ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 226 การเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์ มหามรรคไร้ใจ

บทที่ 226 การเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์ มหามรรคไร้ใจ

“ตบะเช่นเจ้าจะไปแดนเทพสิงเทียนไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรืออย่างไร”

ยอดแม่ทัพเทพกล่าวหยอกล้อ มู่หรงฉี่ฟังจนต้องกลอกตามองบน

มู่หรงฉี่กล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “ตามนี้แหละ!”

ยอดแม่ทัพเทพส่ายหน้าอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร

ความคิดของมู่หรงฉี่ล่องลอยออกไปนอกวังสวรรค์ กลับไปยังเขาเพียรบำเพ็ญเซียน

หลังจากคุ้นชินกับการเพียรบำเพ็ญแล้ว มาถึงวังสวรรค์ เขาก็ยังรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง

……

หลังจากสังหารมหาอริยะเทียนหู และปีศาจสาวหรูเมิ่งแล้ว เวลาก็ผ่านไปยี่สิบปี

โลกเมฆาแดงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์

แดนบำเพ็ญพรตมีเซียนอิสระผุดขึ้นมาไม่น้อย ระดับมหายานไม่ใช่ตำนานอีกต่อไป!

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ได้รับอานิสงส์พลังวิญญาณของเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ตบะของผู้บำเพ็ญทั่วทั้งสำนักก็กำลังยกระดับขึ้นอย่างมั่นคง ก่อนหน้านั้นไม่นานเพิ่งจะดึงดูดแขกระดับมหายานมาท่านหนึ่ง

แม้หานเจวี๋ยจะติดต่อกับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์น้อยลงเรื่อยๆ แต่แดนบำเพ็ญพรตก็ไม่มีใครกล้ายุแหย่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

จวนเซียนสวรรค์ก็ได้สร้างสัมพันธ์อันดีกับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน

แต่ว่าตรงตีนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนยังคงมีศิษย์มาคุกเข่าคารวะ

แม้ว่าอัตราความเป็นไปได้ที่หานเจวี๋ยจะถูกใจนั้นมีน้อยมาก แต่คนจำนวนมากก็ยังอยากลองดู

วันนี้ หานเจวี๋ยเพิ่งสาปแช่งศัตรูเสร็จ เขามาคอยสังเกตอยู่หน้าวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

ลี่เหยายังคงไปๆ มาๆ ท่ามกลางห้วงอากาศว่างเปล่า บรรดาสวรรค์และโลกนับหมื่นที่ไร้ขอบเขต อยากจะหาโลกเมฆาแดงให้พบนั้นยากมาก

หานเจวี๋ยสร้างการติดต่อกับนาง ทำให้นางสัมผัสทิศทางได้ ส่วนรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมจะอยู่ที่ใดนั้น ยังต้องรอนางเข้าใกล้ถึงจะรู้ได้

หานเจวี๋ยคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง

ไกลมาก

ไกลจนกระทั่งเซียนทองวัฏจักรยังคำนวณไม่ได้ว่าไกลเพียงใด

ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ ตบะของลี่เหยายังคงเพิ่มขึ้นตลอด ยามนี้อยู่ที่ระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ระยะปลายแล้ว

ไม่เลวเลย

หานเจวี๋ยพอใจในคุณสมบัติของลี่เหยามาก หากสามารถเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นได้ ก็สามารถช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้โดยเฉลี่ยของเขาเพียรบำเพ็ญเซียนได้

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยปากถามขึ้น “นายท่าน เมื่อใดจะรับศิษย์ใหม่หรือ”

นางยังคิดจะรับศิษย์หญิงสักคนอยู่ตลอดเวลา

หานเจวี๋ยกล่าว “ยังไม่ถึงเวลา”

ช่วงนี้เขายังไม่พบกับผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด

ช่างน่าแปลกเสียจริง

ตอนนี้ขอบเขตของระบบสามารถตรวจสอบครอบคลุมไปถึงทั่วโลกเมฆาแดงแล้ว เหตุใดในโลกมนุษย์ถึงไม่มี

หรือในขณะที่เขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เกณฑ์ของผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดก็สูงขึ้นด้วย

มีความเป็นไปได้มาก

ในขณะนี้ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอย่างหยางเทียนตงไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย

หากคำนวณเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ หานเจวี๋ยคงได้รับการแจ้งเตือนบ่อยๆ

นึกถึงหยางเทียนตง หานเจวี๋ยไม่รู้ว่าช่วงนี้เจ้าเด็กนั่นเป็นอย่างไรบ้าง

“ตั้งแต่ฟางเหลียง มู่หรงฉี่สำเร็จมรรคาขึ้นสู่สวรรค์ ใต้ต้นฝูซังก็เงียบเหงาไม่น้อย เฮ่าเอ๋อร์ก็ไม่ได้ร่าเริงเหมือนแต่ก่อนแล้ว” อู้เต้าเจี้ยนทอดถอนใจกล่าว

ถูหลิงเอ๋อร์ก็ออกไปฝึกประสบการณ์เป็นอาจิณ ส่งผลให้อู้เต้าเจี้ยนต้องเฝ้ามองดูการเสี่ยงภัยของลี่เหยาเพื่อเพิ่มความอภิรมย์

