ตอนที่ 322 กลัวล่ะสิ?
จุดเด่นที่ยิ่งใหญ่ของเทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H และเป็นจุดเด่นที่คนกล่าวถึงกันเป็นอย่างมากก็คือ บนเวทีแห่งนี้ ตำแหน่งในวงการและชื่อเสียงไม่มีความสำคัญ ผู้ชมจะตัดสินจากการแสดงบนเวทีของนักร้องนักดนตรี
พูดอีกอย่างก็คือ ในที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นเลี่ยวเจี่ยหรือลู่เฉิน ก็ไม่แตกต่างกับนักร้องคนอื่นต่อให้เป็นเพียงนักร้องพเนจรข้างถนนก็ตาม ทุกคนได้ยืนอยู่บนเส้นสตาร์ทเดียวกัน ได้ขึ้นไปแข่งขันบนเวทีเดียวกันอย่างเท่าเทียม
เพียงแต่นักร้องที่มีชื่อเสียงจะถูกจับตามองมากหน่อยเท่านั้นเอง!
เลี่ยวเจี่ย ‘ท้าทาย’ ลู่เฉินด้วยเหตุผลนี้ เขาจริงจังมาก หากนักร้องคนหนึ่งอยากก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อความก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม เทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H เป็นเวทีที่เหมาะสม
เขาท้าทายลู่เฉิน นักร้องคนอื่นท้าทายเขากับลู่เฉิน
เลี่ยวเจี่ยเป็นคนหยิ่งทะนง เขาชื่นชมลู่เฉิน แต่ไม่มีทางยอมเป็นลูกไล่ให้กับลู่เฉินแน่นอน
นำความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดออกมาถึงจะได้รับการยอมรับจากเหล่าผู้ท้าชิง
และยังเป็นการให้เกียรติผู้ชมอย่างสูงสุด
ความจริงแล้วเทศกาลดนตรีแห่งนี้เป็นเหมือนเวทีประลองดนตรีขนาดใหญ่ ที่กรรมการคือผู้ชมหลายหมื่นคนที่มาในสวนสาธารณะเหยี่ยซาน พวกเขาหลายคนมาจากที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าไกลแค่ไหนก็มาด้วยใจ
ใกล้เวลาเที่ยง เมื่อพิธีเปิดเทศกาลดนตรีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้คนห้อมล้อมเข้ามาในสวนสาธารณะมากขึ้นเรื่อยๆ หากมองจากที่สูงจะเห็นสีดำของหัวคนเต็มไปหมด ยังมีเต็นท์ที่ตั้งไว้นับไม่ถ้วน
อิสระ เปิดกว้าง อะลุ่มอล่วย เป็นคอนเซปต์หลักของเทศกาลดนตรี 72H การเข้างานไม่ต้องซื้อบัตรผ่านประตู และไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นที่นั่ง ทุกคนจะดูจะทำอะไรก็ได้ หรือจะตั้งแคมป์ก็ไม่มีปัญหา!
แต่เนื่องจากผู้ชมมีจำนวนมาก ช่วงใกล้เที่ยงทางผู้ดูแลสวนสาธารณะเหยี่ยซานจึงเริ่มจำกัดจำนวนคนเข้า เพื่อไม่ให้คนเข้ามาในสวนสาธารณะมากจนเกินที่จะรับไหว
ทว่าจอโฆษณาแอลอีดีขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกและตะวันตกด้านนอกสวนสาธารณะ จะฉายภาพบนเวทีแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยกระจายความแออัดของผู้คน ลดความกดดันของสถานที่ให้เบาลง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นร้อยคนและกลุ่มอาสาสมัครกลุ่มใหญ่ ยังช่วยกันดูแลความปลอดภัยของเทศกาลดนตรี
วันศุกร์สัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม ปี 2016 อากาศปลอดโปร่งเป็นพิเศษ แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิฉายแสงให้กับสวนสาธารณะเหยี่ยซาน ฝูงชนพลุกพล่านคึกคัก ในบรรยากาศมีกลิ่นอายของดนตรีล่องลอยอยู่
พอถึงเวลาเที่ยงตรง ลำโพงที่ถูกตั้งไว้ทั่วทั้งสวนสาธารณะพร้อมใจกันปล่อยเสียงดนตรีกระหึ่ม เสียงเพลงที่กระตุ้นให้คนเลือดร้อนพลุ่งพล่านกระทบโดนโสตประสาทของผู้ชมทุกคน
ฝูงชนสะดุ้งตกใจไปครู่หนึ่ง แล้วกรี๊ดเสียงดังด้วยความดีใจ!
เทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H ครั้งที่ยี่สิบ เทศกาลดนตรีอันรื่นเริงสำหรับแฟนเพลงผู้หลงใหลในดนตรีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เพลงที่ใช้เปิดงานเป็นเพลงร็อกในตำนานอันคุ้นหูจากวงเดอะแบล็กโครว์…เพลง ‘เกิดใหม่พรุ่งนี้’
เพลง ‘เกิดใหม่พรุ่งนี้’ ไม่เพียงแต่เป็นเพลงที่ทำให้วงเดอะแบล็กโครว์โด่งดัง ยังเป็นผลงานระดับสูงของวงการเพลงร็อกของประเทศ นักร้องเพลงร็อกทุกคนล้วนเคยร้องและเคยฝึกเพลงนี้
แค่ได้ยินทำนองที่คุ้นเคย ทุกคนก็มักจะย้อนคิดกลับไปถึงช่วงเวลาที่เพลงร็อกของประเทศกำลังรุ่งโรจน์
คิดถึงจนน้ำตาคลอ!
ในบรรดาผู้คนที่มาในเทศกาลดนตรีนี้ มีแฟนเพลงวัยกลางคนที่อายุสี่ห้าสิบปีหลายคน ยุคสมัยของเพลงร็อกที่พวกเขาเคยได้สัมผัสยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
ดังนั้นเมื่อเพลง ‘เกิดใหม่พรุ่งนี้’ ดังขึ้น พวกเขาจึงร้องตามเสียงดัง เหมือนวัยรุ่นเลือดร้อน!
บรรยากาศของเทศกาลดนตรีถูกเร้าให้พุ่งถึงจุดสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้น
การเปิดงานของเทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H นั้นเรียบง่ายที่สุด ไม่เหมือนกับการจัดกิจกรรมใหญ่ทั่วไป ไม่มีธงหลากสีปลิวไสว หรือฉาบกลองเอิกเกริก ไม่มีนางแบบสาวสวยมาช่วยเติมแต่งพิธีการ ไม่มีผู้บริหารพุงกลมขึ้นเวทีให้โอวาทยาวเหยียด แม้แต่พิธีกรก็ยังไม่มี
บนเวที วงที่จะแสดงเป็นวงแรกได้มาถึงแล้ว จากนั้นเลี่ยวเจี่ยที่เป็นตัวแทนนักร้องก็ขึ้นสู่เวที
พี่ใหญ่แห่งวงการเพลงคนนี้ สวมเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีดำพิมพ์ภาพของเกาอี้ผู้ซึ่งเป็นนักร้องนำวงเดอะแบล็กโครว์ ด้านล่างเป็นกางเกงยีนส์ขาดๆ ผมยาวสลวยถูกถักเป็นเปีย ใบหน้าดำคล้ำดูเคร่งขรึม
เขายืนอยู่หน้าไมโครโฟนพูดกับผู้ชมที่มีเป็นพันเป็นหมื่นคนด้วยเสียงขรึมว่า “สวัสดีครับทุกคน ผมคือเลี่ยวเจี่ย ยินดีมากที่วันนี้ได้มาอยู่ที่นี่พร้อมกับทุกคน ร่วมกันดื่มด่ำความสุขที่เสียงดนตรีนำพามา…”
“ยี่สิบปีแล้ว พวกคุณยังสบายดีกันอยู่ไหมครับ”
ประโยคสุดท้าย เลี่ยวเจี่ยตะเบ็งสุดเสียง เป็นเสียงของคนที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน และเป็นเสียงที่แสดงความคิดถึงจากใจ
“สบายดี!”
เสียงจากผู้ชมนับไม่ถ้วนตอบกลับมา มืออีกนับไม่ถ้วนชูสูง เสียงตะโกนของพวกเขาดังเป็นระลอกเหมือนคลื่นชายฝั่ง ส่งมาจากทุกทิศทาง ดังก้องไปทั่วทุกมุมของสวนสาธารณะเหยี่ยซาน
เลี่ยวเจี่ยวรอให้พวกผู้ชมปล่อยอารมณ์ให้ระเบิดออกมา หลังจากนั้นเขาพยักหน้า แล้วพูดต่อว่า “เรื่องอื่นผมจะไม่พูดมาก พวกคุณมาเพื่อฟังเพลง ผมมาเพื่อร้องเพลง แค่นี้เอง!”
พูดจบเขาจับไมโครโฟนโยนให้นักร้องนำของวงที่อยู่ด้านหลัง “สู้เขา!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงปรบมือ เสียงกรี๊ด เสียงเป่าปากดังขึ้นทับซ้อนกันอยู่นานไม่สิ้นสุดลงเสียที
ในบรรยากาศของความวุ่นวายนี้ วงดนตรีวงแรกที่ได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรี 72H ก็คือวงเจ้าถิ่นในปักกิ่งนี่เอง…วงเอนจิน เริ่มการแสดงของตัวเอง
งานเฉลิมฉลองของผู้หลงใหลในดนตรีต่อเนื่องยาวนานเจ็ดสิบสองชั่วโมง ได้เปิดม่านอย่างเป็นทางการแล้ว!
ในขณะนั้นลู่เฉินนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งหลังเวที เขาดูการแสดงบนเวทีผ่านหน้าจอขนาดยักษ์ ไปพร้อมกับจิตใจที่ล่องลอย
เทศกาลดนตรี 72H ไม่มีสถานีโทรทัศน์คอยออกอากาศสด แต่ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดทางอินเทอร์เน็ตนั้นถูกเว็บไซต์อี้หว่างมิวสิคซื้อไป ในเว็บไซต์สามารถติดตามดูการแสดงสดได้ จำนวนผู้เข้าชมทางอินเทอร์เน็ตเยอะจนน่าตกใจ
คนที่เป็นห่วงการสร้างสรรค์ผลงานเพลงป็อปในประเทศ ต่างไม่ยอมพลาดการแสดงเหนือธรรมดาครั้งนี้
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่คึกคักและตื่นเต้นในตอนแรกไปแล้ว ตอนนี้ลู่เฉินสงบมาก เขานึกย้อนกลับไปถึงเส้นทางดนตรีของตัวเองที่ผ่านมา รู้สึกเหมือนเป็นความฝันอยู่เสมอ
อาจเป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป!
“ลู่เฉิน นายคิดอะไรอยู่”
ตอนที่ลู่เฉินกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น หวังจิ้งเดินเข้ามานั่งข้างเขา แล้วถามเขาอย่างสงสัย
ลู่เฉินกลับมาสู่โลกตรงหน้า ยิ้มให้แล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดเรื่องการแสดงของพวกเรา”
หวังจิ้งกล่าวต่อ “เวลาแสดงของพวกเรายังอีกนานเลย นายตื่นเต้นเกินไปหรือเปล่า”
ลู่เฉินหลุดขำ พลางส่ายหัว
หวังจิ้งเก้อเขิน “ฉันตื่นเต้นนิดหน่อย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรี 72H”
ลู่เฉินหัวเราะ “เชื่อฉันสิ เวทีต่อไปสำหรับพวกเธอมีแต่จะยิ่งใหญ่ขึ้น!”
ลู่เฉินไม่ได้พูดเล่น เขาสร้างวงนิพพานให้กลายเป็นวงของตัวเอง วงดนตรีวงนี้จะเดินตามเขาไปแสดงบนเวทีแห่งความรุ่งโรจน์ เทศกาลดนตรี 72H นี้เป็นเพียงการเริ่มต้น
หวังจิ้งขบริมฝีปาก พูดว่า “ขอบคุณนะลู่เฉิน”
เธอมีเหตุผลที่ต้องขอบคุณเขามากมายเหลือเกิน ขอบคุณลู่เฉินที่ช่วยเหลือเธอตอนที่เธอลำบากที่สุด ขอบคุณลู่เฉินที่ต่อชีวิตให้วงเนี่ยผานแถมยังได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ขอบคุณลู่เฉินที่ลงทุนเงินก้อนใหญ่ให้หวังฮุยสร้างห้องอัดระดับไฮเอนด์ตามความฝัน ขอบคุณลู่เฉิน..
เธอยังไม่ได้ตั้งใจขอบคุณลู่เฉินอย่างจริงจังสักครั้ง
สิ่งที่ลู่เฉินมอบให้วงนิพพานวงใหม่ รวมทั้งสัญญาของเธอและหวังฮุยที่ทำอย่างอะลุ่มอล่วย ไม่มีเงื่อนไขบังคับที่เข้มงวด ไม่มีเงื่อนไขกดดันบีบรัด แต่ค่าตอบแทนที่ให้กลับสูงกว่ามาตรฐานของตลาดภายนอก
ลู่เฉินหัวเราะ “ไม่ต้องเกรงใจ เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
เพื่อนเหรอ หวังจิ้งพยักหน้าเงียบๆ
ครู่ต่อมาเธอยืนขี้นแล้วบอกว่า “ฉันขอตัวไปซ้อมก่อนนะ”
ลู่เฉิน “โอเค”
หวังจิ้งเพิ่งเดินจากไป ก็มีคนอีกคนเข้ามานั่งข้างเขา แล้วยื่นเบียร์ให้เขา
“สาวน้อยคนนี้สนใจนายนะ นายห้ามทำให้เฟยเอ๋อร์เสียใจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันใช้กำลัง!”
