ตอนที่ 69 ขอให้ช่วยเขียนเพลงใหม่
ยามบ่ายที่เงียบสงบและสวยงาม การเจรจาระหว่างลู่เฉินกับอู่หงหมิงเป็นไปด้วยมิตรภาพและความจริงใจ
ด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรและจริงใจแบบนี้ เขาจึงไม่อาจยืนหยัดในความต้องการเป้าหมายของตัวเองได้ต่อไป สุดท้ายทั้งสองฝ่ายตกลงเงินค่าเซ็นสัญญาที่หกแสนห้าหมื่นบวกกับสัญญาสองปี และ ‘จิงอวี๋ทีวี’ มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาล่วงหน้าหรือต่อสัญญากับอีกฝ่ายก่อน
ขณะที่ลู่เฉินกำลังรู้สึกพอใจ ก็กำลังคิดว่าควรจะหาผู้จัดการส่วนตัวให้ตัวเองได้แล้ว
เดิมทีการเจรจาแบบนี้ต้องให้ผู้จัดการเป็นคนออกหน้าถึงจะเหมาะสม และผู้จัดการส่วนตัวที่มีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งนี้ก็ต้องเป็นคนที่รู้จักคว้าผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรกเสมอ กล้าเอ่ยปากและกล้าสู้กับคู่ต่อสู้ ดึงอีกฝ่ายลงมาได้
ตัวลู่เฉินเองทำไม่ได้ ถึงแม้เขาจะใช้จ้าวเต๋อผิงเป็นตัวต่อรองให้สูงขึ้น มีสิทธิ์เรียกร้องเหนือกว่าในการเจรจา แต่เนื่องด้วยนิสัย เขาจึงไม่อาจบังคับตัวเองให้ใจดำ ขี้เหนียว และถือสากับผลประโยชน์เหมือนกับอู่หงหมิง
อีกทั้ง ‘จิงอวี๋ทีวี’ ก็ยังมีอู่ซานซาน ลู่เฉินรู้สึกขอบคุณเธอมาตลอด
เพราะฉะนั้นประสบการณ์ความทรงจำที่มาจากโลกแห่งความฝันบอกเขาว่า เขาจำเป็นต้องหาผู้จัดการส่วนตัวแล้ว ควรทราบว่าอนาคตของเขาไม่ได้อยู่ในแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังต้องขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น และจำเป็นต้องผ่านการเจรจาอีกนับครั้งไม่ถ้วน!
ลู่เฉินไม่อยากให้ตัวเองต้องออกหน้าด้วยตัวเองทุกครั้ง
เมื่อตกลงสัญญาใหม่เรียบร้อยแล้ว อู่ซานซานจึงนำโน้ตบุ๊กไปหาที่พิมพ์เอกสารข้างนอก
ลู่เฉินกับสุยอันบรรณาธิการเว็บไซต์ดนตรีอวิ๋นจิ่งจึงพูดคุยกันต่อ
ต่อให้เป็นอัลบั้มออนไลน์ ใช่ว่านึกจะออกก็ออกได้ทันที อย่างแรกลู่เฉินจะต้องเตรียมเพลงสิบเพลงให้ตัวเองก่อน ซึ่งเป็นจำนวนเพลงมาตรฐานของการออกหนึ่งอัลบั้มของเพลงป็อบ
สำหรับลู่เฉินแล้วง่ายมาก ตอนนี้เพลงที่เขาร้องโชว์ไปแล้วมี ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ‘ธุลีรักในสายลม’ ‘เพื่อนที่นอนบนเตียงของฉัน’ ‘ซินเดอเรลล่า’ ‘วัยเจิดจรัส’ กับ ‘คนงาม’ รวมหกเพลง เช่นนั้นเขาเพิ่มอีกสี่เพลงก็พอแล้ว
ลู่เฉินกระทั่งคิดไว้เรียบร้อย ว่าจะใช้เพลงไหนมาเพิ่มในผลงานอัลบั้มแรกของตัวเอง!