แต่ส่วนใหญ่ลี่เหยาจะมุมานะฝึกฝนหรือไม่ก็รีบเดินทาง ช่วงเวลาที่น่าสนใจน้อยเกินไป

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างสงบ “นี่ก็คือความอ้างว้างบนเส้นทางการบำเพ็ญตบะ หากไม่อาจระงับความรู้สึกอ้างว้างได้ เจ้าจะเหนือกว่าฝูงชนได้อย่างไร”

อู้เต้าเจี้ยนทำปากยื่นกล่าว “ข้าไม่ได้อยากเหนือกว่าฝูงชนสักหน่อย ติดตามนายท่านก็พอแล้ว”

“เจ้าไม่อยาก แต่ข้าอยาก หากพลังมรรคของเจ้าไม่เพียงพอ เจ้าจะตามข้าไม่ทัน และไม่อาจหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ก็เหมือนกับเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์”

วาจาของหานเจวี๋ยทำให้อู้เต้าเจี้ยนขมวดคิ้วขึ้นมา

นี่ก็จริง

ไม่รู้เพราะเหตุใด อู้เต้าเจี้ยนถึงรับรู้ถึงความโดดเดี่ยวจากน้ำเสียงของหานเจวี๋ย

เมื่อคิดดูอย่างละเอียด นางก็ไม่เข้าใจหานเจวี๋ยจริงๆ

ไม่รู้ว่าหานเจวี๋ยมาจากที่ใด ไม่รู้ว่าในใจเขาคิดสิ่งใดอยู่ ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงหมกมุ่นอยู่กับความเป็นอมตะ

อารมณ์ของหานเจวี๋ยหม่นหมองลงอยู่บ้างจริงๆ ดูเหมือนว่าช่วงนี้รูปประจำตัวในค่าความสัมพันธ์จะลดลง รายละเอียดจะเป็นใครนั้นเขาก็จำไม่ได้แน่ชัด

ในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์มีคนรู้จักไม่กี่คนแล้ว

ยอดเขาหยกวิเวกในตอนนั้น นอกจากเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ สรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนได้เปลี่ยนไปเสียนานแล้ว

แม้ว่าเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์จะยังมีชีวิตอยู่ แต่หานเจวี๋ยรู้สึกว่าความรู้สึกที่มีต่อพวกนางก็จืดจางลง

สิ่งเดียวที่หานเจวี๋ยยังหลงใหลอยู่คือความเป็นอมตะ

‘บางทีนี่อาจจะเป็นมหามรรคไร้ใจ?’ หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

ไม่มีผู้ทรงพลังท่านใดสามารถทำให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวบรรลุมรรคขึ้นสวรรค์ได้ทั้งหมด

ประสบกับการเวียนว่ายตายเกิดเป็นสภาวะปกของโลกีย์วิสัย

คิดเสร็จหานเจวี๋ยก็ส่ายหน้ายิ้ม และหมุนตัวกลับไปฝึกฝนบนเตียงไม้

อู้เต้าเจี้ยนนิ่งเงียบ นางก็กลับไปนั่งบนเบาะและเริ่มฝึกฝนบ้างเช่นกัน

นางรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

นางรู้ดีว่ามีแค่การฝึกฝน ฝึกฝนต่อไปถึงจะเข้าใจจิตใจของผู้เป็นนาย

……

เจ็ดปีต่อมา

สิงหงเสวียนกลับมา สิ่งแรกที่นางทำคือมาหาหานเจวี๋ย

หลังจากอู้เต้าเจี้ยนออกไปจากถ้ำแล้ว นางก็เริ่มเล่าประสบการณ์ในหลายปีมานี้ด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

หานเจวี๋ยมองดูนางและอดใจลอยไม่ได้

ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้ ดูเหมือนสิงหงเสวียนจะไม่เปลี่ยนไปเลย

บางทีอาจจะเปลี่ยนไปแล้วเพียงแต่ท่าทีที่มีต่อเขาไม่ได้เปลี่ยน

ฟังอยู่ดีๆ หานเจวี๋ยก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

ผ่านไปหลายชั่วยามสิงหงเสวียนถึงเล่าจบ นางรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย

“อยากสำเร็จมรรคาขึ้นสู่สวรรค์โดยเร็วเสียจริง ของล้ำค่าบนโลกมนุษย์ไม่อยู่ในสายตาท่านแล้ว น่าเสียดายตบะของข้าไม่พอยังต้องรออีกหลายพันปีถึงขึ้นสวรรค์ได้กระมัง” สิงหงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ให้เจ้ามอบของล้ำค่าให้ทุกครั้งเสียหน่อย”

แต่ก่อนต้องการ ทั้งยังรอคอย

ตอนนี้นึกดูแล้วหานเจวี๋ยรู้สึกว่าตนเองน่าขันอยู่บ้าง

สิงหงเสวียนต้องการพบเขาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น ทว่าเขากลับคิดถึงแต่ของล้ำค่า

