บทที่ 261 สำนักพุทธโกลาหล มือมืดลึกลับ
สิบวันต่อมา
มหาจักรพรรดิอมตะที่เดิมทีมีสภาพอ่อนแออยู่แล้วก็ถูกหานเจวี๋ยสาปแช่งจนตาย
[มหาจักรพรรดิอมตะศัตรูคู่อาฆาตของท่าน เศษเสี้ยววิญญาณสลายเพราะการสาปแช่งของท่าน กายและวิญญาณดับสูญ]
รูปประจำตัวในค่าความสัมพันธ์ก็ไม่มีแล้ว
หานเจวี๋ยถอนหายใจยาวๆ หนึ่งเฮือก
เฮ้อ
สาปแช่งศัตรูตายแค่สี่คน เขาก็เสียอายุขัยไปแสนปีแล้ว
นี่ใครจะแบกรับได้
หานเจวี๋ยเจ็บปวดใจมาก แต่ยังคงสาปแช่งต่อ
ต่อไปคือเสียงหลงฝัว
ตบะเซียนทองไท่อี่ เกลียดชังระดับสี่ดาว จำเป็นต้องตาย
ครึ่งเดือนต่อมา
[เสียงหลงฝัวศัตรูคู่อาฆาตของท่านจิตพุทธะแตกสลาย ธาตุไฟเข้าแทรกเพราะการสาปแช่งของท่าน โชคดีได้บรรพชนพุทธปกป้องวิญญาณไว้]
‘แม่ม! มีพี่ใหญ่มากวนอีกแล้ว!’
หานเจวี๋ยกัดฟันยืนหยัด
ดีที่บรรพชนพุทธท่านนี้ไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนกันจักรพรรดิปีศาจ
ผ่านไปอีกราวๆ สิบวัน
[เสียงหลงฝัวศัตรูคู่อาฆาตของท่าน กลายเป็นมารชั่วร้ายเพราะการสาปแช่งของท่าน พุทธะกับมารปะทะกันจนแตกดับด้วยตนเอง ร่างและวิญญาณสลาย]
ไม่มีรูปประจำตัวของศัตรูอีกคนแล้ว!
หานเจวี๋ยรู้สึกชื่นมื่น
เขามองดูศัตรูที่เหลือ หากสาปแช่งจนตายหมด วังสวรรค์จะไม่ประสบความสูญเสียอย่างหนักหรือ
ช่างเถอะ
ความเกลียดชังระดับหนึ่งถึงสองดาวไม่สาปแช่งแล้ว ฝ่ายตรงข้ามแค่ไม่พอใจเขา ใช่ว่าจะอยากสังหารเขา
แต่ความเกลียดชังระดับสามดาวต้องสาปแช่งให้ตาย นี่คือลางบอกเหตุของศัตรูคู่อาฆาต
หานเจวี๋ยคัดเลือกอยู่ครู่หนึ่งก็สาปแช่งต่อ
ถึงอย่างไรเสียเทพเซียนเหล่านี้ก็ไม่แข็งแกร่ง ตายไม่กี่คนไม่เป็นไร
ล้วนเป็นความเกลียดชังที่สะสมจากการต่อต้านแม่ทัพและทหารสวรรค์เมื่อพันกว่าปีก่อน ผ่านไปนานขนาดนี้ระดับความเกลียดชังส่วนมากก็ลดลงแล้ว แต่ยังมีคนไม่กลัวตายไม่กี่คนที่ยังคงดื้อรั้นอยู่ ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ
…….
แดนเซียน สำนักพุทธ
บรรพชนมรรคาสวรรค์นั่งตัวตรงอยู่บนบงกชทอง ตรงหน้ามีพระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ และพระอรหันต์ล้อมรอบอยู่นับไม่ถ้วน
แม้ว่าแสงพุทธะจะเจิดจรัส แต่บรรยากาศอึดอัดอย่างหาที่เปรียบมิได้
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ค่อยๆ เอ่ยปากกล่าว “ตั้งแต่พุทธะพิชิตชัยแตกดับ พุทธะฟ้าพิโรธกับเสียงหลงฝัวในสำนักพุทธก็แตกดับติดต่อกัน ข้าคำนวณดูแล้วมีคนใช้ยอดสมบัติสาปแช่ง พวกเรามีความเห็นว่าอย่างไร”
จักรพรรดิเซียนสององค์ เซียนทองไท่อี่หนึ่งองค์!
