บทที่ 140 เจวี๋ยเหยี่ยนจะลงโลกมนุษย์ เทพเซียนพสุธา
‘มารดามันสิ!
กลับชาติบำเพ็ญเพียรใหม่?’
หานเจวี๋ยไม่อาจสงบอารมณ์ได้จริงๆ
เขาก็ไม่ใช่สตรีอย่างเช่นสิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ ที่หลังจากเข้าสู่วัฏจักรแล้วจะมีคนช่วยพวกนางฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อน เขาได้แต่อาศัยตนเองเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็จำเป็นต้องเหนือกว่าจูเชวี่ยแล้วค่อยคิดเรื่องขึ้นสวรรค์อีกที!
อย่างไรเสียต้นฝูซังก็เติบโตอยู่ตลอด นี่ก็คือต้นไม้เทพ สามารถดึงดูดสัตว์เทพบนสวรรค์ให้ลงมายังโลกมนุษย์ได้ หานเจวี๋ยเชื่อว่าเขาสามารถอาศัยต้นฝูซังฝึกฝนต่อไปได้
“ผู้อาวุโส มีวิธีที่จะไม่ขึ้นสวรรค์ ฝึกฝนอยู่ในโลกมนุษย์ตลอดหรือไม่” หานเจวี๋ยหรี่ตาลง เอ่ยถาม
จั้งกูซิงเอ่ยตอบ “หากจะบอกว่าไม่มี ย่อมเป็นเรื่องโกหก ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ มีหลายสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้มากมาย เท่าที่ข้าทราบ มีหินวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับมรรคาสวรรค์อยู่ชนิดหนึ่งที่สามารถหลบหลีกข้อจำกัดของมรรคาสวรรค์ได้ ไม่ต้องฝ่าด่านเคราะห์ แม้ตบะจะอยู่เหนือกว่าโลกมนุษย์ก็สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้ หินวิญญาณเช่นนี้ก็ไม่นับว่าหายากในสวรรค์ มักจะมีเทพเซียนอาศัยหินวิญญาณชนิดนี้ลงมายังโลกมนุษย์ แต่วังสวรรค์มีคำสั่งเข้มงวดว่าสรรพชีวิตบนแดนเซียนไม่อาจลงมายังโลกมนุษย์ได้ หากพบเจอจะถูกจัดการตามกฎสวรรค์”
เมื่อหานเจวี๋ยได้ยินก็มั่นใจว่าศิลาแคล้วสวรรค์ก็คือหินชนิดนั้น
เขารู้สึกวางใจลงแล้ว
หลังจากนี้ก็สามารถเอาตัวรอดอย่างสงบใจได้
‘ถุย!
มุมานะบำเพ็ญเพียรอย่างวางใจต่างหาก!’
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ ครั้งหน้าจะมาหาท่านใหม่”
หานเจวี๋ยคารวะ หลังจากนั้นก็เดินผ่านจั้งกูซิง เพื่อตรงต่อไปด้านหน้า
จั้งกูซิงส่ายหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากอีก
……
หลังจากยกระดับไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิแล้ว หานเจวี๋ยก็ซาบซึ้งถึงสัจธรรมฟ้าดิน หลังจากทำให้มั่นคงอยู่หลายเดือนแล้ว ถึงจะหยุดทำการฝึกฝน
เขาให้ซูฉีเปิดถ้ำเทวาอยู่ข้างๆ หากไม่มีคำสั่งจากเขา ห้ามออกจากถ้ำ
เพื่อไม่ให้ซูฉีเกิดความสงสัย หานเจวี๋ยจึงออกคำสั่งเข้มงวดไม่ให้ศิษย์คนอื่นๆ รบกวนซูฉี
ซูฉีรู้สึกภาคภูมิใจในทันที ‘อาจารย์คงอยากบ่มเพาะข้าเป็นพิเศษสินะ หวังให้ข้าตั้งใจฝึกฝน’
และตอนนี้ อู้เต้าเจี้ยนที่รู้สึกไม่พอใจมาโดยตลอดก็ได้กลับเข้าถ้ำเทวาของหานเจวี๋ยในที่สุด
ที่หานเจวี๋ยให้นางเข้าถ้ำเทวาไม่ใช่เพราะคำนึงถึงความรู้สึกของนาง แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือนางสามารถยกระดับพลังวิญญาณในถ้ำเทวาได้
หญ้าโลกาสวรรค์แม้แปลงร่างแล้วก็ยังเป็นของล้ำค่าฟ้าดินอยู่!