“การบำเพ็ญตบะในช่วงนี้ไม่มีข้อสงสัยหรือ” หานเจวี๋ยถาม

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดสิงหงเสวียนมักจะรู้สึกว่าวันนี้หานเจวี๋ยอ่อนโยนเป็นพิเศษ

อ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน

รอยยิ้มของสิงหงเสวียนสดใสมากกว่าเดิม นางเริ่มขยับเสื้อผ้าของหานเจวี๋ย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มี แต่ว่าไม่รีบ มาเริ่มกันก่อนเถิด…”

“เจ้า…”

“อย่าพูดมาก เร็ว…”

……

หลังจากนอนกลิ้งไปมาอยู่หลายเดือน หานเจวี๋ยก็เริ่มชี้แนะการฝึกฝนให้สิงหงเสวียน และถือโอกาสถ่ายทอดพลังวิเศษให้นาง

เวลาสองปีผ่านไปในพริบตา

สิงหงเสวียนจากไปด้วยความพึงพอใจ

อู้เต้าเจี้ยนมองดูเงาหลังของนางด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่นางเดินเข้ามาในถ้ำเทวาฟ้าประทานและกำลังจะสอบถาม หานเจวี๋ยกลับเข้าฌานแล้ว จึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจ

……

ภายในห้องโถงสว่างไสวแห่งหนึ่ง ซูฉีกับคนนับร้อยที่สวมชุดเหมือนกันกำลังคุกเข่าคารวะอยู่บนพื้น

ซูฉีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

วังเทพคือกลุ่มอิทธิพลใหญ่ขั้นสุดบนพิภพเซียน ระดับเดียวกับวังสวรรค์ เขาหวงแหนโอกาสในการเข้าวังเทพมาก

เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวตรงหน้าศิษย์ทั้งหมด

คนผู้นี้สวมชุดสีดำทั้งตัว สีหน้าเคร่งขรึม มีกระบี่สะพายอยู่บนเอวหนึ่งเล่ม

เขาก็คือจักรพรรดิเทพกระบี่

จักรพรรดิเทพกระบี่กวาดสายตามองดูผู้คนในท้องพระโรง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็หยุดลงบนร่างของซูฉี

เขาขมวดคิ้วและนับนิ้วคำนวณ

“หืม?”

‘ความโชคร้ายรุนแรงยิ่งนัก เจ้านี่มีที่มาอย่างไร ไม่คาดคิดว่าจะมีผลกรรมศิษย์อาจารย์กับเจ้าเด็กนั่น…’

จักรพรรดิเทพกระบี่คิดและสงสัยอยู่ในใจ

ความโชคร้ายของซูฉีทำให้เขาอยากจะขับไล่ตามสัญชาตญาณ แต่ซูฉีมีความสัมพันธ์กับหานเจวี๋ย พอเขาคิดๆ ดูแล้วก็ตัดสินใจปิดตาข้างหนึ่ง

“แม้ว่าพวกท่านจะผ่านการทดสอบเข้าวังแล้ว แต่หากจะยืนมั่นในวังเทพยังห่างไกลอีกมาก ภายในพันปีหากพวกท่านไม่อาจสำเร็จเซียนแท้ได้ จะต้องออกไปทั้งหมด”

จักรพรรดิเทพกระบี่เอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ได้ยินเช่นนี้บรรดาศิษย์ก็พากันตอบรับ พวกเขาไม่ได้กลัวแต่กลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ผู้ที่สามารถเข้าวังเทพได้ ไม่มีผู้ใดเลยที่จะไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่น บางคนเป็นถึงอันดับหนึ่งในใต้หล้าของโลกบางแห่ง

จักรพรรดิเทพกระบี่กำลังจะจากไป แต่พลันรับรู้อะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาหม่นหมองลงในพริบตา และก่นด่าออกมาเบาๆ “ไม่จบไม่สิ้น! เคราะห์ร้ายจริงๆ!”

เขาหายไปจากที่เดิมในทันที

……………………………………….

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
Score 9.8
Status: Ongoing
อ่านระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะเนื่องจากชาติก่อนเป็นโรครักษาไม่หาย ตายก่อนวัยอันควร เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่ในแดนบำเพ็ญเซียน เขาจึงมีเป้าหมายเดียว... ชีวิตอมตะ! หานเจวี๋ยพบว่าตนเองมีระบบของเกมวิถีชีวิตอยู่กับตัว หลังจากใช้เวลากว่าสิบเอ็ดปี ในที่สุดก็สุ่มได้ดวงชะตาและรากวิญญาณชั้นเลิศจากระบบ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญเซียนได้อย่างมั่นใจ เพื่อเป้าหมายการมีชีวิตเป็นอมตะ เขาตัดสินใจฝึกฝนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ให้เป็นจุดสนใจ กระทั่งพันปีต่อมา แดนบำเพ็ญเซียนเปลี่ยนไปยุคแล้วยุคเล่า เมื่อเทพเซียนจะชำระล้างโลกมนุษย์ หานเจวี๋ยไม่อาจไม่ลงมือ ยามนั้นเขาจึงเพิ่งค้นพบว่า... เทพเซียนมันก็แค่นี้เอง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset