บทที่ 276 จักรพรรดิคู่แห่งสำนักซ่อนเร้น เทพสงครามตกตะลึง
“พิสูจน์สิ”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เหตุผลที่เขาปล่อยให้พุทธะอาภรณ์ขาวเข้ามานั้นก็เพราะสัมผัสได้ว่าพุทธะอาภรณ์ขาวกำลังจะก้าวสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว เช่นนั้นจึงอยากใช้จอมปีศาจคุกรัตติกาลมาข่มขวัญพุทธะอาภรณ์ขาวให้ตื่นตระหนก
พุทธะอาภรณ์ขาวกล่าวว่า “ช่วงเวลานี้ข้าต้องมุ่งหน้าไปห้วงอากาศว่างเปล่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนถึงโลกมนุษย์ แต่ข้ากลัวว่า…”
หานเจวี๋ยเอ่ยขัดขึ้นว่า “เจ้าพยายามพิสูจน์จักรพรรดิให้เต็มที่เถิด ขอเพียงอยู่ไม่ห่างจากโลกเขย่าพิภพ ข้าก็สามารถดูแลเจ้าได้!”
พุทธะอาภรณ์ขาวรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที รีบโขกศีรษะขอบคุณหานเจวี๋ยเป็นพัลวัน
“หลังจากนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นแล้ว เป็นอย่างไร” หานเจวี๋ยจ้องมองพุทธะอาภรณ์ขาวพลางเอ่ยถาม
พุทธะอาภรณ์ขาวรีบรับปากทันที “นับจากนี้ไป ข้าก็คือศิษย์ของสำนักซ่อนเร้น สำนักพุทธนิกายฉ่านอะไรนั่น หากล่วงเกินผู้อาวุโส ล้วนเป็นศัตรูของข้าทั้งสิ้น!”
หานเจวี๋ยยกยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็โบกมือเป็นการบอกให้เขาออกไปได้
รอให้พุทธะอาภรณ์ขาวพิสูจน์จักรพรรดิสำเร็จแล้ว สำนักซ่อนเร้นก็จะมีจักรพรรดิเซียนถึงสองคน!
ในแดนเซียน ก็ยังถือว่าเป็นอิทธิพลใหญ่ฝ่ายหนึ่ง
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระแวกใกล้เคียงโลกเขย่าพิภพ โชคดีที่ที่ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่ง
ในเมื่อไม่มีศัตรูแข็งแกร่ง เช่นนั้นเขาก็สามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ
พุทธะอาภรณ์ขาวมุ่งหน้าสู่ห้วงอากาศว่างเปล่า เริ่มเข้าฌาน เขาไม่ได้ฝ่าด่านเคราะห์ในทันที หากแต่ต้องเตรียมตัวสักระยะหนึ่ง
หลายเดือนต่อมา
ตี้ไท่ไป๋ติดต่อหานเจวี๋ยผ่านป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยเชื่อมต่อพลังจิต ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ตี้ไท่ไป๋ก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! เผ่าเทพอีกาทองกลับสนับสนุนวังปีศาจ เริ่มกวาดล้างโลกมนุษย์ที่อยู่ภายใต้วังสวรรค์ มีโลกมนุษย์หลายสิบแห่งที่ถูกเผ่าเทพอีกาทองทำลายล้างไปแล้ว เจ้าต้องระวังหน่อย หากไม่ไหวจริงๆ เจ้าสามารถมาที่วังสวรรค์ได้!”
เผ่าเทพอีกาทอง?
หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “วังปีศาจรวมกับเผ่าเทพอีกาทองก็สามารถกวาดล้างปวงสวรรค์หมื่นโลกาได้หรือ”
ตี้ไท่ไป๋กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “แดนเซียนมีเผ่าพันธุ์มากมายที่เป็นของเผ่าปีศาจ พวกปีศาจประหลาดก็มีจำนวนมากกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิปีศาจจะลอบร่วมมือกับหลายเผ่าพันธุ์มากมายเพียงนั้น ดูท่าคงแอบวางแผนชั่วไว้เสียนานแล้ว!”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เผ่าเทพอีกาทองก็แข็งแกร่งมากทีเดียว!
