ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 130 พิธีอัญเชิญมาร พลังวิเศษลึกลับ

บทที่ 130 พิธีอัญเชิญมาร พลังวิเศษลึกลับ

“ผู้อาวุโส วาจานี้ของท่านข้าไม่อาจเห็นด้วย ในโลกมนุษย์ไม่มีผู้ใดที่มุ่งมั่นฝึกฝนไปมากกว่าข้าแล้ว!” หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว

จั้งกูซิงนิ่งอึ้ง เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าบรรลุระดับมหายานแล้ว? นี่เพิ่งไม่กี่ปีเอง…”

เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงมีพรสวรรค์มรรคกระบี่ที่โดดเด่น แม้แต่พรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญยังน่ากลัวถึงเพียงนี้?

จั้งกูซิงอดไม่ได้ที่จะมองประเมินหานเจวี๋ยใหม่อีกครั้ง

หานเจวี๋ยประสานมือคาราวะเขา จากนั้นเดินผ่านเขา มุ่งหน้าต่อไป

คราวนี้ หานเจวี๋ยอยากรู้ว่าตนเองจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหน!

จั้งกูซิงหันกลับมา มองตามหลังเขาไป

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จั้งกูซิงรู้สึกว่าหานเจวี๋ยแตกต่างจากเมื่อก่อน

ราวกับเขา จะไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนอีกต่อไป

…..

ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม กำแพงและซากปรักหักพังที่แตกกระจายไปทั่วพื้นดิน นักพรตเต๋าจิ่วติ่งนำเหล่าผู้บำเพ็ญของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์มุ่งหน้าไปอย่างระมัดระวัง

หลิ่วปู๋เมี่ย กวนโยวกัง เซียนซีเสวียนและสิงหงเสวียนก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ที่นี่ก็คือเมืองหลวงฝ่ายมารหรือ มองดูแล้วชำรุดทรุดโทรมยิ่งนัก!”

“กล่าวกันว่าผู้บำเพ็ญฝ่ายมารมักบ้าคลั่งเป็นนิจ จักรพรรดิมารก็ขี้เกียจเกินกว่าจะก่อบ้านสร้างเมืองอีก”

“แปลก เหตุใดถึงไม่พบผู้บำเพ็ญสายหลักของสำนักอื่นเลย”

“ข้าก็รู้สึกว่าผิดปกติเช่นกัน”

“ทุกคนระวังตัวด้วย คนของฝ่ายมารมีกลอุบายมากมายนัก!”

เหล่าผู้บำเพ็ญของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ต่างพากันกระซิบกระซาบ ทุกคนต่างกุมของวิเศษของตนไว้ ไม่กล้าที่จะชะล่าใจ

สิงหงเสวียนเหลือบสายตาขึ้นมอง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มไร้ขอบเขตกลายเป็นสีแดงฉาน สุดขอบผืนดินกว้างใหญ่ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาสามารถมองเห็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งได้อย่างเลือนราง

นางขมวดคิ้วหมุ่น ในใจรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก

หลิ่วปู๋เมี่ยตามมายืนอยู่ข้างๆ นักพรตเต๋าจิ่วติ่ง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านพบเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งหรือไม่”

“เรื่องใดกัน”

“ราวกับว่าฆ่าสังหารผู้บำเพ็ญสายมารไม่หมด”

“หืม?”

“ตามหลักแล้ว จำนวนของผู้บำเพ็ญสายมารไม่อาจมากไปกว่าสายหลักของเรา แต่หลังจากสงครามใหญ่หลายสิบปี ก็ยังมีผู้บำเพ็ญสายมารอยู่ทุกหนทุกแห่ง นอกจากนี้ จำนวนเงาร่างของผู้บำเพ็ญสายหลักของเราดูเหมือนจะลดน้อยลง”

สีหน้าของนักพรตเต๋าจิ่วติ่งเปลี่ยนแปลง ก่อนเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “ท่านหมายความว่า…”

หลิ่วปู๋เมี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สิ่งหนึ่งมลายหายไปและสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทนที่ ข้าสงสัยว่าสายมารมีพลังบางอย่างที่ทำให้ผู้บำเพ็ญสายหลักถลำสู่สายมารได้ ระหว่างทาง พวกเราก็พบผู้บำเพ็ญสายมารหลายคนที่ธาตุไฟเข้าแทรกไม่ใช่หรือ”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งจิตใจสั่นไหว คราวนี้ เขาไม่สามารถรักษาท่าทีที่สงบนิ่งได้เลย

เขามองดูเมืองที่ทรุดโทรมรอบๆ ด้วยความกังวลใจ สามารถพบซากศพได้ทุกหนแห่ง ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังลอบมองตนเองอยู่ในความเงียบ

“ไม่อย่างนั้นก็ถอยทัพเถอะ พวกเราไม่จำเป็นต้องฆ่าสังหารไปถึงเมืองหลวงฝ่ายมาร” กวนโยวกังเข้ามาใกล้พร้อมกล่าว

แม้ว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์จะเป็นสำนักอันดับหนึ่งในต้าเยี่ยน แต่กวาดตามองไปทั่วใต้หล้านี้ ก็พบฝืนนับว่าเป็นอันดับสามได้บ้าง

ในสงครามชี้ชะตาครั้งใหญ่เช่นนี้ ผลกระทบของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์นั้นนับได้น้อยมาก

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับไปเอ่ยว่า “ทุกคนตามข้าถอยทัพกลับ!”

เขาทะยานร่างขึ้น มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่จากมา

ครืน

เงาร่างสายหนึ่งพุ่งลงมาจากก้อนเมฆา ก่อนจะพุ่งตรงไปบนเส้นทางที่ทรุดโทรม ทำให้เกิดฝุ่นละอองฟุ้งตลบ หินกรวดเกลื่อนกระจายรอบทิศ

เมื่อฝุ่นละอองจางหาย เงาร่างที่สูงใหญ่แข็งแกร่งก็ปรากฏ

เขาคืออรหันต์มารละโมบ หนึ่งในห้ามารอาวุโส!

ทันทีที่พวกเขาเห็นอรหันต์มารละโมบ พวกนักพรตเต๋าจิ่วติ่งต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย

อรหันต์มารละโมบค่อยๆ ลืมตาขึ้น วางมือขวาไว้บนหน้าอกแล้วกล่าวว่า “อมิตาพุทธ พวกท่านประสงค์จะไปที่ใด ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็เข้าร่วมสายมารด้วยกันเถิด!”

…..

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับเข้าร่าง

พลังวิญญาณแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง พลังมรรคของเขาก็เริ่มเพิ่มพูนขึ้น

ครั้งนี้ เหนือกว่าขั้นไท่อี่ เขาเดินหน้าไปถึงยี่สิบก้าว!

ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพได้แปรเปลี่ยน!

ภายใต้การบรรลุของเขา พลังวิเศษนี้ทลายขอบเขตจากระดับความแข็งแกร่งขยายไปสู่ระดับวงโคจร ปราณกระบี่พุ่งออกมา พุ่งขยายออกไปในระยะไกล คล้ายกับการเคลื่อนย้ายในพริบตา ก้าวกระโดดในที่ว่าง เพียงพลังจิตสามารถจับอีกฝ่ายได้ ก็สามารถยิงสังหารจากระยะไกลได้ทันที!

หานเจวี๋ยพึงพอใจเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะระยะใกล้หรือไกล ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพต่างมีอานุภาพฆ่าสังหารอนันต์ เขาเชื่อว่ามีเพียงไม่กี่คนในโลกมนุษย์ที่สามารถรับมันได้

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งจี้ไน่เหอ จูเชวี่ยและนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยน

ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด ภารกิจประจำวันก็อาจไม่ขาด!

เขาสาปแช่งไปพลางตรวจสอบจดหมายไปด้วย

[นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสหายของท่านถูกผู้บำเพ็ญสายมารจับกุมเป็นเชลย]

[เซียนซีเสวียนสหายของท่าถูกผู้บำเพ็ญสายมารจับกุมเป็นเชลย]

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านถูกผู้บำเพ็ญสายมารจับกุมเป็นเชลย]

[ซูฉีศิษย์ของท่านหลุดพ้นจากธาตุไฟเข้าแทรก คุณสมบัติเทพฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ พลังมรรคเพิ่มพูน]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร] x4679

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส เคราะห์ดีที่ได้สัตว์เทพช่วยเหลือ ถูกนำตัวไปที่แดนผาสุกสวรรค์แห่งหนึ่ง]

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านได้รับการช่วยเหลือจากโม่จู๋สหายของท่าน รอดพ้นจากการถูกผนึก]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านถูกผู้บำเพ็ญสายมารจับกุมเป็นเชลย]

…..

เชลยมากมายเพียงนี้!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว แม้แต่พวกกวนโยวกัง หลิ่วปู๋เมี่ยก็ถูกจับเป็นเชลย

เกิดอะไรขึ้น

หานเจวี๋ยรีบนำจิตรับรู้ผสานเข้ากับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ของสิงหงเสวียนทันที

เวลานั้นเอง

สิงหงเสวียนและเหล่าผู้บำเพ็ญของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ถูกคุมขังไว้ภายในตำหนักแห่งหนึ่ง สภาพของพวกเขาแต่ละคนล้วนดูสิ้นหวัง

ตำหนักหลังนี้กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก จับกุมผู้บำเพ็ญไว้หลายหมื่นคน หานเจวี๋ยยังมองเห็นหวงจี๋เฮ่าอยู่ในนั้น

หวงจี๋เฮ่ากำลังเข้าฌานอยู่ที่มุมหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางจนตรอกเป็นอย่างมาก

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงไปให้สิงหงเสวียนผ่านหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าถ่ายทอดเสียงให้กับแหวนเก็บสมบัติของเจ้า ห้ามทำอย่างเปิดเผย!”

สิงหงเสวียนตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เมื่อนางได้ยินเสียงของหานเจวี๋ย ก็พลันสงบลงในทันที

“พวกเราถูกอรหันต์มารละโมบจับตัวมา…” สิงหงเสวียนถ่ายทอดเสียงเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของตนเอง และเริ่มเล่ารายละเอียดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงเวลานี้

เมื่อเผชิญหน้ากับอรหันต์มารละโมบผู้เป็นหนึ่งในห้ามารอาวุโส สำนักศักดิ์หยกพิสุทธิ์เพียงกลุ่มเดียวย่อมไม่ใช่คู่ต้อสู้ของเขาแน่

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งและหลิ่วปู๋เมี่ยถูกอรหันต์มารละโมบทำร้ายภายในหมัดเดียว

นับว่าโชคดีที่อรหันต์มารละโมบไม่ได้ต้องการจะสังหารพวกเขา พวกเขาจึงมีชีวิตรอดมาได้

“ดูเหมือนสายมารทั้งสี่จะกำลังจับกุมผู้บำเพ็ญสายหลักอย่างโจ่งแจ้ง กล่าวกันว่าเกี่ยวข้องกับพิธีอันเชิญมาร”

“อันไหน”

“ถุย อย่าคิดซี้ซั้ว อัญที่มาจากคำว่าอัญเชิญ ดูเหมือนจักรพรรดิมารจะมีความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ กล่าวกันว่าเขาถูกอัญเชิญมายังโลกมนุษย์ และเขาอาจจะต้องอัญเชิญมารให้ได้มากกว่า”

“หมายความว่าพวกเจ้าอาจจะต้องเป็นเครื่องสังเวย?”

“อืม สามี ครั้งนี้พวกเราแพ้แล้ว ชาติหน้าเรามาเป็นสามีภรรยากันใหม่เถอะ”

“จวนเซียนสวรรค์เล่า”

“ข้าก็ไม่แน่ใจ”

หานเจวี๋ยจมอยู่ในห้วงความคิด

เกิดอะไรขึ้น

เขาคิดว่าสายหลักเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว ยามนี้ได้ยินสิงหงเสวียนพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าสายมารจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบมากกว่า

ทั้งยังมีพิธีอันเชิญมารด้วย มิใช่ว่าอันเชิญเผ่ามารบรรพกาลหรอกนะ

หานเจวี๋ยยิ่งคิดยิ่งกังวล เขาปลอบขวัญสิงหงเสวียนสองสามประโยค ก่อนจะไม่ถ่ายทอดกระแสเสียงอีก

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ หากไม่ลงมือคงไม่ได้แล้ว!

หากรอเผ่ามารมาเยือน เช่นนั้นใต้หล้าคงไม่สงบสุข หานเจวี๋ยเองก็ไม่อยากให้การฝึกบำเพ็ญของตนถูกรบกวนอีก

หานเจวี๋ยยกมือขวาของตน ก่อนชูนิ้วกลางขึ้น เอ่ยพึมพำว่า “ถึงตอนนั้นก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”

อู้เต้าเจี้ยนกำลังนั่งเผชิญหน้ากับเขา เลียนแบบเขาโดยยกนิ้วกลางของมือขวาขึ้น เอ่ยถามหานเจวี๋ยว่า “นายท่าน นี่หมายความว่าอย่างไร พลังวิเศษแบบใช้มือหรือ”

“อืม พลังวิเศษนี้ใช้ไม่ได้ง่ายๆ ยกเว้นในสถานการณ์ที่ต้องตายเท่านั้น”

“เช่นนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรกัน”

“มันสามารถทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจขึ้นบ้างก่อนที่จะตาย”

“หืม?”

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจอู้เต้าเจี้ยนอีก ลุกขึ้นและเดินออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทานไป

…………………………………………………………………………….

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
Score 9.8
Status: Ongoing
อ่านระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะเนื่องจากชาติก่อนเป็นโรครักษาไม่หาย ตายก่อนวัยอันควร เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่ในแดนบำเพ็ญเซียน เขาจึงมีเป้าหมายเดียว... ชีวิตอมตะ! หานเจวี๋ยพบว่าตนเองมีระบบของเกมวิถีชีวิตอยู่กับตัว หลังจากใช้เวลากว่าสิบเอ็ดปี ในที่สุดก็สุ่มได้ดวงชะตาและรากวิญญาณชั้นเลิศจากระบบ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญเซียนได้อย่างมั่นใจ เพื่อเป้าหมายการมีชีวิตเป็นอมตะ เขาตัดสินใจฝึกฝนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ให้เป็นจุดสนใจ กระทั่งพันปีต่อมา แดนบำเพ็ญเซียนเปลี่ยนไปยุคแล้วยุคเล่า เมื่อเทพเซียนจะชำระล้างโลกมนุษย์ หานเจวี๋ยไม่อาจไม่ลงมือ ยามนั้นเขาจึงเพิ่งค้นพบว่า... เทพเซียนมันก็แค่นี้เอง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset