ตอนที่ 362 ขัดแย้งกันโดยไม่ตั้งใจ
ตามทางเดินที่เอียงลาด เจียงฟางรีบวิ่งตะบึงไปยังลานจอดรถที่อยู่ด้านล่างราวกับกวางน้อย
เจียงฟางเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว เธอเรียนในสถาบันที่ไม่ดังของเมืองหลวง เมื่อเรียนจบออกมาแล้วอยากจะอยู่ที่เมืองหลวงต่อแต่หางานที่เหมาะสมไม่ได้ หลังจากนั้นเธอจึงไปขอความช่วยเหลือจากคุณลุงถึงได้เข้ามาทำงานในบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์แห่งหนึ่ง
ตอนนี้เจียงฟางเป็นผู้ช่วยตัวเล็กๆ ของหัวหน้าทีมสวัสดิการในกองถ่าย ‘ฟูลเฮ้าส์’
สิ่งที่เรียกว่างานสวัสดิการ ก็คือการให้บริการในกองถ่ายเรียกย่อๆ ว่าทีมสวัส เป็นคนรับผิดชอบหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันตลอดการถ่ายทำละคร หน้าที่หลักของงานคือให้ความช่วยเหลือและรักษาสภาพแวดล้อมหน้ากองถ่าย ให้ความร่วมมือในการควบคุมทีมงานหน้าเซตและสนับสนุนพื้นที่ในการทำงาน ทำงานภายใต้การนำของหัวหน้าโปรดิวเซอร์ฝ่ายผลิต ดูแลด้านเสื้อผ้า อาหาร ที่พักอาศัย การเดินทาง เป็นต้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สวัสดิการก็เหมือนพนักงานดูแลในกองถ่าย โดยทั่วไปกองถ่ายหนึ่งจะมีหัวหน้าสวัสดิการหลายคน ตำแหน่งหน้าที่ไม่สูงแต่มีประโยชน์ไม่น้อย เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในกองถ่าย
ส่วนผู้ช่วยของหัวหน้าสวัสดิการ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นลูกน้องช่วยทำงานให้หัวหน้า…ทำเรื่องจุกจิก!
แต่เจียงฟางพอใจเป็นอย่างมากกับงานเบ็ดเตล็ดงานนี้ เพราะหลายคนที่อยากเข้ามาในกองถ่ายทำภาพยนตร์โทรทัศน์ก็ยังทำไม่ได้ ถ้าหากเธอไม่มีลุงแท้ๆ ที่อยู่วงใน คาดว่าเธอก็คงต้องไปยกถาดล้างจานเหมือนกับเพื่อนนักเรียนคนอื่นอีกจำนวนไม่น้อย ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับชีวิตที่ยากลำบาก
อย่างน้อยเธอก็ยังมีความฝันเหมือนกันใช่ไหมล่ะ และเวลาที่เธอบอกคนอื่นว่าอยู่ในกองถ่าย ‘ฟูลเฮ้าส์’ คนอื่นต่างก็อิจฉาตาร้อน…ที่ได้เห็นดาราซูเปอร์สตาร์ชื่อดังทุกวัน!