อยู่ๆ ก็แตกดับไป!
สำหรับสำนักพุทธแล้ว นับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่!
พระพุทธองค์รูปร่างอวบอ้วนองค์หนึ่งเอ่ยปากกล่าว “นี่มีคนกำลังยั่วยุสำนักพุทธอยู่ แม้กระทั่งจะเปิดศึก ไม่อาจอดกลั้นได้!”
พอคำพูดนี้ออกมาพุทธะทั้งหมดก็เกิดโทสะ
“อมิตาพุทธ พุทธะเรามีเมตตาธรรม เราไม่ไปยุแหย่คนอื่น คนอื่นก็มายุแหย่เรา!”
“น่าสะอิดสะเอียนเกินไปแล้ว นี่คือการตบหน้าทั่วทั้งสำนักพุทธ!”
“หรือจะเป็นการกระทำของวังสวรรค์”
“เป็นไปไม่ได้ จักรพรรดิสวรรค์ไม่ใช้วิธีการแบบนั้น หากจะมุ่งเป้ามาที่พวกเราจริงๆ เกรงว่าแม่ทัพทหารสวรรค์ใกล้จะสังหารเข้ามาแล้ว”
“ข้าคิดว่าเป็นวังเทพ วังเทพลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ ซ่อนผู้ทรงพลังไว้เท่าใดพวกเราก็ไม่รู้แน่ชัด อย่างน้อยวังสวรรค์ก็ไม่มีผู้ที่มีพลังการสาปแช่งแข็งแกร่งเช่นนี้”
บรรดาพุทธะวิพากษ์วิจารณ์กัน พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ และบรรดาฑูตต่างก็มองหน้ากระซิบกระซาบกัน
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ค่อยๆ ลืมตากล่าว “ข้าคำนวณพบว่าของวิเศษชิ้นนั้นคือหนังสือเล่มหนึ่ง”
หนึ่งสือเล่มหนึ่ง?
บรรดาพุทธะยิ่งงงงวยกว่าเดิม
“ขอบเขตนี้มันกว้างเกินไป มีของล้ำค่ามากเกินไปในโลกที่ใช้ของที่มีลักษณะเป็นหนังสือมาเป็นของวิเศษ ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือสมุดความเป็นความตายของยมโลก หนังสือเซียนพิภพของแดนเซียน” มีพุทธะองค์หนึ่งส่ายหน้ากล่าว
และก็มีพุทธะกำลังซักถามข้อสงสัยอยู่ “ในเมื่อเป็นการสาปแช่ง ฝ่ายตรงข้ามจะทิ้งช่องโหว่ไว้ได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้จะชักนำในทางที่ไม่ถูกต้องหรือไม่”
คำพูดของเขาชักนำให้พระพุทธองค์พยักหน้าเห็นด้วยจำนวนไม่น้อย
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ก็จมดิ่งอยู่ในความครุ่นคิด
ฝ่ายตรงข้ามเป็นใครนั้น เขาคำนวณไม่ได้เลย
ความสามารถในการซ่อนยอดสมบัติเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หรือว่าจะจงใจทำ คิดจะชักนำภัยพิบัติสู่ฝั่งบูรพาหรือ
บรรพชนพุทธขมวดคิ้ว ยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ ถึงอย่างไรมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตก็กำลังจะมาถึง เขาไม่อยากให้สำนักพุทธกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลแรกที่เข้าในไปมหาเคราะห์
บรรดาพุทธะยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ไม่ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร ก็นึกไม่ออกว่ามือสังหารคือใคร
