ตอนที่ 248 เสียวหู่ถวน (เดอะลิตเติ้ลไทเกอร์)
“โอ้~ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี โปรดนำทางฉันให้เข้าใกล้เธอ!”
ภายในห้องรับแขกของห้องพักเอ็กเซ็กคิวทีฟสวีท จางจวิ้นจื้อเพิ่งร้องจบไปหนึ่งเพลง
ซึ่งคือเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ ของลู่เฉิน
เฉินเฟยเอ๋อร์ปรบมือเป็นคนแรก ชูนิ้วโป้งเอ่ยชมเขา “เสี่ยวจื้อร้องได้ไม่เลวจริงๆ!”
ปีนี้หนุ่มน้อยเพิ่งจะอายุสิบห้าปี ถึงจะเลยวัยเสียงแตกมาแล้ว แต่เสียงของเขาถือว่าไม่เลว และเห็นได้ชัดว่าได้ฝึกเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ มาแล้ว โทนเสียงก็ร้องได้แม่นยำ ปรับลมหายใจได้ถูกต้อง
คนที่อายุเหมือนเขา ทำได้ระดับนี้ควรค่าแก่การชื่นชม
แต่ถ้าอยากจะเป็นนักร้องมืออาชีพ จางจวิ้นจื้อยังห่างอีกไกล
ลู่เฉินฟังออก เฉิยเฟยเอ๋อร์ก็ต้องฟังออกแน่นอน กระทั่งตัวของพี่หลีก็รู้ดี
“เฟยเอ๋อร์เธออย่าตามใจเสี่ยวจื้อนักเลย เขาชอบเล่นอะไรที่สนุกแปลกใหม่ แต่พรสวรรค์ไม่พอจริงๆ!”
พี่หลีกล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “เขาอยากหาโอกาสลองดูสักครั้ง ว่าตัวเองพอจะได้ไหม”
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่วไป อยากจะเดินบนเส้นทางนักร้องเหมือนจางจวิ้นจื้อ ส่วนใหญ่แล้วยากที่จะเดินผ่านได้ เส้นเสียงของเขาขาดคุณลักษณะเด่นที่น่าจดจำอย่างลึกซึ้ง ไม่มีค่าอะไรเมื่ออยู่ในวงการของปักกิ่ง
แต่เขาไม่ใช่คนธรรมดา พ่อแม่ของเขาเป็นคนมีระดับอยู่ในวงการ
แค่ยอมทุ่มเทพลังสนับสนุน ต่อให้เป็นคนที่แย่กว่าเขา ก็สามารถผลักดันได้
ลู่เฉินครุ่นคิดและถามว่า “เสี่ยวจื้อ นายตัดสินใจดีแล้วว่าอยากเติบโตในด้านการร้องเพลงใช่ไหม”
จางจวิ้นจื้อพยักหน้าจริงจัง และเอ่ยว่า “ใช่ครับ ผมอยากเป็นดาราดังที่เก่งทั้งร้องเพลงและการแสดงในจอเงินกับจอแก้วครับ!”
การได้เป็นศิลปินที่โด่งดังทั้งในวงการเพลง วงการโทรทัศน์ และวงการภาพยนตร์ ประสบความสำเร็จทั้งสามด้าน คาดว่าจะเป็นความฝันของศิลปินมากมายนับไม่ถ้วน
แต่คนที่ทำได้ถึงจุดนี้อย่างแท้จริงๆ กลับมีไม่เยอะ
เพราะไม่ใช่ว่าใครก็มีคุณสมบัติเป็นดาราดังที่เก่งทั้งสามด้านได้!