ยามที่เกิดศึกใหญ่ของพวกวังเทพก่อนหน้านี้ จะแข็งแกร่งเพียงใดกัน
หานเจวี๋ยอดที่จะนึกถึงแม่ของอีกาทองสองตัวนั้นและตี้หงเย่ขึ้นมาไม่ได้
ก็ไม่รู้ว่าพอจะหลีกเลี่ยงเผ่าเทพอีกาทองโดยอาศัยความสัมพันธ์นี้ได้หรือไม่
“ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่กล่าวเตือนข้า แต่ข้าต้องอยู่ปกป้องโลกเขย่าพิภพ!”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง การไปวังสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ตลอดชีวิตนี้ล้วนเป็นไปไม่ได้
การสร้างปัญหาในวังสวรรค์เป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง มีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่ามีผู้ที่อยากได้ความสำเร็จนี้มากมายเพียงใด การอยู่ในวังสวรรค์นั้นเป็นอันตรายจริงๆ
“เช่นนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก ฝ่าบาทออกจากวังสวรรค์ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด เฮ้อ เท่านี้ก่อนแล้วกัน!”
ตี้ไท่ไป๋รีบตัดการติดต่อพลังจิตอย่างรวดเร็ว
เมื่อหานเจวี๋ยได้ยินว่าจักรพรรดิสวรรค์จากไป ก็อดที่จะกังวลไม่ได้
คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกกระมัง?
เขารีบเรียกดูกล่องจดหมายเพื่อตรวจสอบในทันที
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากตี้หงเย่สหายของท่าน]
[ไท่ซู่เทียนสหายของท่านมาถึงเขาเทพปู้โจว]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากแม่ทัพสวรรค์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีได้หลี่เสวียนเอ้าศัตรูของท่านช่วยชีวิตไว้]
[ผานซินสหายของท่านถูกผู้ทรงพลังโยนลงสู่แดนชำระบาปไร้ขอบเขต]
[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านออกจากแดนเซียน]
[ซูฉีศิษย์ของท่านออกจากแดนเซียน]
[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลัง] x7
…
จักรพรรดิสวรรค์ถูกโจมตีจริงๆ ด้วย!
ยอดแม่ทัพเทพก็ยังถูกโจมตีจากตี้หงเย่ เหตุใดถึงรู้สึกว่าวังปีศาจกำลังพุ่งเป้ามาที่วังสวรรค์เล่า
วังเทพกับสำนักพุทธยังคงไร้ความเคลื่อนไหว?
หานเจวี๋ยเลื่อนสายตาอ่านลงมา หลังจากเห็นว่าจักรพรรดิเทพกระบี่เผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังของเผ่าปีศาจ ก็พลันเบาใจลงทันที
ในเมื่อวังเทพเองก็ถูกโจมตีไม่ต่างกัน เช่นนั้นก็ยังดี
หานเจวี๋ยกลัวว่าหมื่นโลกาจะปิดล้อมโจมตีวังสวรรค์ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ วังสวรรค์ต้องไม่สามารถต้านทานได้แน่
อันตรายเกินไปแล้ว!
