ตอนที่ 356 ความกลุ้มใจของเถียนเถียน
เมืองหลวง เขตชุมชนจื่อเฉิงย่วน
ม่านราตรีเพิ่งจะเยื้องกราย แสงไฟก็สว่างไสวไปทุกครัวเรือนแล้ว
ในห้องอาหารเล็กๆ ของห้อง 1701 ตึกที่ 7 บนโต๊ะอาหารปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกไม้ มีอาหารตั้งวางไว้สี่อย่างและน้ำซุปอีกหนึ่งอย่าง
เนื้อลูกวัวทอด หมูบะช่อน้ำแดง ผัดผัก ปลากะพงขาวนึ่ง บวกกับซุปทะเลน้ำข้นร้อนๆ ทุกด้านล้วนมีครบครันไม่ว่าจะรูป รส กลิ่น หรือสี ใครเห็นเป็นต้องอยากกินจนน้ำลายสอ!
น้ำลายของเถียนเถียนใกล้จะไหลออกมาแล้ว เธอเพิ่งจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ ก็รีบหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อลูกวัวชิ้นเล็กหนึ่งชิ้นยัดเข้าปากอย่างอดใจไม่ไหว กินแก้มตุ่ยหมดสภาพความเป็นกุลสตรีเอามากๆ
เธอกินพลางหันหน้าไปชมลู่เฉินที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัว “ลู่เฉิน ฝีมือของนายเยี่ยมมากจริงๆ สามารถเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองได้เลย ถึงตอนนั้นฉันจะไปเป็นหน้าม้าช่วยอุดหนุนทุกวัน!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเถียนเถียนเม้มปากแล้วหัวเราะ รู้สึกว่าเธอจะมีความสุขมากกว่าตัวเองถูกชมเสียอีก
พูดตามจริง ตอนที่ได้กินอาหารของลู่เฉินครั้งแรก เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ตกใจมากเหมือนกัน เพราะถึงแม้ฝีมือการทำอาหารของลู่เฉินอาจจะไม่สามารถเทียบกับสุดยอดเชฟหรือปรมาจารย์เชฟระดับสมบัติของชาติได้ แต่ก็อยู่ในมาตรฐานชั้นเยี่ยมเช่นกัน
โดยทั่วไปหากไม่มีประสบการณ์ผ่านการฝึกฝนมามากกว่าสิบปี ยากมากที่จะมีฝีมือระดับสูงเช่นนี้
แต่ลู่เฉินเพิ่งจะอายุกี่ปีเอง แถมไม่ได้เรียนสาขาวิชาเชฟเลยด้วยซ้ำ
เฉินเฟยเอ่อร์ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงถึงต้นสายปลายเหตุ แค่รู้สึกว่าลู่เฉินเหมือนดั่งสมบัติล้ำค่าที่ถูกซ่อนไว้ตรงส่วนลึกสุดในใต้พิภพ ยิ่งขุดลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเจอทรัพย์สมบัติจนทุกคนต้องร้องอุทานออกมา
และในฐานะผู้ครอบครองสมบัติอันล้ำค่านี้ เธอภูมิใจและอิ่มใจมาก
เย็นนี้ถือว่าเป็นการอวดเล็กๆ น้อยๆ ต่อหน้าเพื่อนสาวคนสนิท ให้เพื่อนคนนี้อิจฉาหมั่นไส้ไปเลย!
ลู่เฉินยื่นมือปลดผ้ากันเปื้อนรอบเอวออก หยิบไวน์แดงที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วรินให้สตรีผู้งดงามทั้งสองคนอย่างเป็นสุภาพบุรุษ พลางยิ้มเอ่ยว่า “ดีครับ อนาคตถ้าหากผมตกงานก็จะไปเปิดร้านอาหารที่เมืองหังโจว คุณต้องพาเพื่อนมากินเยอะๆ นะครับ ผมจะจ่ายค่าหัวคิวให้คุณสิบเปอร์เซ็นต์ต่อหนึ่งคน!”
เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะฮ่าๆ เถียนเถียนอดกลอกตาใส่ไม่ได้ แต่มือกลับขยับตะเกียบเร็วปานสายลม
ลู่เฉินนั่งลง ยิ้มกริ่มพลางยกแก้วไวน์ขึ้นมา
วันที่สองเขากับเฉินเฟยเอ๋อร์กลับมาที่เมืองหลวงด้วยกัน เถียนเถียนก็ตามมาด้วย
อดีตพิธีกรสาวสวยของสถานีโทรทัศน์เจ้อตงคนนี้เตรียมจะพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาวที่เมืองหลวง เฉินเฟยเอ๋อร์ในฐานะเพื่อนสาวคนสนิทย่อมไม่ยอมให้เธอนอนที่โรงแรมอยู่แล้ว ดังนั้นห้องนอนแขกของลู่เฉินในจื่อเฉิงย่วนจึงเป็นของเธอชั่วคราว
หลังจากจบงานทัวร์โปรโมตทั่วประเทศแล้ว เฉินเฟยเอ๋อร์ได้ให้วันหยุดกับตัวเองเช่นกัน เธอเดินเล่นเป็นเพื่อนเถียนเถียนไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังต้องห้ามหรือกำแพงเมืองจีนก็พาไปเดินจนทั่ว
ลู่เฉินไม่มีเวลาไปเป็นเพื่อนพวกเธอ ‘ฟูลเฮ้าส์’ ใกล้จะเปิดกล้องแล้ว มีงานที่ยุ่งยากซับซ้อนต้องเตรียมล่วงหน้าให้เสร็จ จนถึงวันนี้ถึงได้หายใจโล่งอกบ้าง นานๆ จะได้กลับบ้านก่อนเวลาสักครั้ง
เขาจึงไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และตอนเย็นก็ลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเพื่อปลอบขวัญสาวสวยทั้งสอง
อันที่จริงฝีมือการทำอาหารของลู่เฉินแย่มาก ทำได้อย่างมากก็แค่ข้าวผัดไข่ อยากจะจัดอาหารน่ากินหนึ่งโต๊ะเป็นเรื่องที่เพ้อฝันมาก
โชคดีที่เขาขี้โกงได้
ความขี้โกงของลู่เฉินก็ต้องมาจากความทรงจำในโลกแห่งความฝันอยู่แล้ว
ฟางหมิงอี้ที่อยู่ในความฝันเป็นนักชิมอาหารตัวจริงคนหนึ่ง ยามที่เขาเดินทางไปท่องเที่ยวนอกเมือง ก็จะหาของกินอร่อยในพื้นที่ก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็จะเขียนเป็นบทความ แล้วนำมาตีพิมพ์ในนิตยสาร ซึ่งได้รับความนิยมจากนักอ่านเป็นอย่างมาก
นอกจากกินเก่งแล้ว ฟางหมิงอี้ยังทำเป็น และฝีมือการทำอาหารก็ยอดเยี่ยมมาก!
เพราะว่ามีความรู้ที่มาจากความทรงจำของฟางหมิงอี้ ลู่เฉินจึงสามารถแสดงความสามารถให้เฉินเฟยเอ๋อร์กับเถียนเถียนชิมได้
ทั้งสามคนพูดเล่นกันอย่างสนุกสนาน ดื่มไวน์แดงหนึ่งขวดร่วมกัน
เฉินเฟยเอ๋อร์กับเถียนเถียนหน้าแดงเพราะเริ่มเมากรึ่ม ภายใต้แสงไฟดูสวยงามรวมกับหยก ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสบายตาสบายใจ ลู่เฉินจึงแอบถอนหายใจว่าความเหนื่อยของตัวเองไม่เสียแรงเปล่า
พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว งานเก็บโต๊ะและล้างจานก็มอบให้กับเฉินเฟยเอ๋อร์และเถียนเถียน
รอให้พวกเธอจัดการเสร็จแล้วขึ้นมาที่ห้องนั่งเล่นขนาดเล็กชั้นบน ลู่เฉินก็เตรียมน้ำชาไว้เรียบร้อยแล้ว
“พี่เฟยเอ๋อร์ พี่ช่างมีความสุขมากจริงๆ!”
