอนี่ก็ล้มตัวนอนบนเตียงกรนเสียงดังไปเสียงั้น
จนกระทั่งลู่เฉินกลับมาถึงบ้านใหม่ของตนเอง ก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
บ้านใหม่เนี่ยสะอาดโคตร
ในห้องน้ำยังจัดวางขันน้ำกับแปรงฟันที่เพิ่งซื้อมา แถมห้อยผ้าขนหนูผ้าอาบน้ำใหม่ไว้อีกนะ ลู่เฉินรีบเปิดน้ำร้อนอาบก่อนเลย จากนั้นจึงนอนแก้ผ้าแผ่หราอยู่บนเตียงสปริงที่ปูผ้าปูใหม่แล้วนั้น
จ้องมองลวดลายงดงามของพื้นผิวกรุด้วยโลหะตรงเพดาน เขารู้สึกคล้ายไม่สมจริงอยู่บ้าง
เหมือนกลับมาเป็นเหมือนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนั้นพ่อของลู่เฉินยังไม่จากโลกนี้ไป ฐานะของเขานั้นยังดีมาก ห้องของเขาอยู่ก็กว้างกว่าที่นี่เยอะ การตกแต่งก็หรูหรายิ่งกว่า…
เขาปิดตาลง ผ่านไปชั่วขณะก็ลืมตาขึ้นใหมีอีกครั้ง ภาพยังคงเหมือนเดิม
ไม่ใช่ฝันจริงๆ!
มือถือที่วางไว้อยู่บนตู้หัวเตียงจู่ๆก็ดังขึ้นมา
ลู่เฉินฟื้นคืนสติทันที รีบพลิกตัวเอื้อมมือไปคว้ามือถือ สไลด์รับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ!”
เสียงที่ถ่ายทอดมาจากลำโพงเป็นเสียงที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย “สวัสดีค่ะ ขอถามว่าใช่อาจารย์ลู่เฉินหรือเปล่าคะ?”
ลู่เฉินไม่รู้จักเบอร์ที่โทรเข้ามา และฟังไม่ออกด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จึงอดที่จะกล่าวถามไม่ได้ว่า “ใช่ครับ ขอทราบชื่อคุณได้ไหมครับ?”
“สวัสดีค่ะอาจารย์ลู่เฉิน…”
อีกฝ่ายพูดว่า “ดิฉันอู่ชานชานจากวาฬทีวี หรือชื่อในเน็ตคือปลาปะการังค่ะ”
ลู่เฉินผงะทันที “สวัสดีครับสวัสดี ที่แท้เป็นอู่เสี่ยวเจี่ยนี่เอง มีเรื่องอะไรหรือครับถึงโทรมาได้?”
ตอนแรกที่ลู่เฉินถูก【สตาร์ไลท์โชว์】ขับไล่ออกมา ก็เป็นเพราะ“ปลาปะการัง”คนนี้เองที่เชื้อเชิญเขาให้เข้าร่วม【วาฬTV】 แถมยังให้สัญญาที่เขียนตัวอักษรตัวเป้งๆ ว่าค่าเซ็นสัญญาห้าหมื่นหยวนกับเขาด้วย
สำหรับลู่เฉินในตอนนั้นแล้ว นับได้ว่าเป็นการส่งฟืนกลางหิมะ*เลยทีเดียว ลู่เฉินจึงรู้สึกซาบซึ้งในตัวเธอเรื่อยมา
*(สำนวน แปลว่าช่วยเหลือในยามที่ทุกข์ยากที่สุด)
ตอนนี้งานพิธีกรของเขาใน【วาฬTV】ก็ฮอตฮิตติดลมบนมากๆ และก็เพราะมีอีกฝ่ายช่วยเหลือให้การสนับสนุนนี่ล่ะ
ลู่เฉินและอู่ชานชานจึงติดต่อกันเสมอ เพียงแต่ส่วนใหญ่มักจะพูดคุยกันแค่ในเฟยซวิ่นเท่านั้น
อู่ชานชานพูดว่า “ถ้าคุยโทรศัพท์ไม่สะดวก คุยกันในเฟยซวิ่นไหมคะ?”