“อืม มีปณิธานที่แน่วแน่…”
ลู่เฉินยิ้มพูดว่า “งั้นนายก็ต้องขยันมากกว่าคนอื่นถึงจะได้”
เขาไม่ได้วิจารณ์ความทะเยอทะยานเกินตัวของจางจวิ้นจื้อ เพราะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่เด็กวัยรุ่นจะมีอุดมการณ์และปณิธานที่กว้างใหญ่และยาวไกล
และจางจวิ้นจื้อก็มีทักษะพื้นฐานกับเงินทุน
ลู่เฉินครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วเอ่ยกับพี่หลีว่า “พี่หลีครับ ถ้าหากจะให้ผมเสนอความคิดเห็น ความคิดเห็นของผมคืออย่าให้เสี่ยวจื้อเป็นศิลปินเดี่ยว”
พี่หลีดวงตาเป็นประกาย “ความหมายของนายคือสร้างวงเหรอ”
ลู่เฉินพยักหน้า “ใช่ครับ ผมแนะนำให้พี่หาเด็กใหม่ที่มีอายุและรูปร่างหน้าตาพอๆ กับเสี่ยวจื้ออีกสองคน สร้างวงบอยแบนด์ขึ้นมา ผมคิดว่าน่าจะมีพลังดึงดูดในตลาดมากเลยครับ”
ตอนนี้วงการเพลงป็อปในประเทศ มีบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปมากมาย ด้านวงบอยแบนด์ได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่นและเกาหลีอย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษ กระทั่งมีสมาชิกบอยแบนด์จำนวนไม่น้อยที่มาจากประเทศญี่ปุ่นหรือเกาหลี
ดังนั้นตลาดกลุ่มบอยแบนด์ยังคงใหญ่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น วงบอยแบนด์มีอิทธิพลมาก
ที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างวงบอยแบนด์สามารถชดเชยจุดบกพร่องของจางจวิ้นจื้อได้อย่างมาก ผลักดันจุดแข็งของเขาให้โดดเด่น
เฉินเฟยเอ๋อร์พอจะเข้าใจแล้ว “เหมือนเอ็มเอสเอ็นใช่ไหม”
พอพูดถึงชื่อนี้ พี่สาวราชินีก็เหลือบตามองลู่เฉินหนึ่งทีด้วยสีหน้านิ่งๆ
ลู่เฉินรู้สึกได้ จึงยิ้มเจื่อนและเอ่ยว่า “ใช่ครับ”
พี่หลีสงสัยเล็กน้อย “ถ้าเป็นบอยแบนด์ อายุของเสี่ยวจื้อจะน้อยเกินไปหรือเปล่า”
สมาชิกวงบอยแบนด์ในประเทศจีน ส่วนใหญ่ล้วนมาจากเด็กฝึกหัด ที่ผ่านการฝึกอบรมการร้องเพลงและการเต้นมายาวนาน เวลาเดบิวต์ส่วนใหญ่มักจะมีอายุสิบแปดสิบเก้าปี เมื่อถึงวัยเติบโตก็อายุยี่สิบปีต้นๆ
อายุในช่วงนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด
จางจวิ้นจื้อเพิ่งอายุสิบห้าปี จึงเด็กมากอย่างเห็นได้ชัด…แฟนคลับวัยรุ่นจะชอบเหรอ
ลู่เฉินกล่าวว่า “อายุน้อยไปก็จริง แต่ก็ยังมีตลาดของเด็กที่เกิดหลังปี 2000 นะครับ!”
เด็กที่เกิดหลังปี 2000 จะนับว่าเป็นเด็กปีสองพัน ซึ่งอายุมากที่สุดไม่เกินสิบห้าปีพอดี ตลาดกลุ่มนี้มักถูกมองว่าเป็นเพลงกล่อมเด็ก ไม่มีบอยแบนด์วงไหนสนใจที่จะต้อนรับแฟนคลับวัยนี้อย่างจริงจัง
ความคิดของลู่เฉินมีความแปลกใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
พี่หลีขมวดคิ้ว พิจารณาอย่างตั้งใจและจริงจัง
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มเอ่ยว่า “ฉันรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว ส่วนเพลงก็สามารถแต่งแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้”
“เสี่ยวจื้อนายคิดว่ายังไง”
ประเด็นสำคัญคือต้องดูการตัดสินใจของตัวจางจวิ้นจื้อด้วย
จางจวิ้นจื้อดีใจมาก “ผมชอบมีวงครับ แบบนี้ผมจะได้มีเพื่อน แม่ครับ แม่คิดว่าพวกเราชื่อวงอะไรดีครับ”
เขาอยากตั้งชื่อดังๆ ให้วงตัวเองอย่างอดใจไม่ไหว!
ความคิดเห็นของลู่เฉินสุดยอดมากจริงๆ!
พี่หลีถอนหายใจพูด “แม่ของลูกแก่แล้ว ไม่เข้าใจความคิดของเด็กวัยรุ่นอย่างพวกลูกหรอก”
จางจวิ้นจื้อจึงได้แต่ขอร้องลู่เฉิน “พี่ลู่เฉิน พี่ช่วยคิดชื่อให้หน่อยได้ไหมครับ”
ลู่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นชื่อว่าเสียวหู่ถวนก็แล้วกัน มีสมาชิกสามคนเหมือนเอ็มเอสเอ็น ฉายาของนายคือเสือหล่อ ส่วนอีกสองคนก็เรียกว่าเสือบินกับเสือเชื่อฟัง เป็นยังไง”
“เสียวหู่ถวน”
จางจวิ้นจื้อเหมือนกับถูกฟ้าผ่า มึนงงมาก “เสือหล่อ ผมเหรอครับ”
อายุของเขาในช่วงนี้ เป็นช่วงที่น่าหลงใหลที่สุด
ผู้ใหญ่อาจจะคิดว่าปัญญาอ่อนไร้สาระ แต่สำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างพวกเขา มีเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้!
เสียวหู่ถวน เสือหล่อ เสือบิน และเสือเชื่อฟังเหรอ
เฉินเฟยเอ๋อร์กับพี่หลีต่างมองหน้ากัน
ไม่ว่าอย่างไรเฉินเฟยเอ๋อร์ก็เป็นดาราใหญ่ในวงการ เธอครุ่นคิดพักหนึ่งก็เข้าใจความคิดที่น่าอัศจรรย์ของลู่เฉินแล้ว “เพราะมากๆ!”
การตอบสนองของพี่หลีช้าไปนิด เธอตบมืออย่างแรงและเอ่ยว่า “ดี! งั้นก็ตั้งวงบอยแบนด์เสียวหู่ถวนให้เสี่ยวจื้อเสียวหู่ถวน ฉันขอกลับไปจดทะเบียนการค้าอันนี้ก่อน แล้วค่อยหาคนมาทำแผนโปรโมตอีกที!”
เธอเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเอเจนซี่ดารา ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น “โลโก้ของแบรนด์ให้ออกแบบเป็นการ์ตูนเสือน้อยสามตัว ต่อไปก็จะออกสิทธิ์อนุญาตได้ ไม่ว่าการสั่งทำรองเท้า เครื่องเขียน เกม การ์ตูนทั้งแอนิเมชันและหนังสือการ์ตูน…ก็สามารถทำได้!”
เธอลุกขึ้นยืนอย่างอดใจไม่ไหว เดินวนไปมาสองรอบ ในหัวยิ่งคิดก็ยิ่งเยอะ
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตัวอย่างการเอาบอยแบนด์หรือเกิร์ลกรุ๊ปมาทำเป็นแบรนด์สินค้าไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร มีกลุ่มนักแสดงมากมายที่ออกสินค้าของตัวเองอย่างเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระทั่งอาหาร ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
วงเสียวหู่ถวนเน้นตลาดที่มีอายุประมาณสิบห้าปีหรือต่ำกว่า ทว่าความสามารถในการใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้กลับไม่ต่ำเลย!
แน่นอนว่าพี่หลีไม่ลืมว่าใครเป็นคนออกไอเดียนี้ “ลู่เฉิน นายเป็นคนคิดแบรนด์นี้ขึ้นมา ฉันพี่หลีจะเอาของนายมาเปล่าๆ ไม่ได้ ฉันจะใช้หุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์แลกกับนาย!”