หานเจวี๋ยเข้าสู่การบำเพ็ญอันยาวนานอีกครั้ง
ช่วงนี้บนสวรรค์วุ่นวาย ไม่แน่นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนและจูเชวี่ยอาจลงมาเมื่อไรก็ได้ หานเจวี๋ยจำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งให้มากที่สุด
……
ภายในถ้ำภูเขาอันมืดสลัวแห่งหนึ่ง ปรมาจารย์มารโลหิต มารชีผมขาวและอรหันต์มารละโมบกำลังนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน
สีหน้าของทั้งสามมืดครึ้มอย่างถึงขีดสุด
ตรงกลางระหว่างพวกเขามีลูกแก้วลูกหนึ่งลอยอยู่ ภายในลูกแก้วมีไอมารก่อตัวเป็นระลอกคลื่น
“มารหลัวฉิวตายแล้ว?”
น้ำเสียงเย็นเยือกดังออกมา
ปรมาจารย์มารโลหิตสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนกล่าวว่า “ถูกบุตรแห่งสวรรค์ของจวนเซียนสวรรค์สังหาร ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น พวกเราที่อุทิศตนรับใช้เผ่ามารในครั้งนี้ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส จักรพรรดิมารก็แตกสลายไปแล้ว”
น้ำเสียงเย็นเยือกดังขึ้นตามมา “เหตุใดต้องอุทิศตนรับใช้เผ่ามาร พวกเจ้าจะทรยศต่อโลกนี้หรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มารอาวุโสทั้งสามก็นิ่งเงียบไป
พวกเขาไหนเลยจะอยากอุทิศตนรับใช้เผ่ามาร หากไม่ใช่เพราะว่าเผ่ามารได้เสนอเงื่อนไขที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้
อรหันต์มารละโมบทอดถอนใจกล่าวว่า “อมิตาพุทธ อย่างไรเสียข้าก็ไม่เล่นด้วยแล้ว ข้าวางแผนที่จะขึ้นสวรรค์เหมือนกับจอมมาร”
มารชีผมขาวพยักหน้า นางเองก็เหนื่อยแล้ว
ปรมาจารย์มารโลหิตถอนหายใจ
แม้พวกเขาจะอยู่บนจุดสูงสุดของโลกมนุษย์ แต่การขึ้นสวรรค์ด้วยตบะของพวกเขาในตอนนี้ หลังจากฝ่าด่านเคราะห์ของการขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ก็ไม่ถึงกับต้องเกิดใหม่
มีคำกล่าวที่เล่าลือสืบกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่า หลังจากขึ้นสวรรค์สำเร็จแล้วตบะจะเพิ่มพูน ตบะก่อนขึ้นสวรรค์ยิ่งสูง ตบะหลังขึ้นสวรรค์จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น!
นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมขึ้นสวรรค์มาโดยตลอด
ในโลกมนุษย์ พวกเขาเป็นผู้ทรงพลังที่สามารถควบคุมอาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้า หลังจากขึ้นสวรรค์แล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเท่านั้น
ยังไม่ถึงขีดจำกัดขั้นสูงสุด ใครเล่าจะขึ้นไป
“ฮึ อย่าเพิ่งขึ้นสวรรค์เลย อย่างมากห้าร้อยปีข้าก็จะลงไปโลกมนุษย์ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำลายจวนเซียนสวรรค์แล้วค่อยขึ้นสวรรค์ ข้าจะแนะนำสำนักสวรรค์ให้กับพวกเจ้า ให้พวกเจ้าได้พึ่งพิง ส่วนเผ่ามารไม่ต้องไปใส่ใจ อีกไม่นานวังสวรรค์ก็จะลงมือกับเผ่ามารแล้ว!”
น้ำเสียงเย็นเยือกดังขึ้นอีกครั้ง พวกปรมาจารย์มารโลหิตทั้งสามได้ยินดวงตาก็เป็นประกาย
หากสามารถทำลายจวนเซียนสวรรค์ได้จริงๆ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง!
กล่าวตามตรง ภายในใจของพวกเขาก็มีเรื่องอัดอั้นอยู่ ไม่สามารถหาที่ระบายได้!
ปรมาจารย์มารโลหิตรีบกุมมือคารวะ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเจวี๋ยเหยี่ยน พวกเราจะรอท่านลงมาโลกมนุษย์!”
“อืม!”
……
เวลายี่สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยทะลวงถึงระดับมหายานขั้นสี่ หลังจากทะลวงสำเร็จแล้ว เขาก็นำหนังสือแห่งความโชคร้ายมาเพื่อสาปแช่งนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนและจูเชวี่ยตามความเคยชิน
ความเร็วในการทะลวงระดับนี้ หานเจวี๋ยค่อนข้างพอใจมาก อย่างมากที่สุดร้อยปี เขาก็สามารถทะลวงระดับที่เหนือกว่าระดับมหายานแล้ว
เขาสาปแช่งไปด้วย ตรวจสอบจดหมายไปด้วย
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x4897
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านหลงเข้าไปในแดนต้องห้ามบรรพกาล ได้รับการยอมรับจากกระบี่เทพไร้เทียมทาน]
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านรับประทานผลเทพโลกาสวรรค์ พลังมรรคเพิ่มพูน]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x78834
[นักพรตเต๋าจี้คงสหายของท่านสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านหลงเข้าไปในอารามเต๋าของเทพเซียนพสุธา]
[ฉางเยวี่ยเอ๋อร์สหายของท่านหลงเข้าไปในอารามเต๋าของเทพเซียนพสุธา]
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเข้าไปในจวนเซียนสวรรค์ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
……
หานเจวี๋ยคำนวณดูอย่างละเอียด
ภายในยี่สิบปีมานี้ ฟางเหลียงได้รับโอกาสวาสนาถึงเก้าอย่าง
ไร้เหตุผลสิ้นดี!
บุตรแห่งฟ้าดินสวรรค์ช่างไร้เหตุผลจริงๆ!
ที่สำคัญคือคาดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะยังได้เข้าจวนเซียนสวรรค์ด้วย
รู้สึกว่าพอเจ้าเด็กนี่กลับมา เขาอาจจะมีตบะระดับมหายานแล้วจริงๆ
บุตรแห่งฟ้าดินก็เหมาะกับการเลี้ยงดูแบบปล่อยจริงๆ
หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นโอกาสวาสนาของสิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ เขาเกิดความสนใจในเทพเซียนพสุธาขึ้นมาทันที
‘สิ่งใดคือเทพเซียนพสุธา’
หนึ่งเดือนต่อมา
หานเจวี๋ยสาปแช่งเสร็จ หลังจากเก็บหนังสือแห่งความโชคร้ายแล้ว ก็ให้ความสนใจกับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ของสิงหงเสวียนอีกครั้ง
เรื่องราวต้องจัดการทีละเรื่องๆ ภารกิจประจำวันไม่อาจละทิ้งไปได้
หานเจวี๋ยมองเห็นอารามเต๋าอันโอ่อ่ายิ่งใหญ่แห่งหนึ่งผ่านหุ่นเชิดแห่งสวรรค์
อารามเต๋าแห่งนี้เหลืองอร่ามงามตา พื้นที่ภายในอารามสูงถึงหลายร้อยจั้ง เสาหินที่ค้ำยันอารามเต๋าเหล่าแห่งนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายจั้ง ราวกับว่านี่เป็นอารามเต๋าของมนุษย์ยักษ์
สิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าภาพวาดบนฝาผนัง ดูเหมือนว่ากำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง บางคราก็คิ้วขมวด บางคราก็หัวเราะ
หานเจวี๋ยส่งพลังจิตไปสังเกตดูอารามเต๋าแห่งนี้อย่างละเอียด
เพียงไม่นาน
หานเจวี๋ยก็ค้นพบเศษเสี้ยววิญญาณหนึ่งที่อาศัยอยู่ในรูปปั้นหิน
เศษเสี้ยววิญญาณนี้เป็นแม่ชีเฒ่าผู้หนึ่ง สวมชุดนักพรตเต๋า ขดตัวอยู่ภายในรูปปั้นหิน ดูเหมือนกำลังหลับสนิท
หานเจวี๋ยไม่รู้ตบะของนางจึงไม่กล้ารบกวน
‘หรือจะเป็นเทพเซียนพสุธา’
“สหายเต๋ากวน ข้าทะลวงระดับมหายานแล้ว ออกมาแลกมือศึกษากันหน่อยเถิด!”
น้ำเสียงหนึ่งลอยเข้าสู่โสตประสาทในร่างจริงของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยจำเป็นต้องดึงจิตกลับเข้าร่างอย่างอดไม่ได้
‘จี้เซียนเสิน! เจ้าหมอนี่ทะลวงถึงระดับมหายานแล้ว?’
ก่อนหน้านั้นก็เหมือนเคยสังเกตดูอยู่ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบต่อสู้กับเขาสักรอบก่อนอย่างระมัดระวัง
ใกล้เคียงมาก
ยังคงสามารถสังหารได้ภายในชั่วพริบตา!
หานเจวี๋ยหายไปจากถ้ำเทวาในทันที
จี้เซียนเสินรอหานเจวี๋ยอยู่ในป่าที่ห่างออกไปหลายสิบลี้
เขาเองก็ระมัดระวังมากเช่นกัน แม้จะทะลวงถึงระดับมหายานแล้ว แต่หากสู้ไม่ชนะเล่า หากระดมกำลังกันเล่า ข่าวการพ่ายแพ้ของเขาจะไม่ถูกเล่าลือออกไปหรือ
หานเจวี๋ยมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของจี้เซียนเสิน
จี้เซียนเสินหันกลับมากล่าวด้วยจิตใจฮึกเหิม “กวนอวี่ ข้าบรรลุระดับมหายานแล้ว เข้าใจพลังวิเศษใหม่ ผู้อาวุโสจวนเซียนสวรรค์ถูกข้าตีจนพ่ายแพ้ราบคาบ เพียงแค่เอาชนะเจ้าได้ ข้าก็จะเป็นผู้มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่แท้จริง!”
……………………………………….