เนื่องด้วยเธอเข้าใจในโอกาสที่ล้ำค่านี้อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเจียงฟางจึงขยันและตั้งใจทำงานมากเป็นพิเศษ อย่ามองว่าเธอตัวเล็กผอมบางเท่านั้น เวลาทำงานก็ไม่ด้อยไปกว่าเพื่อนร่วมงานผู้ชายในกองถ่ายเหมือนกัน และข้อได้เปรียบที่เธอเป็นผู้หญิง บวกกับปากที่หวานมาก ทำให้ได้คุยกับลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์หลายประโยค
ความฝันของเจียงฟางไม่ใหญ่มาก เธอหวังว่าตัวเองจะได้เป็นหัวหน้าสวัสดิการที่แท้จริงสักวันหนึ่ง แบบนั้นรายได้ก็จะสูงมาก และยังมีโอกาสได้พัฒนาอีกด้วย
เธอรีบวิ่งไปที่ลานจอดรถอย่างรวดเร็ว ขอน้ำเปล่าลังเล็กจากคนขับรถในกองถ่าย จากนั้นก็หิ้วกลับไปที่ทางลาดเอียงของจุดชมวิวทะเลอีกครั้ง
ตามทางบันได เจียงฟางเพิ่มความเร็วขึ้น
ข้างหน้าเธอมีคนกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่ใช่นักท่องเที่ยว มีตากล้องแบกกระเป๋ากล้อง มีพนักงานผู้ช่วยแบกอุปกรณ์จัดแสง แล้วก็ยังมีผู้ชายอีกหกเจ็ดคนสวมสูทสีดำเสื้อเชิ้ตสีขาว
ผู้ชายชุดสูทเหล่านั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมดุดัน เดินตามชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียวสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่ง ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของทางเดินที่ลาดเอียงไป
เจียงฟางไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดพวกนี้ เธอวิ่งไล่ตามหลัง เบื้องหน้าเห็นคนกำลังขวางทาง เธอจึงวิ่งไปทางริมท่อระบายน้ำ
เธอวิ่งด้วยความเร่งรีบ ผลปรากฏว่าเพิ่งจะถึงลานเล็กๆ ตรงบริเวณจุดชมวิวทะเล ฝีเท้าของเธอก็โซเซ ร่างกายสูญเสียการทรงตัวเอียงซ้ายเอียงขวา เกือบจะชนชายหนุ่มผอมเพรียวที่เพิ่งเดินขึ้นมาพอดี
“คุณกำลังทำอะไร!”
ผู้ชายชุดสูทคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายของชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนทันที และตะคอกเสียงดังในเวลาเดียวกัน เขาก้าวขามาขวางทางเจียงฟาง แล้วยื่นสองมือผลักคนหลังอย่างแรง
“โอ๊ะ!”
เจียงฟางไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งเธอร่างเล็กบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับกำลังที่แข็งแกร่งของอีกฝ่าย ผลักเธอลอยกระเด็นออกไปทันที ล้มฟุบอย่างแรงตรงจุดที่ห่างออกไปอีกสองสามก้าว ศีรษะกระแทกกับกำแพงหิน
การกระแทกนี้ไม่นับว่าแรงมาก อย่างน้อยเจียงฟางก็ไม่ได้เป็นลมหมดสติ แต่จุดที่เธอกระแทกนั้นผิวหนังถลอกเลือดสดไหลออกมาทันที
ด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรง เธอจึงทนไม่ไหวส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าสงสาร
ผู้ชายชุดสูทที่ผลักเธอคนนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาก็คาดคิดไม่ถึงว่าจะเกิดผลเสียเช่นนี้ เขาจึงตกตะลึงเช่นกัน
ชายหนุ่มผอมเพรียวคนนั้นหยุดชะงัก และลังเลเล็กน้อย
ผู้ชายชุดสูทอีกคนที่อยู่กับเขาพูดอะไรหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินกลับไปหาเจียงฟาง
“พวกนายจะทำอะไร!”
“เจียงฟางถูกคนทำร้าย!”
“รีบไปดูเร็ว!”
เสียงร้องตกใจของเจียงฟางที่โดนผลักก่อนหน้านี้ถูกพวกทีมงานกองถ่ายที่จุดชมวิวทะเลได้ยินเข้า เพื่อนร่วมงานสองสามคนจึงมองลงไปด้วยความสงสัย ผลสรุปคือเห็นฉากที่เจียงฟางศีรษะกระแทกหัวแตกพอดี
ทีมงานพวกนั้นโมโหทันที!
พวกเขาส่วนใหญ่ยังหนุ่มยังแน่นยังเลือดร้อน กับเจียงฟางก็เข้ากันได้ดี ยามนี้เมื่อเห็นเธอถูกคนอื่นรังแก มีหรือจะทนเฉยอยู่ได้!
ดังนั้นทีมงานสองสามคนจึงรีบวิ่งพุ่งลงมาทันที
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ชายชุดสูทที่เพิ่งเดินไปทางเจียงฟางจึงรีบถอยกลับไปคุ้มกันชายหนุ่มผอมเพรียวคนนั้นพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมทันที เผยสีหน้าระวังภัยออกมาบนใบหน้า
เพื่อนร่วมงานสองสามคนวิ่งมายังจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งประคองเจียงฟางให้ลุกขึ้น อีกสองคนก็ตะคอกต่อว่าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจ ทีมงานกองถ่ายอีกหลายคนเมื่อรู้เรื่องก็รีบรุดมาถึงด้วยความเร็วจี๋
บรรยากาศในที่เกิดเหตุเปลี่ยนเป็นสถานการณ์ตึงเครียดทันที ผู้ชายชุดสูทสี่ห้าคนยืนบังอยู่ข้างหน้าชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียว ยื่นมือขวางทางทีมงานของกองถ่ายที่ถามหาคำอธิบาย ปกป้องคนด้านหลังไว้และอยากจะเดินถอยหลัง
“คนญี่ปุ่น!”
“แม่งไอ้ญี่ปุ่นมันผลักเสี่ยวฟางล้ม!”
“แจ้งความ อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้!”
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนญี่ปุ่น อารมณ์ของทีมงานกองถ่ายยิ่งเดือดดาลเข้าไปอีก และขัดขวางพวกเขาไม่ให้หนีไปอย่างเด็ดขาด
แต่ผู้ชายชุดสูทพวกนั้นก็ไม่ได้กินหญ้า เมื่อเห็นว่าถูกอีกฝ่ายล้อมเอาไว้ จึงลงมือทันที!
“โอ๊ย!”
“สู้!”
“ซัดไอ้เหี้ยกลุ่มนี้ให้ตายไปเลย!”
เพียงชั่วพริบตาทั้งสองฝ่ายตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหล นักท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้บริเวณต่างทยอยถอยออกมาเพื่อเลี่ยงไม่ให้พลอยซวยไปด้วย และคนที่มุงล้อมอยู่จำนวนไม่น้อยก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและอัดวิดีโอ
จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายพอๆ กัน แต่ฝั่งของผู้ชายชุดสูทได้เปรียบอย่างชัดเจน พวกเขาฝึกฝนมาอย่างดีลงมือด้วยความเร็วและหนักหน่วง เวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งนาทีก็อัดทีมงานกองถ่ายล้มไปสองสามคนแล้ว
เด็กหนุ่มในกองถ่ายมีกำลังวังชาล้นเหลือ แต่กำลังต่อสู้ไม่พออย่างเห็นได้ชัด เวลาต่อสู้กันขึ้นมาจึงไม่มีกฎเกณฑ์อะไร ฉะนั้นจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
แต่ดังคำกล่าวที่ว่าต่อยมั่วๆ แม้แต่อาจารย์สอนหมัดมวยก็ตายได้ ผู้ชายชุดสูทคนหนึ่งที่อยู่ในนั้นไม่ทันระวังจึงถูกชกไปหนึ่งหมัดหางตาบวมเขียวขึ้นมาเลย
เมื่อได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วเขาจึงโกรธขึ้นมา หันข้างวาดขาแล้วถีบออกไปทันที ถีบโดนส่วนหน้าอกของทีมงานกองถ่ายคนหนึ่ง เป็นผลทำให้คนหลังลอยกระเด็นออกไป
กระบวนท่าหนึ่งผ่านไป แต่ไอพิฆาตของผู้ชายชุดสูทคนนี้ไม่ลดลงเลย เขายังเตะทีมงานละครที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเองอีกครั้ง หนำซ้ำยังยกขาสูงขึ้นแล้วเตะไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายอีกด้วย
ด้วยแรงเตะของเขา หากการเตะรอบนี้เข้าเป้าจริงๆ ผลเสียที่ตามมาจะต้องรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
ทีมงานกองถ่ายคนนั้นเห็นว่าอันตราย แต่อยากจะหลบก็หลบไม่ทัน…ร่างกายตอบสนองไม่มากพอ
พลั่ก!
ขณะที่อยู่ในวิกฤตอันตรายน่าเสียวไส้ เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็แทรกไปอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่าย ยกแขนบังการเตะข้างของผู้ชายชุดสูทเอาไว้
ทีมงานละครผู้รอดเคราะห์อย่างหวุดหวิดร้องอุทานด้วยความตกใจ “ลู่เฉิน!”
คนที่มาช่วยเขา คือลู่เฉินนั่นเอง!
…………………………………………………………………………