ในวงการ ความใจป้ำและความเปิดเผยตรงไปตรงมาของพี่หลีทุกคนต่างรู้ดี ไม่ด้อยไปกว่าผู้ชายเลย เวลาทำงานก็พิถีพิถันมาก
ลู่เฉินแค่เสนอชื่อ เธอก็มอบหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ให้ลู่เฉินทันที ใจดีมากๆ
พี่หลีไม่ใช่คนที่ไม่มีสมอง เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ มาจากบ้านนอก ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีแม้กระทั่งรูปร่างหน้าตา แต่กลับสร้างอาณาจักรของตัวเองในเมืองหลวงได้ หากไม่ใช่คนฉลาดคงเป็นไปไม่ได้
แต่เธอก็เป็นคนที่ทำอะไรเต็มที่เหมือนเดิม
ความจริงหากมองในมุมอื่น หุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์สามารถทำให้ลู่เฉินกับวงเสียวหู่ถวนถูกมัดเข้าด้วยกัน และแบรนด์นี้จะดังหรือไม่ ก็หนีไม่พ้นการสนับสนุนของลู่เฉินแน่นอน!
เหมือนอย่างวงเอ็มเอสเอ็นที่กำลังดังอยู่ในตอนนี้ ถ้าหากไม่มีลู่เฉินเขียนเพลงสองสามเพลงนั้นให้ จะดังเร็วขนาดนี้เหรอ
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!
ดังนั้นพี่หลีจึงไม่ได้ล้อเล่น หรือว่าวู่วามชั่วขณะเด็ดขาด
เพื่อการเติบโตของลูกชาย เธอยอมเสียสละผลประโยชน์ทุกอย่างของตัวเอง นับประสาอะไรกับหุ้นส่วนสามสิบเปอร์เซ็นต์
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พี่หลี คนเห็นก็ต้องมีส่วนแบ่งนะ แล้วของฉันล่ะ”
พี่หลียิ้ม “ถ้าเธอยอมออกแรง ก็จะให้เธอยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แบบนี้พวกเธอสองสามีภรรยาก็จะได้ถือสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง”
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดเชอะใส่ “สามีภรรยาอะไร ฉันล้อเล่นค่ะ…”
พี่หลีหัวเราะเหอะๆๆ “แต่ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ!”
ถ้าเฉินเฟยเอ๋อร์อยากได้จริงๆ เธอก็ยอมให้ มีสองคนนี้คอยสนับสนุนบวกกับตัวเธอเองอีกคน วงเสียวหู่ถวนไม่ดังคงยาก!
สำหรับหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่ตกมาอยู่ในมือของตัวเอง ลู่เฉินไม่รู้สึกหวั่นไหวก็คงโกหก
แน่นอนว่าเขาจะไม่รับมาฟรีๆ
นอกจากไอเดียนี้แล้ว ลู่เฉินยังสามารถหยิบของอย่างอื่นออกมาได้มากกว่านี้
เขาลุกขึ้นไปที่ห้องหนังสือ หยิบกีตาร์กลับมาในไม่ช้า
เนื่องจากต้องพักอยู่ที่จินหลิงเป็นเวลานาน ลู่เฉินจึงพกของมาไม่น้อย รวมทั้งกีตาร์ตัวนี้ด้วย
เฉินเฟยเอ๋อร์ตกใจ “นายคงไม่คิดจะเขียนเพลงให้เสียวหู่ถวนตอนนี้ใช่ไหม”
สิ่งที่เรียกว่าเสียวหู่ถวนยังเป็นแค่เพียงความคิด ยังไม่มีเค้าโครงขึ้นมา!
เธอรู้ว่าความสามารถในการสร้างสรรค์ของลู่เฉินยากที่ใครจะเทียบได้ แต่แบบนี้มันเก่งผิดมนุษย์มนาเกินไปหรือเปล่า
ลู่เฉินพูดยิ้มๆ “ตอบถูกแล้วครับ แต่ไม่มีรางวัลนะ!”