เป้าหมายของหานเจวี๋ยนั้นเล็กเกินไปจริงๆ แม้แต่บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ก็ไม่ได้สนใจหานเจวี๋ย แม้กระทั่งยังไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของหานเจวี๋ย
ในความเห็นของเขา ที่บรรพชนพุทธภควัตกับโสมวิญญาณบรรพกาลอยู่ในโลกเขย่าพิภพ จะต้องเป็นแผนการร้ายของจักรพรรดิสวรรค์ ก่อนหน้านั้นโลกเขย่าพิภพยังมีจอมเทพอู่เต๋อและมหาจักรพรรดิเหยียนจวินอยู่ด้วย ซึ่งเพียงพอที่จะแอบซ่อนหานเจวี๋ย
เสียงหลงฝัวกับพุทธาเทพฟ้าพิโรธก็ไม่ได้เปิดเผยการดำรงอยู่ของหานเจวี๋ย เพราะหานเจวี๋ยอ่อนแอเกินไป แม้พวกเขาอยากจะสังหารหานเจวี๋ย แต่ก็ไม่เห็นหานเจวี๋ยอยู่ในสายตา
ที่หานเจวี๋ยไม่ตาย นั่นเป็นเพราะจักรพรรดิสวรรค์สนับสนุนอยู่!
……
เวลาผ่านไปอีกครึ่งปี
นอกจากจักรพรรดิปีศาจแล้ว ศัตรูที่มีความเกลียดชังระดับสามดาวขึ้นไปล้วนถูกหานเจวี๋ยสาปแช่งตายไปจนหมด
เขาสูญเสียอายุขัยไปทั้งหมดหนึ่งล้านปี ยังห่างจากร้อยล้านมาก
หานเจวี๋ยสบายใจแล้ว
ท้องฟ้าไม่เคยเป็นสีฟ้าเช่นนี้มาก่อน อากาศก็ไม่เคยเย็นสบายสดชื่นเช่นนี้มาก่อน
“นายท่าน ดูท่านจะดีใจมาก ก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่” อู้เต้าเจี้ยนถามอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านั้นเห็นหานเจวี๋ยมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด เกือบทำให้นางตกใจตาย
หานเจวี๋ยกล่าวสีหน้าเฉียบขาด “เรื่องนี้ก็ทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด รวมถึงบรรดาศิษย์และศิษย์หลานของข้าด้วย หากเจ้ากล้าพูดออกไปล่ะก็ เจ้ากับข้าล้วนต้องตาย”
ได้ยินเช่นนี้อู้เต้าเจี้ยนก็หน้าซีดเผือด
‘หนักหนาเช่นนี้เชียวหรือ’
นางรีบกล่าวรับรอง “ข้าลืมเรื่องนี้ไปแล้ว!”
หานเจวี๋ยพยักหน้าและกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “ใกล้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว พอถึงเวลานั้นพวกเราอยากหลบฝึกบำเพ็ญก็ไม่มีที่ให้หลบ รีบคว้าเวลาฝึกบำเพ็ญเถอะ อย่าได้เอาแต่จับตามองข้า”
อู้เต้าเจี้ยนหน้าแดง นางเคอะเขินมาก
อีกด้านหนึ่ง
ภายในอารามเต๋า
พุทธะอาภรณ์ขาวมองดูท้องนภานอกประตูและกล่าวพึมพำ “เหตุใดถึงยังไม่มา”
องค์ชายสิบสามเคยทิ้งคำพูดโหดเหี้ยมเอาไว้ จะต้องให้เขาจ่ายค่าตอบแทน
สุดท้ายรอมาหลายปี องค์ชายสิบสามก็ไม่มา
‘หรือว่าวังสวรรค์จะลงมือแล้ว’
พุทธะอาภรณ์ขาวถอนหายใจทีหนึ่ง ขณะที่กำลังจะฝึกฝน เงาแสงลำหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า
คือบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์นั่นเอง!
