บทที่ 179 เซียนสวรรค์วัฏจักรระยะกลาง เคราะห์ใหญ่กำลังจะมาถึง
เซียนเมฆาแดงกล่าวขึ้นมาก่อน “กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังเทพปีศาจใกล้จะประนีประนอมแล้ว เมื่อวังสวรรค์ประหารชีวิตเทพปีศาจ ไม่นานนักก็จะชำระล้างโลกมนุษย์ เทพเซียนจำนวนไม่น้อยต่างให้ความสนใจในตัวเจ้าแล้ว”
ด้วยการช่วยเหลือด้านการแอบซ่อนของระบบ เซียนเมฆาแดงจึงไม่ทราบว่าตบะของหานเจวี๋ยไล่ตามตนเองทันแล้ว
หานเจวี๋ยพยักหน้าลงกล่าวว่า “ขอบคุณที่กล่าวเตือน”
ก่อนหน้านั้นเทพเซียนจำนวนมากเกิดความประทับใจในตัวเขา เกลียดชังเขา แสดงว่าเทพเซียนก็เห็นด้วยกับแผนที่จะพิสูจน์พรสวรรค์ของตนเอง ตามที่จั้งกูซิงบอก แม่ทัพสวรรค์ที่ลงมาโลกมนุษย์ที่แข็งแกร่งสุดก็ไม่เกินระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ หานเจวี๋ยย่อมไม่กดดันมาก
“ดูเหมือนเจ้าจะล่วงเกินเทพยุทธ์จวี้หลิงเข้า แม่ทัพสวรรค์ที่นำทัพมากวาดล้างโลกมนุษย์แห่งนี้ก็คือเขา” เซียนเมฆาแดงกล่าวต่อ
หานเจวี๋ยกลับไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด ตบะบำเพ็ญของเทพยุทธ์จวี้หลิงอยู่ในระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ ใช่ว่าจะไม่สามารถต่อกรได้
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว “ข้าไม่รู้จักเทพยุทธ์จวี้หลิง ก่อนหน้านั้นกลับมีแม่ทัพสวรรค์ท่านหนึ่งลงมาหาเรื่องข้าที่โลกมนุษย์ นามว่าหยางซ่าน”
เซียนเมฆาแดงพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หยางซ่านเป็นคนของเทพยุทธ์จวี้หลิง ตำแหน่งไม่สูง แต่เป็นที่ชื่นชอบของเทพยุทธ์จวี้หลิงมาก แต่จะว่าไปแล้ว หยางซ่านแอบลงมาที่โลกมนุษย์ ฝ่าฝืนกฎสวรรค์ เรื่องนี้ข้าจะต้องร้องเรียนอย่างแน่นอน!”
หานเจวี๋ยยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
ขณะนี้เซียนเมฆาแดงเพียงแค่ส่งข่าวให้เขาเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้แข็งกร้าวแต่อย่างใด มิเช่นนั้นจะยอมให้โลกมนุษย์ของตนเองถูกกวาดล้างได้อย่างไร
“จริงสิ ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับบรรพชนพุทธภควัตหรือไม่” หานเจวี๋ยถามขึ้นในทันใด
“บรรพชนพุทธภควัต? เคยได้ยิน สำนักพุทธมีพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ บรรพชนพุทธภควัตมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือท่านละทิ้งสำนักพุทธ แต่กลับเกลี้ยกล่อมให้สำนักพุทธละทิ้งการฝึกฝน น่าขันยิ่งนัก”
เซียนเมฆาแดงตอบ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เขาก็อยากจะหัวเราะออกมา
หานเจวี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะเหตุใด”
“ใครจะรู้เล่า ข้ามักจะรู้สึกว่าสำนักพุทธมีแผนร้าย”
หานเจวี๋ยจมสู่ห้วงความคิด
หากที่เซียนเมฆาแดงกล่าวเป็นความจริง เช่นนั้นฉู่ซื่อเหรินอาจจะไม่ใช่เครื่องมือที่สำนักพุทธส่งเข้ามา แนวคิดมันไม่สอดคล้องกันจริงๆ
ในทางกลับกันหากใต้สังกัดเขามีศิษย์เช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องส่งฉู่ซื่อเหรินไปยังกลุ่มอิทธิพลของศัตรู
บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ฉู่ซื่อเหรินฝึกเต๋า
“รอจนเรื่องของเทพปีศาจสิ้นสุดลงแล้ว ข้าก็จะถูกถอดออก เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ หากเจ้านึกเสียใจในภายหลัง ตอนนี้ก็ยังทันเวลา ข้าสามารถช่วยแนะนำเจ้าให้เข้าวังสวรรค์ได้” เซียนเมฆาแดงจ้องมองหานเจวี๋ยพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้ายังไม่นึกเสียใจ ขอบคุณในความหวังดีของผู้อาวุโส”
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันนานนัก
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับเข้าสู่กายเนื้อ
เขานำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งเทพยุทธ์จวี้หลิง
ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็อยู่ระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ หากสามารถป้องกันได้ก็ป้องกันไว้ก่อน
……
ตั้งแต่ที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียนกลายเป็นอาณาเขตเต๋า พลังวิญญาณก็เพิ่มขึ้นห้าเท่า ตบะของผู้คนบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนทั้งหลายต่างก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากราชามังกรสามหัวกินวิญญาณยวนหวงหลงไป สายเลือดก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปทางมังกรแท้ แต่ยังไม่ทันจะได้กลายเป็นมังกรแท้โดยสมบูรณ์ เขากลับมีหัวมังกรงอกออกมาอีกสองหัว กลายเป็นราชามังกรห้าหัว
ไม่เพียงเท่านี้ ตบะของเขาก็ทะลวงถึงระดับมหายานขั้นแปดแล้ว
ตบะของคนอื่นๆ ก็เลื่อนระดับขึ้นอย่างมั่นคง หยางเทียนตงที่อ่อนแอที่สุดก็เริ่มแข่งขันช่วงชิงเข้าสู่ระดับสุญตา
หลังจากสิงหงเสวียนและเซียนซีเสวียนกลับมาและพบว่าพลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเพิ่มขึ้นอย่างมาก พวกนางก็ไม่ออกไประเหเร่ร่อนอีก กลับปิดด่านฝึกฝนด้วยเช่นกัน
เมื่อพลังวิญญาณพัฒนาจนถึงระดับที่แน่นอนแล้ว ต่อให้คุณสมบัติจะด้อยเพียงใดก็สามารถกลายเป็นเซียนได้
แน่นอนว่าเขาเพียรบำเพ็ญเซียนยังไม่ได้พัฒนาไปถึงระดับนั้น
ผ่านไปอีกประมาณสิบปี
ฟางเหลียงกลับมาแล้ว
เขามาเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ยเป็นอันดับแรก แล้วค่อยกลับไปฝึกฝนใต้ต้นฝูซัง
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าเขาเหงาหงอยอยู่บ้าง และก็ไม่ได้เอ่ยถึงธิดาเทพเผ่าปีศาจผู้นั้น
‘ดูท่าเจ้าหมอนี่จะบาดเจ็บกับความรัก’
หายเจวี๋ยเองก็ไม่ได้สนใจ ในเมื่อฟางเหลียงยังไม่อยากพูด แล้วเขาจะไปถามให้มากความเพื่อเหตุใด
เขาเปิดดูค่าความสัมพันธ์เพื่อตรวจดูจดหมาย
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านไปจากโลกมนุษย์]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านก้าวเข้าสู่มรรคผลไท่อี่ สำเร็จเป็นเซียนพิภพไท่อี่]
[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย ดวงชะตาของจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำที่เป็นศัตรูคู่แค้นของท่านถดถอย อายุขัยลดลงสามพันปี]
[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x178930
[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีได้ผู้ทรงพลังช่วยเหลือ]
[สวินฉางอันศิษย์ของท่านได้รับโชคจากฟ้าดิน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
……
โม่ฟู่โฉวไปจากโลกมนุษย์?
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว หรือว่าเผ่ามารกำลังวางแผนร้ายอะไร
อีกประเดี๋ยวลองถามโม่จู๋ดูสักหน่อย!