เถียนเถียนนั่งบนโซฟา เธอพิงเฉินเฟยเอ๋อร์ด้วยท่าทางเกียจคร้าน แล้วพูดพึมพำว่า “มีแฟนที่ดีขนาดนี้…”
เฉินเฟยเอ๋อร์จึงแซวเธอ “อิจฉาใช่ไหม งั้นเธอก็รีบหาสักคนสิ!”
เถียนเถียนผลักมือของเฉินเฟยเอ๋อร์ที่วางอยู่ตรงใต้คางตัวเองออกอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วบ่นว่า “หาง่ายเสียที่ไหนล่ะ คนในวงการฉันก็ไม่ชอบ คนที่ทางบ้านแนะนำให้ก็…”
เธอเผยสีหน้ารังเกียจออกมา “จะอ้าปากหรือปิดปากก็เอาแต่อวดร่ำอวดรวย หรือไม่ก็พูดว่าตัวเองมีรสนิยมยังไง แต่ละคนดูเจ้าชู้เห็นแล้วไม่ชอบเอามากๆ ฉันปวดหัวรำคาญใจจริงๆ!”
เฉินเฟยเอ๋อร์เข้าใจแล้ว “ดังนั้นช่วงหยุดยาววันแรงงานเธอเลยมาเป็นก้างขวางคอฉันเหรอ”
เถียนเถียนทำท่าประมาณว่า ‘ในที่สุดเธอก็มองออกแล้ว’ แล้วพูดพลางหัวเราะคิกคักว่า “ใครบอกให้พี่เป็นเพื่อนที่ดีของฉันล่ะ ฉันไม่มาหาพี่แล้วจะให้ฉันไปหาใคร ฉันอยากจะหลบอยู่ที่เมืองหลวงตลอดไปไม่อยากกลับบ้านเลย!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “งั้นที่บ้านของเธอก็จะส่งคนมาจับตัวเธอกลับไปแน่นอน!”
เถียนเถียนไม่ได้เกิดในครอบครัวธรรมดา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถเป็นพิธีกรของสถานีโทรทัศน์เจ้อตงได้หลังจากเรียนจบ
และในครอบครัวแบบนี้ ก็มักจะมีเรื่องที่ไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่เสมอ
เถียนเถียนกล่าวว่า “ฉันเตรียมตัวจะลาออกแล้ว…”
เฉินเฟยเอ๋อร์ตกใจ “ลาออก เธอไม่อยากทำงานที่สถานีโทรทัศน์ต่อแล้วเหรอ แล้วเธอคิดจะทำอะไร”
“พอเกิดเรื่องคราวที่แล้ว ที่บ้านก็ไม่อยากให้ฉันอยู่ที่สถานีต่อ”
เถียนเถียนกลุ้มใจ “พวกเขาอยากให้ฉันหาใครสักคนมาแต่งงานด้วย จากนั้นก็มีลูกสักสองสามคน คอยช่วยเหลือสามีและดูแลลูก!”
เฉินเฟยเอ๋อร์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฟังดูแล้วก็ไม่เลวนะ”
เถียนเถียนหยิกเธอหนึ่งทีแล้วเอ่ยว่า “ไปให้พ้นเลยไป ฉันยังไม่อยากแต่งงานเสียหน่อย! ฉันคิดว่าผู้หญิงอย่างพวกเราต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะถูกคนอื่นดูถูกได้ ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจว่าจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง!”
นับตั้งแต่เรื่องแฟนคลับที่เมืองหังโจวครั้งนั้น ไม่เพียงแต่เกือบจะสร้างความเสียหายให้กับเถียนเถียน ยังมีข่าวลือซุบซิบต่างๆ นานาตามมาหลังจากเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงเป็นผลทำให้ที่บ้านของเธอมีความคิดเห็นเช่นนี้
แต่เถียนเถียนไม่อยากให้ตัวเองซี้ซั้วแต่งงานออกไปเร็วขนาดนี้ อีกทั้งพวกที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อมีความสามารถ เธอก็ไม่ชอบสักคน และยิ่งไม่ชอบการจัดการของครอบครัวเป็นอย่างมาก
เฉินเฟยเอ๋อร์สงสัย “แล้วเธอจะเปิดบริษัทอะไร”
เถียนเถียนจึงระบายออกมาทันที “ฉันยังคิดไม่ออกเลย เคยคิดว่าจะทำด้านสื่อมีเดียต่อ แต่ปัญหาคือไม่มีประสบการณ์”
ถึงแม้ครอบครัวของเธอจะมีฐานะดี แต่การเปิดบริษัทที่เกี่ยวกับสื่อมีเดียก็ไม่ง่ายเช่นกัน เถียนเถียนไม่อยากเป็นแม้ค้าที่ทำธุรกิจเพราะอาศัยความสัมพันธ์ ดังนั้นจึงสับสนและคิดไม่ตกอยู่ในใจ
“เปิดบริษัทสื่อไปเลย…”
ลู่เฉินที่ฟังอยู่ข้างๆ พลันเอ่ยพูดขึ้นมา “ทำรายการวาไรตี้!”