ลู่เฉินรีบตอบว่า “ได้ครับ รอสักแปปนะครับ!”
เขารีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วสวมเสื้อ จากนั้นจึงวิ่งออกจากห้องนอนไปจนถึงห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว
พื้นที่รับแขกของห้องเดี่ยวห้องนี้นั้นกว้างกว่าห้องนอนไม่เท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงได้แค่เพียงวางโซฟานั่งสามคนไว้ชุดหนึ่งและโต๊ะคอมตัวหนึ่งเท่านั้น ส่วนโทรทัศน์LCDจอแบนขนาดใหญ่ก็แขวนไว้ตรงผนังนั่นล่ะ เพียงแค่เท่านี้ที่ว่างก็แน่นขนัดไปหมดแล้ว
คอมตั้งโต๊ะตัวนั้นเป็นคอมที่จางอิงตีราคาขายให้กับลู่เฉิน ตอนนั้นลู่เฉินยังไม่ได้เปิดลองเลย เพียงแต่เห็นเคสกับหน้าจอรวมทั้งเม้าส์แป้นพิมพ์เป็นของใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของมียี่ห้อ ด้วยเหตุนี้จึงตกลงรับซื้อไว้ในราคา 3,000 เหรียญ โดยรวมกับค่าเช่าเป็นเงินสามหมื่นนั่นเอง
เนื่องจากจางอิงไม่เอาเงินค่าประกันห้องจากลู่เฉินเลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเกรงใจไม่กล้าต่อรองราคาคอมอีก
พอกดปุ่มเปิดคอม ความเร็วในการรันนั้นเร็วโคตรๆ ไม่ถึงสิบวินาทีก็เข้าสู่หน้าขอเดสก์ท็อปแล้ว
ลู่เฉินทราบได้ทันทีว่าเงินสามพันเหรียญนั้นไม่ขาดทุนแม้แต่น้อย แต่ด้วยความเคยชิน เขาจึงไม่ได้ไปดูสเปคมันเลย
เชดดดดดดดดดด!
ลู่เฉินจ้องมองจนตะลึงลานแล้ว
คอมเครื่องนี้สเปคโคตรแรง เป็นรุ่นระดับเรือธงเลยนี่หว่า CPU 6 Core แรม 32GB ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD 1TB การ์ดจอเองก็เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด สามารถเล่นเกมทั้งหมดในท้องตลาดได้เลย
ตอนที่ลู่เฉินเรียนมหา’ลัยก็มีคอมแค่ไว้ใช้งานเท่านั้น แถมยังต้องซ่อมเจ้าคุณปู่เป็นประจำเสียอีก ดังนั้นสำหรับเขาจึงมีความรู้เรื่องฮาร์ดแวร์ของคอมค่อนข้างมาก ทราบว่าสเปคแบบนี้หากสั่งซื้ออะไหล่ทั้งหมดมาประกอบเอง มีเงินไม่ถึง 15,000+ คงไม่ประกอบไม่ได้
แถมมอนิเตอร์ 27 นิ้วนี่ก็เป็นไฮเอนด์มีความละเอียดถึง 2K เสียอีก!
เขาจู่ๆก็นึกขึ้นได้ จางอิงเคยเปรยไว้ว่าคอมเครื่องนี้เป็นคนอื่นมอบให้หล่อน ส่วนตัวหล่อนเองยังไม่เคยใช้เลย
ลู่เฉินอับจนถ้อยคำแล้วจริงๆ——ขอบังอาจถามเป็นสายเปย์ท่านใดฟะ?
สุดท้ายยังดีที่เขาไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญไป รีบล็อกอินเข้าเฟยซวิ่นในทันที จะให้อู่ชานชานรอนานไม่ได้