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าโจวฝานถูกมู่หรงฉี่โจมตี นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
โจวฝานก็น่าอนาถเกินไปแล้วกระมัง
อยู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกสงสารอยู่บ้าง
แม้โจวฝานจะชอบถือดี อีกทั้งยังอาฆาตแค้นฝังลึก แต่ระดับความประทับใจที่มีต่อเขาไม่เคยลดลงเลย
ตายไปแล้วหลายครั้ง ตอนนี้สู้มู่หรงฉี่ไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองต่อสู้กันเพราะเรื่องใด
หานเจวี๋ยดูอยู่พักหนึ่ง ก็เชื่อมต่อพลังจิตกับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ของโม่จู๋
โม่จู๋กำลังนั่งฝึกฝนอยู่ในศาลบรรพชนแห่งหนึ่ง ไม่มีคนอื่นอยู่ข้างกาย
“โม่ฟู่โฉวไปไหนเล่า” เสียงของหานเจวี๋ยดังขึ้น โม่จู๋ลืมตาขึ้นมาในทันที
นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หานเจวี๋ยติดต่อกับนางผ่านหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด เพียงชอบก็เท่านั้น
นางรีบนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมา เอ่ยตอบกลับไปว่า “หลายปีก่อน เขาบอกว่าสัมผัสได้ถึงโอกาสวาสนา อยากออกไปข้างนอกเพียงลำพัง ส่วนไปที่ใดนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบ”
ในหลายร้อยปีที่ผ่านมาพวกโม่ฟู่โฉว โม่โยวหลิงและโม่จู๋ทั้งสามคนพบเจอศิษย์ตระกูลโม่จำนวนไม่น้อย หลังจากชุมนุมกันอีกครั้งก็ออกห่างจากทางโลก ศิษย์ตระกูลโม่มีเกินพันคนแล้ว นับว่าได้ผุดขึ้นใหม่อีกครั้ง
แต่ว่าใต้หล้าต่างก็ตามล่าสังหารผู้บำเพ็ญสายมารอยู่ เพราะอย่างนั้นโม่จู๋เองก็ไม่กล้าไปหาหานเจวี๋ย
“ช่วงนี้บำเพ็ญเพียรเป็นอย่างไร” หานเจวี๋ยถาม
โม่จู๋ตอบ “ข้าใกล้จะทะลวงระดับสุญตาแล้ว”
น้ำเสียงของนางดูภูมิใจอยู่บ้าง
หลังจากสืบทอดวิชามารตระกูลโม่ ระดับความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางก็เพิ่มขึ้นบ้างจริงๆ
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง หานเจวี๋ยก็ตัดการเชื่อมต่อกับหุ่นเชิดแห่งสวรรค์
โม่จู๋มีความสุขเป็นอย่างมาก ผ่านมานานหลายปีเพียงนี้ เขาก็ยังใส่ใจนางอยู่
‘ข้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี ภายหน้าจะได้ขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับเขา ฝึกฝนเป็นเพื่อนกับเขาตลอดเส้นทางการบำเพ็ญเพียร’
โม่จู๋คิดอย่างแน่วแน่
‘ผ่านมานานหลายปีเพียงนี้ เขาคงบรรลุระดับมหายานแล้ว’
ทั้งสองยังห่างชั้นกันมากนัก
……
สิบสองปีต่อมา
หานเจวี๋ยบรรลุระดับเซียนวัฏจักรระยะกลางในที่สุด สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าความเร็วในการบำเพ็ญเพียรยังคงช้าไปอยู่บ้าง
อย่างไรเสียก็ใช่ว่าเขาจะมีแค่ดวงชะตาทายาทจักรพรรดิเซียน แต่ยังมีร่างวิญญาณหกสาย พรสวรรค์มรรคกระบี่ขั้นสูงสุด และความสามารถในการเข้าใจขั้นสูงสุด
‘ต้นฝูซัง น้ำเต้าพิภพเซียน ดอกพลับพลึงแดง หญ้าโลกาสวรรค์และวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังอยู่ในระหว่างการเติบโต ไอเซียนบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่อาจเทียบได้กับสวรรค์เบื้องบน’
หานเจวี๋ยคิดอย่าเงียบๆ
‘ยังคงต้องขึ้นสวรรค์อยู่ดีสินะ’
รอให้ผ่านด่านเคราะห์ของวังสวรรค์ก่อน เขาก็ควรจะพิจารณาถึงการขึ้นสวรรค์ได้เสียที
เพียงแค่วังสวรรค์ยอมปล่อยโลกมนุษย์แห่งนี้ หานเจวี๋ยก็นับว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวล
เขาไม่อาจเข้าร่วมกับวังสวรรค์หรือวังเทพได้ กลุ่มอิทธิพลใหญ่สองกลุ่มนี้จะต้องมีปัญหามากมายแน่
แน่นอนว่า หากเขาได้รับของล้ำค่าฟ้าดินที่สามารถผลิตไอเซียนผ่านระบบได้ก่อนที่จะขึ้นสวรรค์ ก็ใช่ว่าจะจำเป็นต้องขึ้นไป
หานเจวี๋ยคิดไปพลางทำตบะให้มั่นคง
วันนี้เอง
ต้าเยี่ยนต้อนรับการมาเยือนของหิมะหอบใหญ่ที่พบเจอได้ยากมากในรอบหลายร้อยปี ซึ่งใหญ่กว่าตอนที่ราชาปีศาจเตี่ยนซู่ตื่นขึ้นมาในครานั้นนัก แม้กระทั่งดวงตะวันบนท้องนภายังถูกหิมะที่โปรยปรายบดบังไว้
ไม่ใช่เพียงต้าเยี่ยน เขตและราชวงศ์อื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้
หานเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เกรงว่าเคราะห์ใหญ่กำลังจะมาถึง!
เป็นถึงระดับเซียนสวรรค์วัฏจักร ลางสังหรณ์ของเขาย่อมเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป
……………………………………….