“รายการวาไรตี้”
เถียนเถียนตกตะลึง จากนั้นจึงยิ้มแบบขมขื่นทันที “ตอนนี้วาไรตี้ทำยาก”
ตลาดบันเทิงในปัจจุบันมีความเจริญมาก บริษัทสื่อเอกชนก็มีไม่น้อย และมืออาชีพที่ผลิตรายการวาไรตี้เสร็จแล้วขายต่อให้กับบริษัทของสถานีโทรทัศน์ก็มีอยู่ทั่วไป ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงหน่อยก็มีซูเปอร์สตาร์มีเดีย เซินมู่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เป็นต้น
แต่เนื่องจากเรตติ้งที่สูงของรายการวาไรตี้ ทำให้มีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก ปรากฏการณ์การลอกเลียนแบบธุรกิจจึงเอ่อล้น เป็นผลทำให้รายการมีความคล้ายคลึงกันอย่างหนัก ผู้ชมจึงเกิดอาการเบื่อหน่าย
อย่างเช่นรายการประกวดร้องเพลง ‘ซูเปอร์เกิร์ล’ ‘นักร้องนักแต่งสุดสตรอง’ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เป็นต้น รูปแบบไม่มีความแตกต่างกันมากนัก นอกจากความสูงต่ำของระดับการผลิตเท่านั้น
แล้วก็ยังมีรายการประเภทดาราดัง ไม่มีอะไรนอกจากเชิญพวกดารามาร่วมกิจกรรมและพุดคุยกันในรายการ เล่นเกมและพูดล้อเล่นกันตลกๆ ตอนแรกๆ ก็ยังได้รับความนิยมจากผู้ชม ต่อมาภายหลังเรตติ้งก็ลดลงทุกปี หยุดผลิตไปไม่น้อยเช่นกัน
เถียนเถียนทำงานที่สถานีโทรทัศน์เจ้อตงมาสองสามปีแล้ว จึงเข้าใจสภาพปัจจุบันของรายการวาไรตี้เป็นอย่างดี
รายการวาไรตี้ในประเทศจีนก็เหมือนกับวงการเพลงป็อป ถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงให้มีความก้าวหน้าและสร้างสรรค์!
ลู่เฉินพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ทำไม่ง่าย แต่ผมมีไอเดียครับ”
เถียนเถียนตาเป็นประกาย รีบนั่งตัวตรงแล้วพูดทันที “ฉันอยากฟัง”
ความสามารถของลู่เฉินไม่เป็นที่สงสัย ความสามารถทางดนตรีของเขาใครๆ ก็รู้ หนำซ้ำยังเขียนบทละครและแสดงบทพระเอกด้วยตัวเอง ละครเรื่องแรกก็ดังไปทั่วทุกสารทิศ
ไอเดียที่เขาให้เถียนเถียน จะต้องเป็นข้อมูลที่ดีมากแน่นอน
เถียนเถียนยังรู้อีกว่า เว็บไซต์ระดมทุนที่เป็นที่นิยมมากบนอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ ลู่เฉินก็เป็นคนก่อตั้งขึ้นมา
ดังนั้นเธอจึงอยากฟังจนอดใจไม่ไหว อยากรู้ว่าลู่เฉินจะให้คำแนะนำแบบไหนกับตัวเอง!
ลู่เฉินหัวเราะพลางเอ่ยว่า “คำแนะนำของผมคือทำรายการประกวดร้องเพลงครับ”
…………………………………………………………………………