พุทธะอาภรณ์ขาวตกใจเกือบฉี่เล็ด
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “วางใจเถอะ ข้าแตะต้องเจ้าไม่ได้ เพียงแค่อยากถามเจ้าสักเรื่อง”
พุทธะอาภรณ์ขาวแสร้งทำเป็นไม่หวั่นไหว “เรื่องใด”
“พุทธะพิชิตชัยตายในมือผู้ใด” บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ถาม
พุทธะอาภรณ์ขาวได้ยินก็รู้ว่าบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์มาหาหานเจวี๋ย
เขาเอ่ยปากกล่าว “ตายในเงื้อมมือของจักรพรรดิเซียนนิกายเจวี๋ย”
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ขมวดคิ้วถาม “เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดนิกายเจี๋ยต้องลงมือ”
“จักรพรรดิเซียนนิกายเจี๋ยหยิ่งผยอง ต้องการกายเนื้อของพุทธะพิชิตชัยเพื่อคืนชีพผู้ทรงพลังบรรพกาลอีกครั้ง” พุทธะอาภรณ์ขาวกล่าวโดยไม่ได้เตรียม
แต่ก่อนเขาคือศิษย์นิกายฉ่าน ไม่ถูกคอกับนิกายเจี๋ยเป็นอย่างมาก
ท่ามกลางมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตในตอนนั้น สามนิกายสำนักเต๋าต่อสู้กันภายใน ทั้งสามนิกายประสบความพินาศไปด้วยกัน จนกระทั่งวันนี้ยังคงเป็นศัตรูคู่อาฆาตอยู่
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์นิ่งเงียบ
จากนั้นไม่นาน เงาแสงของเขาก็หายไปเลย
พุทธะอาภรณ์ขาวโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และแอบชื่นชมหานเจวี๋ยอยู่ในใจ
‘ร้ายกาจจริงๆ นี่!
สังหารพุทธะพิชิตชัยแล้วบรรพชนพุทธมรรคายังคำนวณไม่พบเขา’
พุทธะอาภรณ์ขาวตัดสินใจแน่วแน่ จะต้องเกาะขาหานเจวี๋ยให้แน่นๆ
ใต้หล้ากว้างใหญ่ แต่ในขณะนี้เขาทำได้เพียงอยู่ที่นี่เท่านั้น อีกอย่างเขายังต้องอาศัยโลกเขย่าพิภพพิสูจน์จักรพรรดิ
วังสวรรค์
อุทธยานหลวง
จักรพรรดิสวรรค์กำลังทอดพระเนตรม้วนหนังสืออยู่ในศาลา และเงาร่างของบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นมา
“พุทธะพิชิตชัยไม่ได้ตายในเงื้อมมือของวังสวรรค์หรือ” บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ถาม
จักรพรรดิสวรรค์ชำเลืองพระเนตรดูทีหนึ่ง และตรัสออกมา “ข้ากลับอยากให้เป็นเช่นนั้น เขาสังหารเทพเซียนวังสวรรค์ของข้าไปมากมาย”
หานเจวี๋ยเป็นไพ่ตายของจักรพรรดิสวรรค์ ไม่อาจเปิดเผยได้เด็ดขาด
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ถึงถามเช่นนี้ จักรพรรดิสวรรค์ยังคงอยากช่วยให้หานเจวี๋ยหลุดพ้น ดังนั้นจึงตรัสขึ้นมา “ขณะที่พุทธะพิชิตชัยเข้าใกล้โลกเขย่าพิภพนั้น ถูกผู้ทรงพลังลึกลับสังหาร ที่มาของคนผู้นี้แม้แต่ข้ายังคำนวณไม่ได้”
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ขมวดคิ้ว
‘หรือจะเป็นนิกายเจี๋ย
นับดูแล้วสำนักพุทธกับนิกายเจี๋ยมีความแค้นต่อกันจริงๆ ศิษย์สำนักพุทธจำนวนไม่น้อยล้วนมาจากนิกายเจี๋ย
……………………………………….