นี่ก็คือมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตหรือ
หากเขาเป็นต้าหลัว ก็คงไม่ต้องกังวลใจมากมายเพียงนี้
ยังอ่อนแอเกินไป
หานเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่คิดให้มากความอีก บำเพ็ญตบะต่อไป
…
แปดปีต่อมา พุทธะอาภรณ์ขาวเริ่มฝ่าด่านเคราะห์
เคราะห์ของจักรพรรดิเซียนนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเขย่าพิภพก็ล้วนสามารถสัมผัสได้
อาณาเขตที่เมฆสายฟ้าเคราะห์จักรพรรดิปกคลุมนั้นใหญ่กว่าโลกเขย่าพิภพนัก โชคดีที่อานุภาพสวรรค์เพียงแค่ทำให้สรรพสิ่งทั้งหมดไม่สงบสุข ทว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสรรพสิ่งเหล่านั้น
หานเจวี๋ยมองไปยังห้วงอากาศว่างเปล่า ลอบตกตะลึงกับตัวเอง
นี่ก็คือเคราะห์สวรรค์ของระดับจักรพรรดิหรือ?
น่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง!
สัมผัสได้ว่าจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏทั่วไปก็ยังยากที่จะรับได้!
ดูท่าพุทธะอาภรณ์ขาวคงต้องทนทุกข์เสียแล้ว
หานเจวี๋ยลอบคิดอย่างเงียบๆ อานุภาพของเคราะห์จักรพรรดินั้นยิ่งใหญ่เกินไป และไม่รู้ว่าจะดึงดูดผู้ทรงพลังมาหรือไม่
ได้แต่ภาวนาว่าศัตรูของพุทธะอาภรณ์ขาวจะมีไม่มากนัก
ครึ่งปีต่อมา
เคราะห์จักรพรรดิยังคงดำเนินต่อไป
เงาร่างสองสายบินออกมาจากจุดสิ้นสุดของห้วงอากาศว่างเปล่า เขาก็คือมู่หรงฉี่และซูฉีนั่นเอง
ทั้งสองลงมายังโลกมนุษย์เหมือนกัน พบกันระหว่างทาง จึงเดินทางกลับมาด้วยกัน
“ข้างหน้ามีคนฝ่าด่านเคราะห์!”
จู่ๆ มู่หรงฉี่ก็พูดขึ้น ยกมือขึ้นห้ามซูฉีไว้
ซูฉีหยุดลง ทอดสายตามองไป ปลายทางของห้วงอากาศว่างเปล่าเคราะห์สสวรรค์แผดเสียงคำราม อสนีสีม่วงและสีทองแปลกประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนส่องประกายพริบพราว ตระการตาอย่างถึงที่สุด
“นี่มันขอบเขตพลังใดกัน แรงกดดันนี่…” ซูฉีเอ่ยถามดวงตาเบิกกว้าง
มู่หรงฉี่สีหน้าหนักอึ้ง กล่าวว่า “จักรพรรดิเซียน! คนผู้นี้ก็คือพุทธะอาภรณ์ขาวจากสำนักพุทธ!”
เมื่อซูฉีได้ยินเช่นนี้ ก็ถามอย่างเคร่งเครียดว่า “จักรพรรดิเซียนกำลังฝ่าด่านเคราะห์อย่างไร้ความกลัวเกรงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นโลกมนุษย์จะเป็นอย่างไร”
หัวใจของเขาจมลงสู่ก้นบึ้ง
มู่หรงฉี่ก็เริ่มกังวลขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ทั้งสองรีบอ้อมไปในทันใด เข้าสู่โลกเขย่าพิภพอย่างรวดเร็ว
เมื่อพบว่าในโลกมนุษย์ไร้ภัยพิบัติ พวกเขาจึงรีบร้อนมุ่งหน้าไปที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียน
ด้วยตบะของพวกเขาในยามนี้ เพียงไม่นานก็มาอยู่ใต้ต้นฝูซังแล้ว
“ท่านอาจารย์เล่า ข้าต้องการพบท่านอาจารย์ ด้านนอกมีจักรพรรดิเซียนกำลังฝ่าด่านเคราะห์!”
