บทที่ 132 ความเป็นมาของมาร วิถีแห่งการเป็นอมตะ
หลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ สิงหงเสวียนพบว่ายังมีผู้บำเพ็ญสายหลักภายในตำหนักข้างเคียงอื่นๆ ที่ถูกพาออกมาด้วยกลุ่มใหญ่
ยากจะจินตนาการได้ว่าจักรพรรดิมารจับผู้บำเพ็ญสายหลักมามากน้อยเพียงใด
“หรือจะไม่มีความหวังแล้วจริงๆ? จวนเซียนสวรรค์เล่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเล่า” เสียงของศิษย์หญิงด้านข้างผู้หนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ก่อนที่จะถูกจับมา ทุกคนล้วนคิดว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม
คิดไม่ถึงว่า……
ฝันร้ายเพิ่งเริ่มต้น!
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเหลียวซ้ายแลขวา แอบตกใจว่าเหตุใดผู้บำเพ็ญสายมารถึงมีจำนวนมากมายเพียงนี้
ผู้บำเพ็ญสายหลักเหล่านั้นกลายเป็นผู้บำเพ็ญสายมารอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร
หากกล่าวกันตามเหตุผล การผันแปรพลังวิญญาณเป็นไอมารจำเป็นต้องมีกระบวนการฝึกบำเพ็ญ จะฟื้นฟูอย่างอิสระภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไรกัน
พื้นที่ราบเรียบกว้างใหญ่ มีตำหนักขนาดใหญ่โตหลายสิบหลังกระจายอยู่รอบๆ ทุกหนทุกแห่งล้วนแล้วแต่เป็นกองเพลิง จำนวนผู้บำเพ็ญมารมากมายเหนือคณานับ ไอมารก่อตัวเป็นเมฆหนามืดฟ้ามัวดิน ดูราวกับย่ำสนธยา
เมื่อมองลงมาจากท้องนภา ตำหนักทั้งหลายโอบล้อมเข้าหากันเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ประตูแต่ละบานล้วนหันไปทางเดียวกัน นั่นคือแท่นขนาดใหญ่ที่มีความยาวและกว้างหลายพันจั้ง ตลอดทั้งแท่นล้วนเป็นสีซีดขาว ราวกับทำด้วยกระดูก น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
แท่นอันเชิญมาร!
รอบแท่นบูชามีกลุ่มผู้บำเพ็ญสายมารยืนล้อมรอบเป็นวงกลม ทุกคนแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ ดูไม่ต่างกับผีจากเมืองยมบาล
ครืน
เมฆดำเหนือแท่นบูชาม้วนตลบอย่างรุนแรง ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนที่น่าหวาดหวั่น พร้อมด้วยเสียงฟ้าแลบฟ้าร้อง
ไกลออกไป บนเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซูฉีและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นกำลังนอนพังพาบอยู่หลังก้อนหิน ชะโงกหน้าออกมองไปรอบๆ
“ผู้บำเพ็ญสายมารมากมายยิ่งนัก พวกเราต้องขึ้นไปจริงๆ หรือ”
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นถามด้วยเสียงสั่นเครือ กว่าจะหนีจากเงื้อมือของจักรพรรดิมารมาได้ไม่ง่ายดาย เขาก็ไม่อยากเข้าไปเสี่ยงอีก
ซูฉีเอ่ยด้วยความจริงจังว่า “หัวใจของข้าอยู่กับสายหลัก จะหวาดกลัวได้อย่างไร หากวันนี้แผนการยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิมารประสบความสำเร็จ ใต้หล้าย่อมมีภัย เวลานั้นอาจารย์ของข้าเจ้านายของเจ้าก็อย่าได้คิดจะฝึกบำเพ็ญอย่างสงบสุข เวลานั้นเมื่อมองย้อนกลับมา อาจเป็นเพราะขาดกำลังครั้งนี้ของของพวกเราก็เป็นได้!”
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นใบหน้าขมขื่น เจ้าเด็กนี่มีจิตใจที่เที่ยงธรรมน่าเกรงขามเกินไปแล้ว!
จู่ๆ เขาก็คิดถึงจี้เซียนเสินเป็นอย่างมาก
หากเจ้าหมอนั่นเข้ามาสังหาร คงจะดีไม่น้อย!
……
บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียน
หลังจากหานเจวี๋ยให้โอวาทเสร็จ เหล่าศิษย์ทั้งหลายยังคงอยู่ในสภาวะแห่งการรู้แจ้ง เป็นเวลานานที่พวกเขาไม่อาจที่จะกลับมารู้สึกตัวได้
เวลานั้นเอง
หลี่ชิงจื่อเร่งรุดเข้ามา เขามาที่ด้านข้างของหานเจวี๋ย มองไปยังพวกมู่หรงฉี่และอู้เต้าเจี้ยนเพียงครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสหาน พวกท่านเจ้าสำนักถูกจับแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
ระยะทางนั้นไกลเกินไป ทำให้ข่าวสารของเขาล่าช้าไปถึงปีกว่า
หานเจวี๋ยตอบว่า “รอก่อน”
เขาอยากจะบอกว่าพวกเขาจะไม่เป็นไร แต่หากมีอะไรผิดพลาดเล่า
เรื่องแบบนี้รับรองไม่ได้!
“ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ต่างพากันหายไปทีละแห่งๆ ให้ตายเถิด!”
หลี่ชิงจื่อเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขามักรู้สึกว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ต้องมีการสมรู้ร่วมคิดครั้งใหญ่
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “พวกเขาเองก็อาจจะมีปัญหาเช่นกัน”
ประโยคนี้เป็นความจริง ก่อนหน้านี้เขาตรวจจดหมายจึงพบว่าจี้เซียนเสิน จี้เหลิ่งฉานและนักพรตเต๋าจี้คงของจวนเซียนสวรรค์ต่างกำลังเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร อีกทั้งจำนวนครั้งยังมากกว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์และคนอื่นๆ
ดูเหมือนพวกเขาคงจะถูกควบคุมไว้แล้ว
หลี่ชิงจื่อทอดถอนใจ ก่อนจากไปทันที
สีหน้าของหานเจวี๋ยราบเรียบ อันที่จริงเขากำลังใช้หุ่นเชิดสวรรค์สังเกตสถานการณ์ของเมืองหลวงฝ่ายมารอยู่
เขากำลังรอคนผู้หนึ่ง
จักพรรดิมารจี้ไน่เหอ!
ขอเพียงแค่สังหารจี้ไน่เหอได้ สายมารย่อมพังทลายลง!
ผ่านไปไม่นาน
เหล่าผู้บำเพ็ญของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ถูกพาตัวไปยังแท่นอันเชิญมาร พวกเขาถูกกักขังไว้เป็นเวลาเนิ่นนานเพียงนี้ ภายใต้การทรมานจากไอมาร ทำให้พวกเขาสูญเสียพละกำลังในการต่อสู้ไปนานแล้ว ทำได้เพียงมองดูผู้บำเพ็ญสายมารที่อยู่รายล้อมด้วยความเกลียดชัง
“นี่คือพิธีอันเชิญมารหรือ”
“บนฟ้าคืออะไร”
“คงไม่ใช่การอันเชิญมารจริงๆ หรอกนะ”
“ตามตำนาน เมื่อก่อนมารเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดก่อนเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ…”
“บัดซบ ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวพลังวิญญาณในร่างกายได้เลย!”
“จักรพรรดิมารอยู่ที่ใด”
…..
เหล่าผู้บำเพ็ญต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นตระหนก กระจัดกระจายไม่เป็นสุขอยู่บนแท่นบูชา
ผู้บำเพ็ญที่ถูกจับไปที่แท่นอันเชิญมารเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
อรหันต์มารละโมบยืนอยู่ข้างแท่นบูชา หลับตาลงสวดมนต์
มีผู้บำเพ็ญบางคนคิดอยากต่อต้าน แต่สุดท้ายกลับถูกผู้บำเพ็ญสายมารโจมตีจนล้มลงในทันที ทำลายเส้นลมปราณ โยนลงบนแท่นบูชา เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นระงม น่าอนาถอย่างถึงที่สุด
หวงจี๋เฮ่าเดินมาตรงหน้านักพรตเต๋าจิ่วติ่ง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักท่านมาแล้วหรือยัง”
ในใจของเขา หานเจวี๋ยเป็นผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังที่สุด หากเขามา บางทีอาจจะยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งส่ายหน้า
เขากลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ไม่ได้ให้หานเจวี๋ยมา หากเขามาแล้ว แม้แต่เปลวธูปของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็คงไม่เหลือ
หวงจี๋เฮ่าเผยสีหน้าเศร้าเสียใจ
ครืน
เหนือแท่นบูชาปรากฏไอโลหิตตลบอบอวล พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือไอโลหิตนั้น เป็นปรมาจารย์มารโลหิตที่ปรากฏกายขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน
ปรมาจารย์มารโลหิตเหลือบมองไปที่แท่นอันเชิญมาร ก่อนพยักหน้าลงเล็กน้อย
เขาเผยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของตนออกไปในทันที แรงกดดันนั้นปกคลุมปฐพี ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายบนแท่นบูชารู้สึกราวกับว่าถูกทุบเข้าที่หน้าอกอย่างจัง ทุกข์ทรมานจนถึงขีดสุด
หลังจากที่เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหมดขึ้นไปบนแท่นบูชาแล้ว นอกจากผู้บำเพ็ญสายมารที่เฝ้าอยู่รอบแท่นบูชา ผู้บำเพ็ญสายมารที่เหลือต่างก็พากันคุกเข่าลง คำนับไปทางแท่นบูชานั้น
ทั่วปฐพีตกอยู่ในความเงียบ
จำนวนผู้บำเพ็ญสายหลักที่อยู่บนแท่นบูชามีเกินแสนคน ทั้งหมดต่างไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา มองท้องฟ้าด้วยความกังวลใจ
ต่อจากนี้อะไรจะเกิดขึ้น
“ต้อนรับการมาถึงของจักรพรรดิมาร!”
ปรมาจารย์มารโลหิตตะโกนขึ้น เมื่อสิ้นเสียงเอ่ย ผู้บำเพ็ญสายมารหลายแสนคนก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“ต้อนรับการมาถึงของจักรพรรดิมาร!”
“ต้อนรับการมาถึงของจักรพรรดิมาร!”
“ต้อนรับการมาถึงของจักรพรรดิมาร!”
ผู้บำเพ็ญสายมารร้องตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน น้ำเสียงรวมเป็นหนึ่ง ดังก้องในโสตประสาท ใบหน้าของผู้บำเพ็ญสายมารแต่ละคนเต็มไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่าน
ท่ามกลางไอมารที่ตลบบนท้องนภา พลันปรากฏเงาร่างขึ้นสายหนึ่ง
นั่นก็คือจักรพรรดิมารจี้ไน่เหอ เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้น เปิดปากเอ่ยว่า “เหล่าผู้สืบทอดสายมารทั้งหลาย”
ผู้บำเพ็ญสายมารทั้งหมดต่างค่อยๆ เงียบเสียงลง จ้องมองมาที่เขาแน่นิ่ง
เหล่าผู้บำเพ็ญสายหลักยิ่งประหม่ามากขึ้นกว่าเดิม ด้วยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“เมื่อโลกถือกำเนิด สรรพสิ่งล้วนโกลาหล เดิมทีมีมาร ต่อมามีเทพ สุดท้ายถึงจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถือกำเนิด ปรากฏเทพเซียนขึ้นมา มรรคมารคือการแสวงหาการหลุดพ้นจากการถูกควบคุมจากมรรคาสวรรค์ ความเป็นอมตะ ไม่ถูกทำลาย ทำตามที่ใจปรารถนา มีบุญคุณตอบแทนมีความแค้นต้องชำระ!”
น้ำเสียงของจี้ไน่เหอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน นำเหล่าผู้บำเพ็ญสายมารหวนคืนสู่ยุคบรรพกาลนั้น
ห่างออกไป หานเจวี๋ยที่อยู่บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก็ได้ยินคำพูดของเขาผ่านหุ่นเชิดแห่งสวรรค์เช่นกัน ลอบเอ่ยขึ้นว่า ‘นี่คือการขยายเครือข่ายของสายมารหรืออย่างไร’
หานเจวี๋ยไม่ได้รีบร้อนลงมือในทันที จี้ไน่เหออยู่บนฟ้า ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่จะลงมือ
เวลานี้ มู่หรงฉี่ ไก่คุกรัตติกาล สวินฉางอัน หยางเทียนตงและอู่เต้าเจี้ยนต่างก็ตื่นขึ้นแล้ว
“อาจารย์ปู่ มรรคที่พวกเราควรแสงหาคืออายุขัยหรือพลังวิญญาณ” มู่หรงฉี่เอ่ยถาม
หานเจวี๋ยจึงตอบว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมีปณิธานที่จะมีชีวิตอยู่ทั้งนั้น ปณิธานของข้าก็คืออายุขัย เมื่อเจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงที่สุดแล้ว พลังของเจ้านั้นก็จะแข็งแกร่งที่สุด”
หยางเทียนตงเอ่ยถามว่า “มรรคาสวรรค์มีกฎสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดเป็นกฎสวรรค์ หลังจากกลายเป็นเซียนแล้วสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่”
บัดนี้เขาได้ละทิ้งความทะเยอทะยานของตนลงแล้ว ต้องการเพียงแสวงหาวิถีแห่งการมีอายุยืนยาวเท่านั้น
“เทพเซียนนั้นเพียงแต่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ปุถุชน ความเป็นอมตะที่แท้จริงยังห่างไกลนัก มิเช่นนั้นคงไม่มีตำนานเทพเซียนที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์มากมาย เป็นเพราะจุดสิ้นสุดของมหามรรคอยู่ไกลแสนไกล พวกเราจึงต้องหวงแหนปัจจุบัน วันนี้ฝึกฝนน้อยลงหนึ่งก้านธูป พันปีให้หลัง จะเสียเวลาไปเท่าไร กี่หมื่นปี กี่ล้านปี”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างเนิบช้า เขาใจลอย แต่ในสายตาของเหล่าศิษย์นั้น มันลึกซึ้งยากหยั่ง รู้ซึ้งทางโลก
…………………………………………………………………………