แต่ปัญหาอยู่ที่การออกอัลบั้มไม่เหมือนการร้องโชว์ในห้องถ่ายทอดสด เพื่อรักษาคุณภาพและยอดขาย เขาจะต้องเรียบเรียงทั้งสิบเพลงใหม่อีกครั้ง ผ่านการบันทึกเสียงในสตูดิโอบันทึกเสียงมืออาชีพและวงดนตรีประกอบ ทั้งยังต้องรอการตัดต่ออีกที
ลู่เฉินไม่ค่อยมีประสบการณ์ทางด้านนี้ ความทรงจำในฝันก็ยากที่จะช่วยเขาได้ เพราะต่อให้เป็นสวีป๋อเองก็ไม่เคยออกอัลบั้มจริงๆ สักครั้ง
ทว่าขอแค่ตัดสินใจ ก็สามารถพิชิตความลำบากทุกอย่างได้ โดยเฉพาะเมื่อเซ็นสัญญาใหม่กับ ‘จิงอวี๋ทีวี’ แล้ว ลู่เฉินจึงมีเงินมาทำงานที่อยู่ตรงหน้านี้ให้สำเร็จ
ส่วนการร่วมมือกับเว็บไซต์ดนตรีอวิ๋นจิ่ง ตอนนี้ก็เป็นแค่แนวโน้มเท่านั้น
สุยอันเป็นคนที่คุยเก่งมาก เขามีความเข้าใจวงการบันเทิงกับเพลงยอดนิยม ลู่เฉินจึงรู้สึกนับถือเขามาก
อู่ซานซานนำสัญญาที่พิมพ์แล้วกลับมา
ลู่เฉินเซ็นชื่อของตัวเองลงบนนั้นอย่างจริงจัง
ตอนเย็นเขาก็ยังอยู่ที่โรมแรมฟู่รื่อ เชิญแขกที่เดินทางไกลทั้งสามคนร่วมทานอาหารเย็นเลิศรสด้วยกัน
“ผู้จัดการอู่ พี่ซานซาน พี่สุยครับ…”
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ลู่เฉินถามว่า “คืนนี้พวกคุณมีแผนจะทำอะไรไหมครับ”
อู่หงหมิงกับสุยอันมองหน้ากัน แล้วคนหลังก็ยิ้มตอบว่า “ผมจะไปเยี่ยมเพื่อนสองสามคนพรุ่งนี้ คืนนี้ไม่ได้ทำอะไรครับ ทำไมเหรอ คุณลู่เฉินจะจัดกิจกรรมให้พวกเราเหรอครับ”
สุยอันประทับใจลู่เฉินมาก ทั้งหนุ่มทั้งหล่อและมีความสามารถ นอกจากนี้ยังเป็นคนถ่อมตัวมีมารยาท ไม่เหมือนกับคนรุ่นเดียวกันที่เก่งนิดหน่อยก็เชิดหน้าขึ้นฟ้า ทำท่าเหมือนกับตัวเองใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
ลู่เฉินยิ้มพูดว่า “ถ้าหากไม่มีธุระอะไร ผมอยากเชิญพวกคุณไปนั่งที่บาร์ได้ไหมครับ”
อู่ซานซานตาเป็นประกาย “บาร์เดย์ลิลลี่ของคุณใช่ไหมคะ”
ลู่เฉินพยักหน้า
อู่ซานซานยิ้มตาหยี “อย่างนั้นก็ดีมากค่ะ!”
อู่หงหมิงก็ไม่ได้คัดค้าน
ดังนั้นลู่เฉินจึงพาทั้งสามคนนั่งรถแท็กซี่มาถึงบาร์เดย์ลิลลี่ในย่านโฮ่วไห่
เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนวันอาทิตย์ บวกกับพวกเขามาสายมาก ภายในบาร์จึงไม่มีที่ว่างแล้ว
ลู่เฉินรีบไปอธิบายสถานการณ์ให้เฉินเจี้ยนหาว เขาไม่เพียงยกโต๊ะของแขกวีไอพีที่จองไว้แล้วให้ทันที แต่ยังออกมาทักทายแขกทั้งสามคนที่มาจากเซินไห่ด้วยตัวเองอีกด้วย
หลังจากลู่เฉินแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันแล้ว ก็เดินไปที่ด้านหลังเวทีของบาร์
ภายในห้องใหญ่ของเวทีด้านหลังยังคงคึกคักเหมือนเดิม ยกเว้นเพื่อนร่วมงานคนเก่าอย่างหลี่หง หวางเสี่ยวไซว่แล้ว พี่น่าก็อยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีนักร้องชายหญิงสี่คนที่ไม่คุ้นหน้า น่าจะมาตระเวนร้องเพลง
“ตายแล้ว!”
พอเห็นลู่เฉิน พี่น่าร้องอุทานอย่างโอเวอร์ทันที “ดูซิว่าใครมา เป็นแขกที่เจอตัวยากมากจริงๆ!”
ลู่เฉินลูบจมูกอย่างเขินอาย ยิ้มเจื่อนพลางพูด “พี่น่าปล่อยผมไปเถอะครับ”
ตอนนี้เขาทุ่มเทกับการถ่ายทอดสดออนไลน์มากกว่า เพราะฉะนั้นจึงมาที่บาร์เดย์ลิลลี่น้อยลงเรื่อยๆ
ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับ ‘จิงอวี๋ทีวี’ แล้ว เงินที่ลู่เฉินหาได้จากในบาร์ก็ต่างกันลิบลับ
บางทีอาจจะมีสักวันที่เขามีชื่อเสียงประสบความสำเร็จและไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมานั่งในบาร์เดย์ลิลลี่ กอดกีตาร์นั่งร้องเพลงเรื่อยๆ อยู่บนเวที ดื่มเหล้าสนทนาเพลงกับเพื่อนเก่าสามสี่คนเพื่อฆ่าเวลาว่าง
แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้
พี่น่าหัวเราะ เข้าไปกอดเขาหนึ่งที “พี่น่าล้อเล่นเฉยๆ นายมาได้ พี่ก็ดีใจมากแล้ว พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ ต้าฉินกับพี่มีเรื่องจะคุยกับนาย”
“ครับ!”
ลู่เฉินตอบตกลงทันที พอทักทายกับพวกหลี่หงแล้ว ก็เดินตามพี่น่าเข้าไปในห้องขนาดเล็ก
ตอนที่เดินผ่าน ลู่เฉินถามอีกหนึ่งประโยค “คืนนี้พี่เยี่ยไม่มาเหรอครับ”
เขาสังเกตเห็นว่าเยี่ยเจิ้นหยางไม่อยู่
พี่น่าตอบ “เขาไม่อยู่บาร์เดย์ลิลลี่แล้ว ยังดีที่เขารู้ตัวและลาออกไปเอง ไม่อย่างนั้น…”
พอพูดถึงเยี่ยเจิ้นหยาง น้ำเสียงของพี่น่าดูโกรธเล็กน้อย
ลู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก
เขารู้ว่าที่เยี่ยเจิ้นหยางลาออกจากบาร์เดย์ลิลลี่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่เขาไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบใดๆ
พี่น่าพูดอีกว่า “เสี่ยวลู่ อนาคตนายจะต้องเข้าวงการบันเทิงแน่นอน วงการบันเทิงนั้นซับซ้อน นายต้องจำไว้ว่า คนที่ทำร้ายเราก็มี ต้องระวังตัวไว้ ต่อให้คนพวกนั้นพูดดีกับนายแค่ไหน ไม่แน่ว่าอาจจะเอามีดมาแทงนายตอนไหนก็ไม่รู้!”
ลู่เฉินยิ้มพูด “ผมรู้ครับ ขอบคุณพี่น่าที่เตือนนะครับ”
ขณะที่พูดกันพี่น่าเปิดประตู ทั้งสองคนเข้ามาในห้องเล็กๆ ของวงเฮสิเทชั่น
ฉินฮั่นหยางกับสมาชิกของวงเฮสิเทชั่นอยู่ครบทุกคน พวกเขากำลังฝึกซ้อมเพลงใหม่ พอเห็นลู่เฉินกับพี่น่า ทุกคนจึงหยุดซ้อมแล้วปรบมือลุกขึ้น
ลู่เฉินในวันนี้ไม่ใช่พนักงานและนักร้องในบาร์อย่างตอนแรกอีกต่อไป เขามีความสามารถในการแต่งเพลง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งย่านโฮ่วไห่ ทุกคนต่างก็พูดถึงราคาเพลงสองแสนของเขา
ส่วนเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ที่ลู่เฉินสร้างสรรค์และมอบให้กับวงเฮสิเทชั่น เฉินเจี้ยนหาวใช้หุ้นบาร์ 5% ในการแลกเปลี่ยนมา เรื่องนี้จึงกลายเป็นตำนานที่คนในวงการกล่าวถึง
ฉินฮั่นหยางวางกีตาร์ลง ยิ้มพูดทักทาย “เสี่ยวลู่ นายมาพอดีเลย ฉันกับพี่น่าก็อยากจะไปหานายพอดี!”