ลู่เฉินทำหน้าไม่ถูก “พี่เลี่ยวเจี่ย พี่คิดมากเกินไปแล้ว”
“ฉันคิดมากไปเองจะดีที่สุด”
ลูกพี่เลี่ยวเจี่ยเปิดขวดเบียร์แล้วกระดกเข้าปากหลายอึกใหญ่ๆ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ฉันพูดกับเหล่าถานว่าพวกหนุ่มน้อยน่ามนน่ะเชื่อถือไม่ได้ เหล่าถานบอกว่านายไม่เหมือนพวกนั้น แต่ฉันจะจับตาดูนายเอาไว้!”
ลู่เฉินส่ายหัว เปิดขวดเบียร์ยกชนกับเลี่ยวเจี่ย “พี่ตัดใจซะเถอะ ผมจะไม่ให้โอกาสพี่ได้ใช้กำลังหรอก อีกอย่างถึงใช้กำลังจริง พี่ก็ไม่ใช่คู่แข่งของผมอยู่ดี”
“ฉันชอบความมั่นใจในตัวเองของนายนะ…”
เลี่ยวเจี่ยกุมหมัด หักข้อนิ้วดังเป๊าะ “คืนนี้ฉันจะซ้อมนายให้น่วมเลย นายจะได้รู้ว่านักร้องเพลงร็อกตัวจริงอย่างป๋าเป็นยังไง!”
ลู่เฉินสงสัย “พี่เลี่ยวเจี่ย คืนนี้ผลงานเพลงใหม่ของพี่เป็นเพลงร็อกบริสุทธิ์เหรอ”
“กลัวละสิ”
เลี่ยวเจี่ยเหลือบมองเขาอย่างดูถูก “นายลองบอกมาก่อนว่านายเตรียมเพลงอะไรมา”
ลู่เฉินตอบตามตรง “เพลงร็อก”
“เพลงร็อก?”
เลี่ยวเจี่ยเบิ่งตาค้างอย่างไม่อยากเชื่อ “นายเตรียมจะร้องเพลงร็อก?”
ลู่เฉินโด่งดังด้วยเพลงบัลลาด โดยเฉพาะการสร้างกระแสเพลงบัลลาดที่มีกลิ่นอายของความรักในรั้วสถานศึกษา ทำให้เขาได้รับความนิยมจากวัยรุ่นมากมาย จนได้รับฉายาว่าเป็นราชาแห่งเพลงบัลลาด
ลู่เฉินเคยเขียนเพลงร็อกอยู่หลายเพลงเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เขียนให้คนอื่น เช่น วงเฮสิเทชั่น วงเข็มทิศ เป็นต้น เพลงที่เขียนให้ตัวเองมีเพียงเพลง ‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์’ เพลงเดียว
แต่ตอนนี้เขากลับจะร้องเพลงร็อกในเทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H ไม่ใช่เพลงบัลลาดที่เขาถนัด เลี่ยวเจี่ยจึงอดทึ่งไม่ได้
เทศกาลดนตรี 72H ไม่ใช่งานเลี้ยงหรืออยู่ในห้องอัด นักร้องที่ขึ้นร้องเพลงที่นี่จะไม่ใช้เครื่องปรับแต่งเสียง ในบรรดาผู้ชมมีแฟนเพลงร็อกรุ่นเก๋าอยู่มากมาย ขอแค่มีเพี้ยนสักนิดเดียวพวกเขาก็ฟังออก
นอกจากนี้เพลงร็อกยังร้องยากมาก!
ลู่เฉินที่ร้องเพลงบัลลาดจนเคยชิน จะร้องเพลงร็อกให้ดีได้เหรอ ถึงจะเป็นเพลงซอฟต์ร็อกก็ตาม
เลี่ยวเจี่ยสงสัย “นายไม่ได้ตั้งใจจะแพ้ให้ฉันใช่ไหม”
ลู่เฉินมองด้วยสายตาดูแคลนกลับ “พี่กลัวเหรอ”
เลี่ยวเจี่ยเลือดขึ้นหน้า “กลัวนายที่ไหนเล่า ถ้าแพ้แล้วอย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วกัน!”
ลู่เฉินหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็ดี พวกเรามาพนันกัน ใครแพ้ ต้องกลับไปเลี้ยงข้าว!”
เลี่ยวเจี่ยฟาดมือลงบนเก้าอี้อย่างแรง “เอาตามนี้!”
……………………………………