ซูฉีเอ่ยเสียงร้อนรน กล่าวพลางตั้งท่าจะไปที่ถ้ำเทวาฟ้าประทาน
มู่หรงฉี่พลันคว้าเขาเอาไว้ ทำให้ซูฉีเอ่ยขึ้นอย่างกรุ่นโกรธ “ขวางข้าด้วยเหตุใดอีก”
มู่หรงฉี่สูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “น่าจะไม่เป็นไรแล้ว ข้างๆ ก็มีจักรพรรดิเซียนอยู่คนหนึ่ง”
ซูฉีอดหันไปมองไม่ได้ เพียงปราดเดียวก็เห็นจอมปีศาจคุกรัตติกาลที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่
จอมปีศาจคุกรัตติกาลลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง กล่าวเย้ยหยันขึ้นว่า “ข้าก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจินนี่เอง”
คิดไม่ถึงว่าเป็นเทพสงครามจริงๆ!
ก่อนหน้านี้ได้ยินสวินฉางอันกล่าวโอ้อวดว่าศิษย์ของตนเป็นถึงเทพสงครามกลับชาติมาเกิด เขายังไม่สนใจด้วยซ้ำ เทพสงครามที่แท้จริงล้วนเป็นพวกบุตรแห่งสวรรค์ แล้วจะยอมมาเป็นศิษย์ของเจ้าได้หรือ
ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง!
อีกทั้งเทพสงครามผู้นี้ยังเคยอวดศักดาสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วแดนเซียนเสียด้วย!
มู่หรงฉี่ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
“เหอะ ข้าเข้าร่วมกับสำนักซ่อนเร้นแล้ว!” จอมปีศาจคุกรัตติกาลกล่าวอย่างลำพอง
ยามที่มู่หรงฉี่แข็งแกร่ง จอมปีศาจคุกรัตติกาลก็ต้องแหงนหน้ามอง
เวลาผ่านไปหลายปีเพียงนี้ มู่หรงฉี่กลับชาติมาเกิดเพื่อบำเพ็ญใหม่อีกครั้ง และเขาก็เป็นจอมปีศาจของวังปีศาจแล้ว
ไม่สิ สถานะของจอมปีศาจของวังปีศาจได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ซูฉีตกตะลึง
จักรพรรดิเซียนเข้าร่วมกับสำนักซ่อนเร้น?
มู่หรงฉี่เอ่ยถามตามมาในทันที “พุทธะอาภรณ์ขาวก็เข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นด้วยหรือ”
จอมปีศาจคุกรัตติกาลแค่นเสียงคราหนึ่ง และกล่าวว่า “น่าจะใช่กระมัง”
เขารู้สึกดูแคลนพุทธะอาภรณ์ขาวอยู่บ้าง
มู่หรงฉี่และซูฉีตกตะลึง
นี่เพิ่งจะกี่ปีเอง สำนักซ่อนเร้นก็มีจักรพรรดิเซียนถึงสองคนแล้วหรือ
ช้าก่อน!
หานเจวี๋ยเล่าแข็งแกร่งเพียงใด
“พวกเจ้าเข้ามาเถิด”
เสียงของหานเจวี๋ยดังลอยมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน
ทั้งสองรีบเดินเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หลังจากเข้ามาแล้ว พวกเขารีบคุกเข่าลงคารวะต่อหน้าหานเจวี๋ย
อู้เต้าเจี้ยนมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ ไม่ใช่ว่าพวกเขาสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ไปแล้วหรอกหรือ เหตุใดถึงกลับมาอีกเล่า
หานเจวี๋ยเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน เอ่ยถามว่า “มหาเคราะห์ก็ใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว?”
มู่หรงฉี่กล่าวทอดถอนใจ “พวกเรายังเป็นห่วงสำนักซ่อนเร้น ไม่คิดว่าเดิมทีสำนักซ่อนเร้นก็ไม่ต้องการให้พวกเราคุ้มครองเลยด้วยซ้ำ”
ซูฉีกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แต่ข้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ที่ข้ากลับมาก็เพื่อขอลี้ภัย”
………………………………………………