ลู่เฉินถามอย่างสงสัย “พี่ฉิน มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
พี่น่ายิ้มพูดว่า “พวกเรานั่งคุยกันเถอะ”
ความจริงเรื่องที่ทั้งสองคนอยากให้ลู่เฉินช่วยนั้นง่ายมาก
พี่น่ากับวงเฮสิเทชั่นร่วมเป็นพันธมิตรกับชิงอวี่มีเดีย เพลงใหม่ของทั้งสองคนคือ ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ กับ ‘ฉันอยากมีบ้านสักหลัง’ กำลังจะถูกโปรโมทเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตในสถานีวิทยุและเว็บไซต์
ถ้าหากติดชาร์ตสำเร็จ อย่างนั้นชิงอวี่มีเดียก็จะตกลงยอมออกมินิอัลบั้มให้พวกเขา
มินิอัลบั้ม แท้จริงแล้วก็คือรูปแบบย่อของซีดีที่สมบูรณ์ ปกติจะมีห้าเพลง ราคาจำหน่ายจะต่ำกว่าอัลบั้มเต็มมาก แต่วิธีการปล่อยผลงานยืดหยุ่นมากกว่า นักร้องหลายคนจึงหยิบมาใช้งาน และถูกเรียกว่า EP[1]
เนื่องจากวงเฮสิเทชั่นได้เข้าร่วมงานแล้วโดยมีพี่น่าเป็นนักร้องนำ ดังนั้นชิงอวี่มีเดียจึงอยากให้ทั้งสองคนไปขอให้ลู่เฉินช่วยแต่งเพลงใหม่สำหรับชายหญิงร้องคู่กันมาเพิ่มในมินิอัลบั้มนี้
ฉินฮั่นหยางพูดอย่างจริงใจ “เดิมทีเรื่องนี้ควรจะเป็นบริษัทออกหน้า แต่ทางบริษัทพิจารณาถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเรา จึงให้พวกเราลองมาคุยด้วยตัวเอง แน่นอนว่าราคาการซื้อเพลงควรจะให้เท่าไรก็ให้เท่านั้นนะ!”
ลู่เฉินเข้าใจแล้ว ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ แต่อีกสองวันค่อยให้พวกพี่ได้ไหม”
พี่น่ายิ้มพูด “ไม่มีปัญหาแน่นอน เพลงที่นายเขียนให้ พวกเราวางใจมากที่สุด ต้องไม่แย่แน่นอน!”
ลู่เฉินยิ้มหวาน
หลังคุยกันอีกสองสามประโยค ลู่เฉินจึงขอยืมกีตาร์ฉินฮั่นหยาง แล้วออกไปร้องโชว์บนเวที
เขาร้องและเล่นเพลง ‘ธุลีรักในสายลม’ ‘คนงาม’ และ ‘วัยเจิดจรัส’ ไปตามลำดับ เพลงใหม่ทั้งสามเพลงเป็นการเซอร์ไพรส์สำหรับลูกค้าเก่าและใหม่ที่อยู่ในบาร์ เสียงปรบมือโห่ร้องดังติดต่อกันไม่หยุด
เช้าวันที่สอง ลู่เฉินมาส่งพวกอู่หงหมิงทั้งสามคนขึ้นรถไฟความเร็วสูงกลับเมืองเซินไห่
เวลาบ่ายสอง เขาได้รับข้อความที่ส่งมาจากธนาคาร
เงินในบัญชีเพิ่มขึ้นมาหกแสนห้าหมื่น!
……………………………………………………………
[1] EP หรือ Extended play หมายถึงซีดีหรือสื่อดิจิทัลที่ยาวกว่าแผ่นซิงเกิล แต่ยังยาวไม่พอที่จะเป็นอัลบั้มเต็ม มักมีความยาวรวมอยู่ราว 10-28 นาที