จางจวิ้นจื้อเหลือถ่ายละครอีกไม่กี่ช็อต ถ่ายสองวันนี้เสร็จก็ต้องกลับแล้ว
พี่หลีจะต้องกลับไปปักกิ่งกับเขาแน่นอน ในเมื่อตกลงแล้ว งั้นก็ต้องเริ่มสร้างเสียวหู่ถวนขึ้นมา
แต่งานถ่ายทำของลู่เฉินเพิ่งจะเริ่มต้น เขาไม่มีเวลาไปมีส่วนร่วม ดังนั้นเขาจึงหยิบเพลงออกมาเพลงหนึ่ง แบบนี้ไม่ว่าจะเป็นการรับสมัครสมาชิกใหม่หรือว่าเตรียมทำอัลบั้ม ก็มีสิ่งของที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้ว
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เพลงเพลงเดียวพาให้นักร้องคนหนึ่งหรือวงหนึ่งโด่งดัง เป็นเรื่องปกติในวงการเพลงป็อป
เพื่อประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพ ลู่เฉินจึงไม่สนใจความตกใจของคนอื่น ถึงอย่างไรก็มีคนอยู่แค่สองสามคน
เขากอดกีตาร์รวบรวมอารมณ์พักหนึ่ง จากนั้นก็ดีดสาย
พี่หลีฉลาดมาก เธอไม่มีเวลาสนใจความตกตะลึง รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดฟังก์ชันบันทึกเสียง แล้ววางตรงหน้าลู่เฉิน
“เมฆสีขาวลอยข้ามเนินเขาพยายามมองหาบ้านของมัน
ฝนปรอยปลุกผู้หลับใหลจากความฝันคลี่กระจายใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
ผมใช้ความเยาว์วัยทำเป็นว่าวไต่ขึ้นสู่ท้องฟ้า
หอยไต่ไปบนหาดทรายเพื่อดูว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใด
ตัวบุ้งคาดหวังว่าวันพรุ่งนี้จะมีปีกที่สวยงาม
ลำธารทอดผ่านป่าที่โอบล้อมอยู่ร้องเพลงที่เขียนในฤดูใบไม้ผลิ
ผมใช้กาลเวลาค่อยๆ ถักทอเป็นภาพวาด
ความฝันเป็นดังปีกของผีเสื้อ
ความเยาว์วัยทะยานไปสู่สรวงสวรรค์
ปล่อยสายป่านว่าว
ใช้ความรักวาดหน้าตาของกาลเวลา!
หัวใจเป็นพลังที่เติบโต
เหมือนกับปีกของผีเสื้อนั้น
ต้อนรับเสียงลมยิ่งดัง
เสียงเพลงก็ยิ่งดัง!
…”
เสียงเพลงที่กังวานสดใสของลู่เฉิน ทำให้พี่หลีกับเฉินเฟยเอ๋อร์ล้วนตกตะลึงเหม่อ
พวกเธอคิดว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยิน จะเป็นผลงานจากแรงบันดาลใจที่ยังหยาบอยู่ เพราะไอเดียวงเสียวหู่ถวนเพิ่งจะคิดออกมาเมื่อครู่ ลู่เฉินเกิดความคิดทางดนตรีขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ใครก็คาดไม่ถึงว่า สิ่งที่เขาเล่นและร้องออกมา กลับเป็นผลงานเพลงที่สมบูรณ์แบบเพลงหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อร้องหรือว่าทำนอง ล้วนสร้างขึ้นมาเพื่อเสียวหู่ถวนโดยเฉพาะ!
เฉินเฟยเอ๋อร์จ้องมองลู่เฉินอย่างเหม่อลอย
เธออยากรู้ว่า ในตัวของลู่เฉินเก็บซ่อนความอัศจรรย์ไว้เท่าไรกันแน่!
…………………………………………………………………………